เป็นครั้งแรกที่แจมจะได้มีโอกาสคุยเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องโรคซึมเศร้า เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่กล้าบอกใครใช่ไหม ?
แจม เนโกะ จัมพ์ : คือตอนที่เราเป็นโรคซึมเศร้า เราจะไม่ได้ตื่นเช้ามาอีกวันหนึ่งแล้วเราสามารถรู้ได้ว่าฉันผิดปกติ ฉันต้องไปหาหมอ ฉันเป็นซึมเศร้าหรืออะไร คืออาการมันก็จะมาอยู่เรื่อย ๆ ค่อย ๆ เป็นขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว บุคลิก นิสัย หรือว่าการที่เราเปลี่ยนพฤติกรรม มันค่อย ๆ เปลี่ยนไปโดยที่เราไม่รู้เลย รู้สึกว่าไม่สามารถพบปะผู้คนได้ ไม่อยากเจอใคร งานก็ไม่อยากรับ ไม่อยากเจอแฟนคลับ หรือแม้กระทั่งเพื่อน เราไม่คุยกับใครเลยเหมือนเราเก็บตัว ตื่นเช้ามานอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ ไม่ทำอะไร
อันนั้นคือจุดเริ่มต้นที่เป็นแต่เราไม่รู้ โตมาขนาดนี้แล้วผ่านเหตุการณ์ในชีวิตเยอะแยะ ปกติแล้วเราสามารถรับมือได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ แต่ว่าช่วงที่เป็นเราไม่มีเหตุผลเลย ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้เลย จะรู้สึก Negative รู้สึกไร้ค่า เหมือนว่าเราอยากจะตาย (เสียงสั่น ร้องไห้) ซึ่งเป็นความคิดที่แย่มาก ๆ ทำให้ครอบครัวผิดหวัง จากการที่เราไม่ยอมลุกมาทำงาน ไม่รับงานเลยค่ะ อยู่แต่กับบ้าน ทุกคนก็พยายามเข้าหาเรา แต่เราก็ผลักไสเขาออกไป แล้วก็มารู้สึกผิดกับตัวเองอีกว่าครอบครัวช่วยเหลือเรามาขนาดนี้ คือบ้านหนูเป็นคนธรรมดา กว่าหนูจะมาเป็นดารา กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ แต่เรากลับมีความคิดแย่ ๆ ไม่เอาอะไรแล้ว เลิกทุกอย่างในชีวิต
ช่วงของชีวิตในตอนนั้นเป็นยังไง ?
แจม เนโกะ จัมพ์ : ช่วงชีวิตตอนนั้นมันเหมือนมืดไปหมดเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่เรามีคนรอบตัว แต่เรารู้สึกเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียว แล้วเรารู้สึกว่าเป็นภาระให้กับทุกคน ฉันอยากที่จะหายไป อยากให้ตัวเองหายไปจากโลกนี้ทุกคนจะได้มีความสุขมากขึ้น คือมันจะเป็นความคิดแบบนั้น แล้วมันหยุดคิดแบบนั้นไม่ได้ค่ะ
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นสะสมมาจากอะไร แล้วจัดการกับมันยังไง ถึงสามารถนั่งต่อหน้าพี่วู้ดดี้ได้ถึงวันนี้ ?
แจม เนโกะ จัมพ์ : คือเราเคยมีชีวิตที่อยู่ในจุดที่สูงกว่านี้ ตอนที่เป็น เนโกะ จัมพ์ ใช่ไหมคะ แล้วพอหลังจากนั้นเราก็เหมือนอยากจะเริ่มบทใหม่ของชีวิต คิดว่าพอแล้วกับการทำงานในวงการ เส้นทางใหม่ของเราคืออยากจะทุ่มเทให้กับการเป็นภรรยาของใครสักคนหนึ่ง อยากที่จะทุ่มสุดตัวให้กับตรงนั้น แล้วพอมันไม่ได้เกิดขึ้น เลยรู้สึกว่าเลือกทางเดินผิด ก็เลยคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่เสียสละให้เรามาตลอด แม่เสียสละที่จะออกจากการทำงานของตัวเองเพื่อมาสนับสนุนเราแบบเต็มตัวจนมาถึงจุดนี้ แต่ว่าเราเลือกที่จะทิ้ง แล้วพอสิ่งที่คิดว่ามันดีกว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นก็เลยคิดว่าเราตัดสินใจได้แย่ ทำให้ทุกอย่างมันล้มไปหมด จริง ๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่ปัญหาที่ดูเป็นเรื่องใหญ่โลกแตก แต่ว่าในสภาวะของอารมณ์ของการเป็นซึมเศร้ามันใหญ่มาก ๆ ในตอนนั้น
คือคิดอย่างอื่นไม่ได้เลยค่ะ คือถ้าคนอารมณ์ปกติเขาจะแบบโอเคทุกคนมีปัญหาในชีวิต เราสามารถผ่านมันไปได้ เครียดหน่อย ร้องไห้หน่อย เดี๋ยวมันก็จะจบ เราสามารถเดินออกจากตรงนั้นได้ แต่ว่าพอมันมีปัญหาเป็นโรคซึมเศร้า เคมีในสมองมันผิดปกติไป ทำให้เราเป็นวังวนอยู่แบบนี้แล้วออกไม่ได้เลย ตอนที่เป็นก็ไม่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร คิดว่าจะจัดการกับมันเองได้ ปล่อยให้อาการมันหนักขึ้น หนักขึ้น แล้วพอรู้เราก็ไม่กล้าที่จะบอกใคร ไม่กล้าที่จะทำอะไรกับมัน เพราะอาย
จุดเปลี่ยนในตอนไหน ?
แจม เนโกะ จัมพ์ : ก็คือวันที่เราบอกว่า เราอยากจะหายไปค่ะ (เสียงสั่น) นอนคิดอยู่กับตัวเองว่าถ้าที่บ้านไม่มีเราดีกว่าไหม (ร้องไห้) หลังจากที่เราคิดแบบนั้น เรานอนอยู่บนเตียงแล้วก็วางโทรศัพท์เอาไว้ แล้วโทรศัพท์แจ้งเตือนขึ้นมาเป็นข้อความในแชตของครอบครัวว่า กินข้าวไหม โอเคไหม หนูรักพี่นะ ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว ไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว เราเหนื่อยกับการที่จะต้องเป็นแบบนี้ตลอดเวลา เราอยากหาย ก็เลยเป็นจุดที่ตัดสินใจว่ายอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่มันเป็น ณ ตอนนี้ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ค่ะว่ามันคือโรคซึมเศร้า แต่รู้ว่าจิตใจเราไม่ปกติ ก็เลยตัดสินใจที่จะไปหาจิตแพทย์ รักษาอยู่ประมาณ 2 ปี ถึงรู้สึกว่าโอเคมันหายไปแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้วค่ะ