

ตอนที่สึกออกมาก็มีฟีดแบ็กว่าเสียดายบวชตั้งนานไม่น่าสึกเลย ช่วงนั้นเรารับกับฟีดแบ็กยังไง ?
แพรรี่ : ทุกวันนี้ก็ยังมีคนพูดอยู่ พระในวงการท่านก็จะพูดว่าเสียดายอุตส่าห์จบเปรียญธรรม 9 มาแล้วขายน้ำพริก สำหรับหนูคิดว่าไม่ควรมองแบบนั้น ความรู้ส่วนความรู้ อาชีพส่วนอาชีพ เป็นอาชีพอะไรก็ตามที่สุจริต รู้สึกว่ามันมีเกียรติ การที่ขายน้ำพริกไม่ได้ทำให้ความรู้จากการเรียนหายไป ก็ยังเอาความรู้ที่มีรับใช้สังคมในบทบาทอื่น เราไม่ได้ขายน้ำพริกทุกวัน เวลาให้ความรู้ในเชิงศาสนาก็ยังทำหน้าที่ได้ ไม่ได้หายไปตามยูนิฟอร์ม
แชร์ให้ฟังได้ไหมอะไรที่เราฝึกมาในการปฏิบัติ แล้วนำมาใช้ได้จริงเพื่อเป็นประโยชน์กับบางคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ ?
แพรรี่ : เรื่องหลักไตรลักษณ์ ที่ทำให้ไม่ยึดติดกับภาพอะไรในความเป็นตัวหนูเลย ไม่เคยติดภาพเลยว่าเราเคยบวชมาก่อน แล้วคนจะต้องมาให้ความนับถือในฐานะของพระเปรียญธรรม 9 เรามูฟจากตรงนั้นมาแล้ว ตอนนี้มีฐานะแค่ฆราวาสคนหนึ่ง ถือศีล 5 เป็นแม่ค้าทำมาหากิน คิดแค่นี้ สึกมาแต่ตัวเปล่ามาเริ่มต้นใหม่ นี่ก็คือหลักไตรลักษณ์ที่สอนเราว่าใด ๆ มันไม่จีรังเลยทุกอย่าง แล้วถ้าเราคิดแบบนี้ได้จริง ๆ ชีวิตมันก็โล่ง พร้อมให้เราได้เริ่มต้นใหม่ ทำใหม่ได้หมด เพราะเราไม่ได้ติดอะไรแล้ว ความรู้สึกเราตอนที่สึก เหมือนเกิดมาบนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง

กิเลส ตัณหา โลภ มันเริ่มเข้ามาบ้างไหม ?
แพรรี่ : มันเข้ามาตั้งแต่วันแรกที่สึกเลย (หัวเราะ) หนูก็อยากมีคู่ชีวิตแบบพี่วู้ดดี้ เพราะหนูเป็นโสดมาตั้ง 18 ปี ก็จะรู้สึกว่าเราสึกแล้วสามารถมีคู่ครองได้แล้ว สามารถมีเซ็กส์ได้แล้ว เพราะเราเป็นมนุษย์ปุถุชน ตราบใดที่เราไม่ได้ทำอะไรที่มันผิดศีลข้อที่ 3 เราสามารถมีได้
ตอนนี้เรายังเป็นเวอร์จิ้นอยู่ไหม ?
แพรรี่ : หนูพูดได้เหรอคะ (หัวเราะ) ไม่น่าจะเวอร์จิ้นแล้วมั้งคะ ถ้าบอกเวอร์ก็จะมุสาอีก ไม่เวอร์แล้วล่ะค่ะ มันเป็นสัญชาตญาณ อารมณ์ความรู้สึก ความรัก ราคะ มันก็ได้ของมันโดยอัตโนมัติ ก็เหมือนทุกคน เป็นโลกธรรม อาจารย์พุทธทาส ท่านพูดดีนะคะ ว่าการที่เรามีความใคร่ ความรัก มันไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแต่ว่าเรามียังไงไม่ให้วันหนึ่งมันกลับมาทำร้ายเรา
ทุกวันนี้ดูแลตัวเองยังไง ?
แพรรี่ : เยอะค่ะ ความฝันของเราเวลาเป็นพระ เห็นคลินิกความงามเวลาเดินผ่าน โยมเขาสวย ๆ งาม ๆ กันเนอะ ตอนบวชเราดูแก่กว่าอายุเยอะ แล้ววันหนึ่งพอหนูออกมา แล้วได้ทำเพื่อตัวหนูเองบ้าง ไปสปาหน้า โบท็อกซ์ ฉีดฟิลเลอร์คาง แล้วแต่ก่อนหนูเป็นคนที่มีรอยยิ้มเห็นฟันไม่ได้เลย ที่เขาบอกว่ายิ้มอรุ่มเจ๊าะ ก็ต้องทำฟันวีเนียร์ เพราะเราอยากยิ้มแบบสวย ๆ ช่วยได้เยอะมาก ทำให้เราอยากยิ้ม ก็มีคนชมว่ายิ้มสวย

