- ตั้งแต่ข่าวออก ตอนนี้กระแสเป็นไงบ้าง ?
ริว : ไม่ได้ตามเลยครับ ไม่เคยดูโซเชียลอยู่แล้ว ไม่เคยติดตามอะไรที่เกี่ยวกับวงการบันเทิงมาก่อนเลย ตั้งแต่ออกไปแล้วเกือบ 20 ปี แต่ก็มีดูบ้าง ข่าวของน้อง ๆ พี่ ๆ ที่อยู่ในกระแสเขาโอเคไหม เขาอยู่ในสภาพจิตใจแบบไหน
- แต่เรื่องของเรา เราไม่ดูเลย ?
ริว : ไม่ดู ตอนแรกที่ตัดสินใจให้คุณบอย วันบันเทิงมาสัมภาษณ์ผมคิดหนักนะว่าผมจะเปิดตัวยังไง จะให้คนอื่นเขาเห็นในสิ่งที่ริวในฐานะนักแสดงเก่า เป็นสภาพแบบไหน ก็คิดว่าผมจะเปิดดีไหม
- อะไรทำให้เราคิดได้ว่าอยากจะเปิด ?
ริว : มีโอกาสได้คุยกับคุณบอยด้วยตนเองบอกว่ามีน้องโจ๊กบอกว่าเดี๋ยวพี่บอยจะมาหา เขาบอกแล้วแต่ผม ก็เลยบอกว่างั้นนัดคุยกันก่อน ขอคุยก่อนว่าบอยฟังข้อมูลแล้วจะเป็นยังไง ทีนี้ก็คุยกัน 2 ชม. จังหวะนั้นผมก็คุยกับทีมน้องที่เป็นตัดต่อช่องวัน เขาบอกว่าพี่ริวเอาสักทีเถอะ มันง่ายพี่ วงการบันเทิงมันง่าย ไม่ต้องมานั่งลำบาก ผมก็บอก กูพอใจนะโจ๊กที่มีรายได้วันละ 100-200 เขาก็อึ้ง บอยเขาก็อึ้ง เขาถามจริงเหรอค้าขายได้วันละ 100-200 พอให้มีค่ารถกลับหรือว่ามีอาหารมื้อหนึ่ง เขานั่งสัมภาษณ์ เขานั่งน้ำตาคลอ ผมก็ทำไมอะชีวิตคนมันก็ต้องดิ้นรน ผมเข้าใจแหละค่าตัวในวงการบันเทิงมันเท่าไหร่ ผมก็เคยผ่านมา
- แต่มันก็มีบางกระแสที่ย้อนกลับไปด่าอดีตต้นสังกัด ?
ริว : เรื่องนี้ผมต้องกราบขออภัยเฮียด้วยนะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาอะไร ผมรักเฮียเหมือนเดิม ผมไม่ได้พูดถึงในแง่ต่อว่าหรืออะไร แต่ในตอนนั้นผมให้สัมภาษณ์เพราะว่านั่นคือความรู้สึกจากใจผมที่ผมทำทุกอย่างเพื่อ RS ผมพยายามรักษาภาพลักษณ์ทุกอย่างในชีวิตส่วนตัวด้วย สุดท้ายจังหวะที่ผมบอกความเป็นจริง ทุกคนอาจจะเข้าใจผิดคำว่าเฮียฮ้อ แต่จริง ๆ บทบาทที่ผมจะได้เล่นละครใน RS คือ เฮียเตี้ย เป็นน้องชาย ตอนนั้นผมมีความคุ้นเคยกับเฮียและมีความสนิทมาก มีความผูกพันและเขาก็ดูแลผมดีมาก ทีนี้จังหวะที่ผมตัดสินใจจะออกจากวงการบันเทิงเป็นการปิดกล้องของละครวัยร้ายเฟรชซี่ ที่มีน้องแดน น้องบิ๊ก B2B น้องอ้อน ลักขณา เขาก็ดีใจฉลองปิดกล้อง มันเป็นจังหวะที่ผมตัดสินใจเปิดเผยว่าจะเลือกเส้นทางนี้หรือเลือกชีวิตส่วนตัว ผมก็เลยถือโอกาสนี้กราบขอโทษทุกท่านด้วย อย่าไปโจมตีเฮียฮ้อ ไม่ได้เกี่ยวกับเฮียฮ้อ และผมก็ไม่ได้ไปโจมตีใคร ต้องกราบขออภัยด้วยครับ เฮียเตี้ยครับผมขอโทษที่ผมพูด ยังไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะมีผลกระทบ
- จริง ๆ มันไปด้วยกันไม่ได้เหรอมีครอบครัวแล้วเราก็ทำงานไปด้วย ?
