เฌอปรางมีสีหน้าที่สลด ตอบเรื่องนี้ว่า ตอนนั้นรู้แค่ว่าเพิ่งออกกองจนถึงประมาณเที่ยงคืน เช้า 7 โมงได้ข่าวนี้ ก่อนหน้าที่จะเสียชีวิต เขาเคยมาคุยกับหนูครั้งหนึ่งว่าเขารู้สึกไม่ปกติ เขารู้สึกเหมือนจะซึม ๆ ส่วนตัวหนูก็โอเค อย่างน้อยได้เจอเขาครั้งหนึ่ง แล้วน้องเขาก็กังวล ไม่อยากให้ที่บ้านรู้ ไม่อยากให้เป็นห่วง ในใจหนูตอนนั้นคิดว่า เดือนหน้าก็จะว่างแล้ว เดี๋ยวคงไปช่วยน้องได้ เพราะกำลังจะถ่ายทำละครเสร็จ ซึ่งในวันที่ถ่ายทำเสร็จ เป็นวันที่เกิดเรื่องพอดี
ซานิ ถามว่า "มีสัญญาณอะไรไหมว่ามันจะเกิด" เฌอปรางตอบว่า ไม่มีสัญญาณแบบกิจจะลักษณะอะไรเลย และก่อนที่น้องจะเสียชีวิต ก็ไม่มีการพิมพ์อะไรมาบอกเลย ส่วนพ่อแม่ก็ช็อก ก่อนหน้านี้ก็พอรู้บ้างว่าน้องมีปัญหา แต่น้องก็อยากจะผ่านปัญหาไปได้ด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ใครลำบาก ไม่อยากเป็นภาระให้ใคร เขาเป็นนักกีฬาโบว์ลิ่งทีมชาติด้วย เขากำลังเรียนปี 1 กำลังปรับตัว ทำงานพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาเงิน ซึ่งงานเขาก็เยอะกว่าคนทั่วไปที่มีอายุเท่ากันอยู่แล้ว
เราเองก็เคยบอกให้เขาหยุดนะ บอกว่า พี่ยังเลี้ยงเธอได้อยู่ ที่บ้านก็ยังคงเลี้ยงไหว ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ แต่เขาก็ยังอยากพิสูจน์ตัวเองว่าเขาทำได้ จนกลายเป็นความกดดัน
ซานิ กล่าวเสริมว่า "เด็กรุ่นใหม่มีแนวคิดแบบนี้เยอะนะ คือ อยากจะผ่านปัญหาไปได้ด้วยตัวเอง เสียใจด้วย แต่มันผ่านไปแล้ว ต้องไปต่อแล้ว คนที่อยู่ต่อต้องเข้มแข็งให้ได้ คือเหตุการณ์นี้สอนอะไรเฌอปรางได้บ้าง"