มีแฟนหรือยัง ?
แพรรี่ : มีแล้วค่ะ คบกัน 2 เดือนน่าจะได้ ยังเด็กอยู่เลยค่ะ อายุน้อยกว่าหนูตั้งเยอะ อายุยังไม่ถึง 25 เลยค่ะ เราก็คุยกันทุกเรื่องทุกอย่าง เพราะหนูรู้สึกว่าไม่ได้ต้องการแค่มีเซ็กส์แล้วพอ คืออยากได้ใครสักคนมาอยู่กับหนูแบบจริงจัง มาเป็นเพื่อน มาช่วยหนูในเรื่องอื่น ๆ เป็นคู่ชีวิตที่หนูอยากจะฝากอะไรบางอย่างให้ได้ ความไว้เนื้อเชื่อใจอะไรหลาย ๆ อย่าง หนูอยากได้มุมนี้แล้ว
เจอกันยังไง ?
แพรรี่ : เจอกันเพราะว่าเขาเป็นรุ่นน้องของทีมงาน วันนั้นเขาวิดีโอคอลคุยกัน แล้วเขาก็มาแซวหนูว่าให้พี่แพรรี่ปล่อยมาเที่ยวสิ เดี๋ยวผมให้หอมทีหนึ่งอะไรประมาณนี้ หลังจากนั้นก็มีนัดเจอไปคาเฟ่กัน แล้วหนูก็รู้สึกว่าบุคลิกเขาน่ารัก ที่สำคัญก็คือเขาไม่มีแฟน เขาคุยกับเรา ไม่กลัวเรา หยอกล้อกับเราได้ รู้สึกว่าแค่นี้ก็เป็นการเปิดทางให้เราอยากที่จะคุยกับเขาเพิ่มมากขึ้น ปกติถ้าเป็นคนอื่นไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับหนู เพราะรู้สึกว่าหนูเฟียร์ซ ๆ เป็นคนทำอะไรก็เป็นข่าว เราคุยกันตลอดแล้วก็ตกลงกันเรื่องความสัมพันธ์ว่าระหว่างเราคืออะไร ยังเป็นช่วงที่กำลังดู ๆ กันอยู่ แต่ก็ยอมรับสถานภาพความเป็นแฟน แล้วก็มีสเปซให้กันว่าอะไรได้ อะไรไม่ได้
สเปกของแพรรี่เป็นแบบไหน ?
แพรรี่ : หนูชอบผู้ชายแบบน่ารัก ละมุน ขาว ๆ สูง ๆ อย่างพี่วู้ดดี้เลย (หัวเราะ) หนูเข้มพอแล้ว อยากได้อะไรที่มาเติม เพราะหนูเป็นกาแฟแล้ว หนูขาดแค่นม มาเป็นนมให้หนู