ริว : สมัยก่อน ดารายุค 90’s การที่บอกว่ามีแฟน ถ้าเราเป็นพระเอกความนิยมของเขาจะน้อยลง เขาเกาะติดคล้าย ๆ ไอดอล พระเอกของเขา ทีนี้ถ้าพระเอกของเขาจะไปมีแฟน หรือว่าจะมีเรื่องของผู้หญิงเข้ามาเกาะแกะ เขาจะหวง
- ทำไมบอยถึงไปสัมภาษณ์ริว ?
บอย : ปีที่แล้วเราทำข่าว พี่หมวย สุภาพร แล้วมีคนบอกว่ามีคนหนึ่งพี่บอยน่าจะไปช่วยให้เขามีสติแบบพี่หมวย นั่นคืออาทิตย์ ริว เราบอกเรารู้จักเขา เราเคยสัมภาษณ์เขามานานแล้วตอนที่เขามีวิกฤตชีวิต แล้วเราจะคุยกับเขายังไง ก็มีการติดต่อ แต่ก็มีคนเตือนนะ บ้านะ เอามาออกทีวีจะคุยรู้เรื่องเหรอ มันไม่ปกตินะ เราก็เลยบอกน้องนัดริวไปเจอ ขอคุยก่อน ริวจำได้ไหมวันที่เราไปเจอกัน ริวถามว่าทำไมมาคนเดียวไม่มีกล้องเหรอ เราไม่กล้าบอกริวตรง ๆ เรากลัวมาแล้วไม่ได้อะไร เพราะเรากลัวริวคุยไม่รู้เรื่อง วันนั้นเป็นวันแรกที่ไปนั่งคุยอยู่ 2 ชม.
ริว : เป็นสิ่งที่ผมโดนมาตลอด ตั้งแต่สื่อทำแบบนี้กับผม คือทุกคนจะคิดระแวงระวังว่าการที่จะมาคุยกับริวเนี่ย มันบ้านะ เพี้ยนนะ มันมีประวัติเข้าโรงพยาบาลบ้านะ อย่าไปยุ่งกับมัน มันเพ้อเจ้อ อย่างที่บอยมาเจอผม บอยก็ต้องดูก่อนว่าผมโอเคไหม
บอย : ข่าวลบเยอะ แต่วันนั้นคุย 2 ชม. กลับมาตอนสุดท้ายบอกริวพรุ่งนี้มาที่ตึกแกรมมี่ได้ไหม เราจะขอสัมภาษณ์ริวในวันนั้น 1. สภาพนั้นถ้าออกทีวีโดยที่ไม่เมคอัพเลยมันหลอนนะ คนจะตกใจ เพราะหน้าเขาก็มีสิว แล้วก็โทรมมาก ณ วันนั้น
ริว : บอยผมยังวัยรุ่น ผมมีสิว แล้วอีกอย่างผมบวชมา ผมเพิ่งสึก
บอย : เข้าใจ เอาง่าย ๆ ขอคุยก่อน วันนั้นประเด็นสำคัญที่อยากจะเอาชีวิตริวมาเล่าในวันบันเทิง มีเหตุผลเดียว ผู้ชายคนนี้ขาดความรักและไม่มีคนนำทางหัวใจ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตคนตลอด 20 กว่าปี มันพังพินาศไปหมด เท่านั้นเลยแล้วรู้สึกว่าฟังริว 2 ชม. ทำไมผู้ชายคนนี้มีเรื่องที่สอนเราตลอดเวลา ทุกเรื่องที่เขาคุยเราได้อะไรเยอะ เราอยากจะแชร์ให้กับคนที่ติดตามข่าวบันเทิง มันจึงเป็นพาดหัวอันหนึ่งเนาะ ชีวิตเรา สอนชีวิตเรา
- ที่บอกว่าริวขาดความรัก เท่าที่ดูตอนนี้ริวมีลูก 3 คน กับอดีตภรรยา อันนั้นไม่ใช่ความรักเหรอ ?
ริว : ก็เป็นความรักประเภทหนึ่ง มันเป็นความรักที่ผมค่อนข้างปรารถนาดี ปรารถนาดีกับตัวเองด้วย ปราถนาดีกับเขาด้วย ว่าอยากมีลูก อยากมีความรักด้วยกัน อยากมีหัวแก้วหัวแหวนด้วยกัน อยากจะประคับประคองครอบครัวไปด้วยกัน อยากจะเติมเต็มชีวิตที่ขาดหายไป ก็ตกลงว่าจะอยู่ด้วยกันนะ แต่มันยังขาดช่วงระยะเวลาศึกษาดูใจในความเป็นตัวตนของแต่ละคนจริง ๆ อย่างบางคนเขาจะมองภาพในละคร เขามองภาพความเป็นพระเอก เขาบอกริวต้องเป็นอย่างนี้ ในละครริวเป็นอย่างนี้ ฉันรักริวในคาแรกเตอร์นั้น แต่ตัวผมไม่ใช่ ตัวผมมีความเป็นตัวเอง
- แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับความรักครอบครัวแรก ?
ริว : ด้วยความที่ครอบครัว หมายถึงตัวภรรยาเองก็ต้องคาดหวังว่าผมน่าจะเป็นพระเอกจริง ๆ แต่ทีนี้ผมไม่ใช่ ในชีวิตจริงผมยอมรับเลย ผมเป็นคนเจ้าชู้ แล้วผมก็พูดเลยตั้งแต่ก่อนคบว่าถ้าจะคบกับผมรับได้ไหมในความเจ้าชู้ เขาก็บอกว่ารับได้ในความเป็นตัวริว ผมถามว่าแน่นะ ถ้ารับได้ผมก็คบ ก็เลยตัดสินใจอยู่ ตัวปัญหาเหล่านั้นผมไม่ได้จะพูดถึงว่าจบยังไงหรือมีปัญหายังไง แต่ผมพูดคร่าว ๆ ว่าผมได้มีลูกกับเขา แล้วปัญหาในครอบครัวต่าง ๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องนู้นเรื่องนี้ผมจะไม่ขอพูดถึง เพราะว่าทุกวันนี้เขาก็มีชีวิตที่ดี แล้วลูกผมก็น่ารัก
- แล้วกับประโยคที่ว่าริวรู้สึกว่าไม่มีคนรัก จนทำให้คิดอยากฆ่าตัวตาย อันนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ?
ริว : พอหลังจากชีวิตความรักในครอบครัวไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเรามองภาพสวยเกินไป ถ้ามีลูก เราจะพาลูกไปตรงนั้น จะเลี้ยงลูกแบบนี้ เราจะซื้อเสื้อผ้าให้ลูก แต่งตัวให้ลูกอย่างนี้นะ คนเป็นพ่อจะเป็น เราจะปูเส้นทางให้เขาเดินยังไง ปรากฏว่าเส้นทางที่เราคิดกับความเป็นจริงมันสวนทางกัน
- มันสวนทางเพราะภรรยาไม่คิดเหมือนเรา ?
ริว : มันกลายเป็นความหึงหวง จากที่เขาบอกว่ารับได้ เขาบอกว่ารับไม่ได้
- แล้วอะไรที่เป็นจุดทำให้เราคิดฆ่าตัวตาย ?
ริว : เนื่องจากพอผมจบพังทลายกับชีวิตครอบครัว ลูกก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน มีปากเสียงกันนิดหน่อย แล้วแยกย้ายกัน และการที่ผมจะไปพบลูก ถ้าผมไปในสภาพที่ผมไม่มีเงิน ซึ่งคนเป็นพ่อจริง ๆ ก็อยากให้เงินเขา เราอยากดูแลเขา การที่ผมเจอทุกครั้งมันต้องใช้เงิน ผมก็จะรู้สึกว่าลูกผมเป็นตัวประกันหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมคิดว่าถ้าผมมี ผมให้ แล้วผมก็ให้จริง ๆ ผมเซ็นเช็คทีละ 3-4 แสน ผมให้จริง ๆ เพราะไม่ได้บ่อยเลยที่ผมมีโอกาสเข้าไปเจอลูก แต่ทุกครั้งที่ผมเจอลูก กอดลูกมันมีน้ำตา
- แสดงว่าไปเยี่ยมลูกแต่ละครั้ง ?
ริว : แน่นอนผมยินดี ตอนนั้นผมมีเงิน
- แล้วตอนที่เราแยกจากภรรยาและลูก 3 คน หน้าที่การงานเราเป็นยังไง ?