ตั้งแต่เราเปิดตัวก็มีบทสนทนาเกี่ยวกับ LGBTQ พ่อแม่บางคนอาจจะดูอยู่ไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับลูกยังไง จะบอกเขาว่ายังไงดี ?
แพรรี่ : พูดในฐานะของหนู รู้สึกว่าโชคดีมากที่เราอยู่ในครอบครัวที่พ่อกับแม่ให้ความเป็นตัวหนูจริง ๆ ให้ความเป็นอิสระกับชีวิต และหนูอยากให้พ่อแม่ทุกคนเป็นแบบนั้น เพราะรู้สึกว่าพ่อแม่คือคนแปลกหน้าคนแรกบนโลกนี้ที่ลูกรู้จัก เป็นคนแปลกหน้า 2 คนแรกที่เขาไว้ใจ ถ้าคนที่เป็นลูกไม่สามารถหาความไว้ใจกับคนแปลกหน้า 2 คนนี้ได้ เขาก็ไม่สามารถหาจากใครได้แล้วบนโลกใบนี้ ไม่มีใครที่จะเข้าใจเขาได้มากกว่าคุณสองคน
ในทางกลับกันสำหรับใครที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ อยากจะบอกเขาว่า ?
แพรรี่ : อยากให้เขายืนหยัดในความเป็นตัวเอง พยายามพิสูจน์ ถ้าพิสูจน์แล้วไม่มีประโยชน์กับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่เห็น ก็พิสูจน์ทำเพื่อตัวเองให้มีคุณค่า แล้วก็ใช้ชีวิตต่อไป เดินต่อไป โดยที่สุดท้ายแล้วเราเกิดมาเกิดมาคนเดียวนะคะ ฉะนั้นคนที่เป็นเพื่อนกับเราได้คือตัวเรา ถ้าเราไม่ปกป้องยืนหยัด ทำเพื่อตัวเองก็ไม่มีใครทำเพื่อเราหรอก
ล่าสุดเสียน้ำตากับเรื่องอะไร ?
แพรรี่ : ก็มีค่ะ เรามีฟีลแฟนมันก็จะเริ่มมี เมื่อก่อนเป็นพระมันไม่มีแน่ ๆ ก็มีอารมณ์เหมือนกันเวลาเราเหนื่อย ๆ ท้อ ๆ แบบเหนื่อยกับงานยังต้องมาเหนื่อยกับคนอีก พอเรามีความรักเหตุผลมันก็เริ่มไม่มี เวลาเศร้าเราก็จะเศร้าแป๊บเดียว เพราะเราเป็นคนสาธารณะจะเศร้าเยอะไม่ได้ เราต้องเตือนตัวเองเสมอว่าต้องทำงาน ต้องไปต่อ คนที่ตามเราในเพจเขาอยากเห็นความสนุกของเรา

เกิดมาในครอบครอบครัวที่โดนดูถูก
แพรรี่ : เราเกิดในในครอบครัวที่โดนดูถูกมาตลอด พ่อแม่หนูโดนดูถูก ตอนแม่ทำงานก่อสร้าง คนก็จะพูดเพราะว่ามึงโง่แบบนี้แหละลูกมึงถึงไม่ได้เรียนต่อ แม่เล่าว่า เวลาไปวัดขยับไปนั่งใกล้ใครเขาก็ถอยหนี เพราะเราไม่มี ไม่อยากจะสมาคมกับเรา หนูคิดว่าวันหนึ่งหนูจะลบความไม่มีออกไปจากชีวิตครอบครัวให้ได้ จะต้องทำให้ได้ แล้วหนูก็ทำได้ แม่จะพูดเสมอว่า ไม่เคยคิดว่าจะมีบ้านแบบที่อยู่ทุกวันนี้ ไม่คิดว่าจะมีรถนั่งแบบนี้ อะไรที่แม่ไม่เคยคิดหนูทำให้แม่หมดเลย แม่อยากได้อะไรหนูซัพพอร์ตทุกอย่าง หนูปลดหนี้ให้แม่หมดทุกอย่าง ทุกวันนี้หนูเป็นคนหาเงินให้พ่อแม่นั่งใช้เงินอยู่บ้าน หนูสร้างงานให้กับพ่อแม่พี่น้องให้ทุกคนมีงานทำนี่คือคุณค่า
ภูมิใจไหมที่เราสามารถปลดล็อกให้ครอบครัวได้ ?
แพรรี่ : มาก ๆ ค่ะ หนูรู้สึกว่าการที่เราสึกมาไม่สูญเปล่า หนูพยายามทำให้คนเห็นว่าคุณค่าคนมันอยู่ที่เนื้อแท้ข้างในอยู่ที่จิตใจมากกว่าสิ่งอื่น พยายามต่อสู้เรื่องนี้กับคนทุกคนที่มองหนูที่เปลือก คิดว่าคนถ้ามีคุณค่าไม่ว่าจะยูนิฟอร์มไหนก็ต้องมีคุณค่า ต่อให้หนูจะแต่งตัวเป็นตุ๊ดเป็นเกย์อะไรแบบนี้ดูเหมือนตลกขำ ๆ แต่คุณค่าของเราก็ยังมีอยู่ สิ่งที่เราเคยได้จากการบวชเรียนมามันไม่ได้หาย
เป็นคนเซนซิทีฟไหม ?
แพรรี่ : ต้องดูว่ากับเรื่องอะไร แต่หลังๆ น้ำตาซึมง่ายอยู่เหมือนกัน เราโตมาด้วยความรักที่พ่อแม่มีให้หนูแบบของคนชนบททุกวันนี้มันเปลี่ยน