ริว : ตอนนั้นดีครับ เป็นออร์แกไนซ์บริษัทใหญ่ ผมจัดงานในอิมแพค
- แล้วมันเริ่มพังตอนไหน ?
ริว : เรื่องงานผมไปได้ดีมาก เรื่องเงินทุกอย่างไม่มีปัญหาเลย แต่มีปัญหาเรื่องชื่อเสียงนี่แหละครับ พอมันเป็นข่าวทุกคนก็เอากระแส เกาะติดกระแส สื่อโน้นก็เขียนอย่างนั้น แยกประเด็นผมบ้า ผมเพี้ยน ผมทำร้ายภรรยา ประดังเข้ามาเป็นกระแสไวรัลอยู่ในยุคโซเชียลเริ่มต้นของสมัยนั้นที่เป็นสมาร์ตโฟนเข้ามา มีเฟซบุ๊ก hi5 เข้ามา กลายเป็นว่าหน้าจอตั้งอยู่แบบนี้ แต่ความเครียดโผล่ให้เห็นของคนทั่วประเทศ
- แสดงว่าชีวิตเราที่พังตอนนั้นไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่ลูก 3 คน ไม่ใช่อดีตภรรยา แต่เป็นเพราะโซเชียล เพราะสื่อ ?
ริว : แต่ผมจะไม่โทษโซเชียล เพราะโซเชียลจะเป็นฟรีความคิดเห็นของคนว่าความรู้สึกผมเอ๊ะอ่านข่าวนี้เขาจะเชื่อหรือไม่ จะให้กำลังใจหรือด่า อันนี้ผมไม่เคยว่า แต่ผมก็บอกกับตัวภรรยาแล้วว่าอย่าไปสนใจได้ไหมกับกระแสพวกนี้ มันนานาจิตตัง ตัวผมเองทำงานในวงการบันเทิงผมรู้สิว่าถ้าเราไปแคร์มากกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แสดงว่าผมคงไม่ต้องทำงานอะไรแล้ว ยอมแพ้ในชีวิต เพราะฉะนั้นเรื่องงานผมสำคัญมาก 1. การเป็นพระเอกไม่ง่าย เพราะฉะนั้นเวลาข่าวอะไรมากระทบแน่นอน แต่สื่อมวลชนรู้ไหม ถ้าเป็นตัวคุณเอง ครอบครัวคุณเอง มีคนไปเขียนเรื่องคุณ แต่โอเคคุณไม่ใช่ดารา ไม่ใช่ศิลปิน แต่ตัวคุณเป็นคนเขียน นามปากกาคุณ คุณเคยรับผิดชอบอะไรไหมในชีวิตที่มันพังไป หนังสือขายได้ เย่
- แสดงว่าจุดที่เราคิดว่ามันพังจริงคือการที่เกิดขึ้นจากที่สื่อมวลชนเขียนข่าว พาดหัวข่าว ?
ริว : สื่อบางคนเขาก็ดี อย่างเช่น คุณบอยเนี่ย เขาบอกอย่างนี้ดีนะ เขาจะช่วยเรา นี่สิเขามีจรรยาบรรณ เขามีหัวใจเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คนเป็นเพื่อนต้องคิดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจับข่าวนี้โดนแน่ สื่อมวลชนคิดว่าตัวเองใหญ่มาก อย่าคิดว่าตัวเองใหญ่
- จากข่าวที่มันเกิดขึ้น อันนี้ทำให้เราคิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ?
ริว : ด้วยบาดแผลตรงนั้นมันหนักมาก คือพาดหัวว่า ริวเพี้ยนเข้าโรงพยาบาลบ้า สัมภาษณ์รายการ ปากโป้ง พี่หนุ่มกรรชัย เอาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ ริวไปแก้ผ้าด่าศูนย์ AIS แต่การที่ใช้ปากพูดออกสื่อเนี่ย ผมถามหน่อย คนบ้าอะไรจะไปแก้ผ้าด่า AIS ขับเบนซ์คันเบ้อเร่อไปเสียค่าโทรศัพท์ 2 พันถึงขนาดต้องโมโหแก้ผ้าเหรอ
- ที่มันรวมกันมา มันก็ทำให้เราถึงจุดหนึ่งที่ทำให้เราจะฆ่าตัวตาย กระโดดตึก ?
ริว : ด้วยความที่คนอื่นแบบ อย่าไปคุยกับริว ริวมันบ้า แสดงว่าไปติดข้อมูลเก่าในสื่ออินเทอร์เน็ต ไม่เคยมีใครแก้ให้เลย
- ในฐานะสื่อ พี่บอยฟังแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ?
บอย : มันเป็นอย่างที่ริวพูด ณ เวลานั้น ตอนนั้น ข่าวมันไปในทางนั้นแล้วคำหนึ่งที่ริวไม่ได้พูด แต่มันอยู่ในความรู้สึกการปล่อยข่าวช่วงนั้นก็คือ พระเอกวัยรุ่นทรยศแฟนคลับ ซุกลูก ซุกเมีย อันนี้เป็นคำที่คิดว่าน่าจะอยู่ในใจริว แล้วก็เป็นบาดแผลในหัวใจเขา แล้วมันเป็นเรื่องจริง จำได้ไหมริว ที่เราถามริวรักษาอาการป่วยทางจิตอย่างไร บอยไม่เรียกว่าเขาบ้านะ เขาเล่า 5 โรงพยาบาล ในรอบ 10 ปี เขารักษา เขาป่วย เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าวงการมันมีหลายเรื่องที่บีบคั้นหัวใจเขา
ริว : คุณบอยรู้ไหมว่าผมป่วยเพราะอะไร
บอย : เพราะ
ริว : ป่วย เพราะสื่อมวลชนนี่แหละทำผมไว้ ผมรักมากนะวงการบันเทิง เป็นครอบครัวผม เป็นบ้านผม แต่บ้านหลังนี้เมื่อคนเอามีดมาแทงผม เพื่อจะขายข่าว ผมรู้สึกว่าคนในบ้าน เมื่อญาติพี่น้องยังจะทำร้ายกันเองในยามที่เราเพลี่ยงพล้ำ แทนที่จะประคบประหงมน้องริวไปทางนี้นะ น้องริวดูแลลูก เราสร้างภาพพ่อที่ดีก็ได้นะ เดินไปในทางอบอุ่นของครอบครัว เลี้ยงดูลูก พาลูกไปนู้นนี่ ก็ยังดีกว่าริวมันเพี้ยน บ้านแม่งพัง
- พอฟังแบบนี้พี่บอยคิดว่าสื่อมวลชนจะฆ่าคนคนหนึ่งได้เลยไหม ข่าวลบฆ่าคนได้ไหม ?
บอย : เรารู้อยู่แล้วว่ามันทำลายความรู้สึก แต่ริวเป็นกรณีแรกในการเป็นนักข่าวตลอด 20 กว่าปี ว่านี่คือตัวอย่างของสื่อในยุคนั้น ซึ่งเราเองก็เป็นสื่อในยุคนั้น สื่อเวลาพาดหัว เวลาเขียนข่าวมันมีพลังกับคน สมัยนั้นคนเชื่อสื่อเยอะมากเวลาสื่อออกข่าวไป อย่างที่ริวเจอ ซุกลูก ทรยศแฟนคลับมันเป็นคำที่อยู่ในใจริว และนั่นคือ 2 ชม. แรกในวันแรกที่เจอแล้วมันมีคำนี้มาหาเรา เรารู้สึกมันเป็นแบบแผลในใจเขา เราทำด้วยหรือเปล่า เราถามตัวเองนะ วันรุ่งขึ้นเราถึงได้มาสัมภาษณ์ริวที่แกรมมี่ แต่เรามานั่งทบทวนในคืนนั้นว่าเราจะสื่อสารเรื่องริวอย่างไรให้ดี และคนเข้าใจในความเป็นริวและบอยยืนยันวันที่ไปคุยก่อนสัมภาษณ์จริง เขาไม่ได้บ้า เขาน้อยใจ แต่เขาน้อยใจและประชดชีวิต และไม่รู้จะไปพึ่งใคร เพราะมันเคว้งมาก
ริว : มันก็กลายเป็นว่าทั้งสื่อ ทั้งครอบครัวเรารวมกันทำร้าย ตอนนั้นตัวผมเองก็ชื่อเสียงในยุค 90’s เล่นเป็นพระเอกทางบ้านเองบอกว่าถ้ามึงเป็นอย่างนี้กูก็ทำลายชื่อเสียงมึงได้ สรุปแล้วผมก็ไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ ในช่วงนั้นผมคิดก่อนเลยว่าไปทำบุญก่อนดีไหม ก็ขับรถไปวัดทำบุญ 2 ล้านบาท ทีนี้ผมไม่ต้องทำอะไรแล้ว ในเมื่อเรื่องเงินเรื่องทองมันสำคัญกับทุกคนมาก ก็คิดว่าถ้ามีเงินมีทองแล้วมันขนาดนี้ ไม่เอาดีดว่าไหม ผมไปเคานต์ดาวน์เชียงราย ผมก็พกเงินตัวเองในกระเป๋าไปประมาณล้านกว่าบาท ไปกินเบียร์ ฉลอง พอเคานต์ดาวน์ ผมไม่เอาอะไรกับชีวิต คิดว่าจะไปเตะขอบฟ้าพอแล้ว ปีใหม่ผมจะเป็นคนใหม่ ก็ควักเงินมา 2 แสน พอนับถอยหลังผมก็โยนเงิน
- ครั้งหนึ่งที่เราอยากฆ่าตัวตาย แต่ก็รอดตรงตรงนั้นมาได้ เพราะเรายังอยากเป็นพ่อของลูก ๆ อยู่ ?
ริว : มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้พูด เพราะผมเป็นบุคคลหนึ่งที่เคยจะฆ่าตัวตาย ไม่อยากอยู่ แล้วคิดตัดสินใจว่า ตอนนั้นมีการศึกษาด้วยนะว่าคนฆ่าตัวตาย กระโดดที่ไหนแล้วตาย ต้องดูข่าว ผมต้องคำนวณความสูง คำนวณระยะเวลาว่าเขาโดดตอนกี่โมง แล้วเขาทำสำเร็จได้ยังไง ผมเช็กข่าวแล้วเดินทางไป ณ จุดนั้นจริง ๆ ผมพยายามอยู่ 2 ครั้ง ผมไป 2 วันติด ครั้งแรกผมไปชั้นจอดรถของเดอะมอล์บางกะปิ ผมก็มองตรงนี้ผ่านไหม อุ้ย รถผ่าน เดี๋ยวเดือดร้อนคนอื่น แล้วถ้าคนเดินผ่านมากูไปทับเขาตายกูก็บาปอีก ล้มเลิก วันที่ 2 ขอเช็กก่อนว่ามีใครรักกูไหม แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณชีพของความรักเกิดขึ้น ยังไงเธอก็จะจากฉันไปให้ได้ งั้นเอาวันนี้แหละ วันที่เขาเดินทางไปต่างประเทศ
- แล้ววันที่ 2 ตัดสินใจว่าเอาแล้ววันนี้จะฆ่าตัวตาย ?
ริว : แน่นอนวันนี้เป็นวันพิฆาตตัวเอง เพราะไม่มีสัญญาณชีพของความรักเกิดขึ้น ทั้งที่ผมให้ความสำคัญมาก จนชีวิตนี้คงจะหาไม่แล้ว พอแล้ว ไม่อยากอยู่แล้ว ก็ไป ณ ที่จุดจุดหนึ่ง ยืนสูบบุหรี่มอง ตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่สำเร็จได้ รอจังหวะนับในใจ ยามก็เดินมาดู ผมก็บอกไม่มีอะไร ดูนก ดูไม้ กลัวเขามาล้อมผม เพราะผมยืนนานมาก ประมาณ 3 ชม. คือตัดสินใจว่าจังหวะนั้นต้องไม่ใครผ่านมา แล้วต้องไม่มีรถ ต้องลงในจุดไหน
- แล้วอะไรที่ทำให้เราเปลี่ยนใจ ?
ริว : จังหวะนั้นสูบบุหรี่จนหมดซองตัวสุดท้าย คิดว่าตายแบบไหนให้ดวงจิตมันไปดี ๆ ก็คิดว่าตายแบบมีความสุขก็ได้นะ ได้หมดตัวนี้กระโดดเลยทันที จังหวะทิ้งบุหรี่ ทิ้งลงข้างล่างนะดูว่าตำแหน่งบุหรี่จะตกตรงไหน ดูทางลมนิดหนึ่ง อย่าออกไปตรงหญ้านะ เดี๋ยวไม่ตาย พิการ อย่าไปติดต้นไม้ ต้นไหนนะ เดี๋ยวกลายเป็นภาระคนอื่นอีก เอาละบุหรี่ลงสุดวางโทรศัพท์เตรียมปีนแล้ว สักพักโทรศัพท์มา แฟน โทร. มา ผมก็รับ เขาถามพี่อยู่ไหน ทำไมติดต่อไม่ได้เลย ก็ไม่ได้เปิดเครื่อง เพิ่งเปิดเมื่อกี้ แล้ว โทร. มาทำไม พี่อยู่ไหน อยู่ลานจอดรถ พี่ไปทำอะไร พี่กำลังจะกระโดด เขาบอกพี่จะบ้าเหรอ พี่ขอร้อง พี่อย่าบ้า เขาก็ดุผม แล้วเขาร้องไห้ขอร้อง อย่าทำ ตอนนั้นผมก็ร้องไห้ เขาก็รักเราวะ พี่เดี๋ยวหนูโอนเงินให้พี่ 2 พัน กลับบ้านนะ มึงรักจริงปะเนี่ย
- แล้วใช่แฟนคนนี้ไหมที่เรามีลูก ?
ริว : ไม่ใช่ ก่อนผมจะกระโดดผม โทร. ไปหาอาม่านะ ถามว่าอาม่าสบายดีไหม ดูแลลูกผมดี ๆ
- จริง ๆ เคยร่วมงานกันมาก่อนไหม สมัยวัยรุ่น ?
ริว : ก็อยู่ RS ผมเป็นพิธีกร เขาเป็นศิลปิน
- ตอนนั้นสนิทกันไหม ?
นิกกี้ : ไม่ได้สนิทมาก แต่ว่ามีการเจอกันบ้าง พูดคุยกันบ้าง
- แล้วพอเห็นข่าว อะไรทำให้โพสต์ ริวมีอะไรให้ผมช่วยเหลือ ?
นิกกี้ : สำหรับผมมันไม่จำเป็นต้องสนิท สำหรับริวผมไม่ติดอะไรเพราะตัวผมเอง ผมเกเรมาก่อน แล้วสิ่งที่เขาน่าจะเผชิญอยู่ผมเคยผ่านมาหมดแล้ว พอวันนี้ผมตั้งตัวใหม่ได้ ผมก็รู้สึกว่าควรจะให้โอกาสคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือ นั่นก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแล้วโพสต์ไป แล้วตามหาเขาก็ตั้งใจจริง ๆ
- ที่ตั้งใจคือตั้งใจช่วยในด้านไหนบ้าง ?
นิกกี้ : คือถ้าคนให้เงินคงจะหมดแล้วแหละ เพราะเขาต้องไปใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าคิดว่าจะช่วยก็ต้องให้สุด ก็คิดว่าจะสร้างงานให้เขาก่อน เดี๋ยวจะเอาเขามาทำงานกับองค์กรผม อาจจะมาช่วยทำรายการ ช่วยขายของ
- น้อยคนที่จะเหมือนกับนิกกี้ ความรู้สึกข้างในเราเป็นยังไง ?
ริว : ผมมีความรู้สึกว่านี่ขนาดเราคุยกันน้อย ๆ นะเนี่ย พอเขาได้เห็นข่าว พอเขาประกาศ นิกกี้เขาชัดเจนทุกเรื่องอย่างน้อยเขาคล้าย ๆ ผมอย่างหนึ่ง ถ้าผมตัดสินใจแล้ว หรือจะช่วยใคร ผมจะช่วยทันที
- ตอนนี้พร้อมจะมาทำงานกับนิกกี้ไหม ?
ริว : ยังไม่ได้คุยเลย ยังไม่รู้ว่านิกกี้เขาคิดอะไรอยู่ วันนี้ก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันว่ามาอยู่ในรายการ แต่ก่อนหน้านี้ทราบแล้วว่านิกกี้ตามหาอยู่
- อยากจะบอกอะไรริว ?
นิกกี้ : ผมเป็นคนที่ถ้าพูดไปแล้วก็ต้องทำ พอรายการทักมา โอเคมาเซอร์ไพรส์ริวผมก็ยกเลิกทุกอย่าง แล้วมา คือผมก็ไม่ได้องค์กรใหญ่อะไรมาก แต่ผมเชื่อว่าถ้าเขาได้รู้คุณค่าของตัวเองได้กลับมาทำงาน ได้เห็นศักยภาพของตัวเอง ชีวิตเขาจะรู้สึกภูมิใจในการที่เขาจะหาเงิน