รู้ว่ามาตั้งแต่มีลูกชีวิตของพวกคุณพลิกไปเลย ตั้งแต่มี 2 หนุ่ม ?
ออย : ใช่ค่ะ
บีม : พูดถึงมาตรฐานชีวิตแล้วกันครับ แต่ก่อนพวกเราก็มีกัน 2 คน ใช้ชีวิตไม่ได้หวือหวาอะไร พูดตรง ๆ คนภายนอกก็อาจจะไม่ได้มองครอบครัวเราว่าเป็นครอบครัวที่พิเศษ แต่พอหลังจากมีเขาขึ้นมา เราก็รู้สึกได้ว่าคนก็มองครอบครัวเราเป็นเหมือนตัวอย่างขึ้นมานิดหนึ่ง ทำให้พื้นฐานใช้ชีวิตของเราก็คือดีขึ้นแหละ ครอบครัวดีขึ้น มั่นคงมากขึ้น คือเราก็เชื่อเรื่องที่เขาเกิดมาแล้วเขาก็มีอะไรตามมาด้วยอะไรอย่างงี้
ออย : ตอนที่ออยจะคลอด น้องสาวออยเขาก็แนะนำว่าให้ออยพูดกับลูกบ่อย ๆ นะว่าให้เอาซาลาเปามาเยอะ ๆ คือคนจีนเขาจะถือว่าซาลาเปาเหมือนเงินเหมือนทอง แล้วก่อนวันที่ออยจะคลอดบีมเขาก็มาลูบท้องพูดว่าเอาซาลาเปามาเยอะ ๆ นะ (หัวเราะ)
ออย : แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไร คืออะไรทำแล้วดีเราก็ทำ
แต่เขาก็เอามาให้หลายเข่งนะ ?
ออย : เขาก็เอามาให้ แล้วมันก็มีอยู่ทริปหนึ่งตลกมากเลย อยู่ดี ๆ น้องพีร์เขาก็พูดขึ้นมาว่าเดี๋ยวน้องพีร์จะให้เงินพ่อพ่อเยอะ ๆ เลย แล้วพ่อเขาก็ถามว่าให้แค่ไหน เขาก็ตอบว่าให้แบบใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่าเลย แล้วทุกวันนี้ก็ยังมีแฟนคลับแซวว่าน้องพีร์ก็เอาเงินมาให้พ่อพ่อใหญ่เบ้อเร่อเบ้อร่า
ความน่ารักของลูกมันมาจากความธรรมชาติ แต่แน่นอนว่าการมีกล้องการถ่ายทำ การเป็นคนในโซเชียลเราก็ต้องระวังเหมือนกัน คุณระวังกันยังไงหรือคุยกับลูกยังไงให้เขาเข้าใจ ?
ออย : ตอนแรกออยก็ยอมรับว่าเราไม่ได้คิดถึงตรงนี้ขนาดนั้น เพราะออยก็โตมากับการที่แบบว่า เราก็เป็นคนโบราณนิดหนึ่งค่ะ การถ่ายรูปหรืออะไรสมัยก่อนแก้ผ้าถ่ายรูปอะไรแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องระวังอะไรซึ่งตอนนั้นมันเป็นฟิล์มแต่พอเป็นกล้องดิจิตอลแล้วมันเป็นการโพสรูป เราก็ต้องคุยกันว่าไม่ให้ลูกโป๊นะอย่างแรก ก็จะดูให้ออกมาน่ารัก เพราะเราก็จะเก็บไว้ให้เขาดู แล้วเราก็จะได้ดูเองด้วย อยากให้มีความทรงจำดี ๆ ให้เขาเก็บไว้ดู แต่พอนานเข้าเริ่มมีคนสนใจเยอะ อย่างตอนที่เขาจะเข้าโรงเรียนเราก็คุยกันว่าเราจะไม่เปิดเผยชื่อโรงเรียนนะ เพราะมีคนถามเยอะว่าน้องจะเรียนอะไร เราก็กลัวว่าเดี๋ยวจะมีคนตามไปที่โรงเรียน ก็จะคุยกันเป็นสเต็ป ๆ ไป
คุยกับลูกยังไง เพราะต้องมีคนมาขอถ่ายรูปมาทักมาคุย หรือเพื่อนร่วมห้องก็อาจจะมีพ่อแม่ที่ดูคลิป เพราะเราก็ไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา ?
บีม : อย่างที่ 1 ก็คือพอเวลาเราเจอคนที่เขามาขอถ่ายรูป เราก็จะอธิบายว่าเขารู้จักหนูลูก เขามาด้วยความรู้สึกดี อย่างแรกเราต้องให้ความรู้สึกแบบนี้ก่อน ซึ่งจริง ๆ มันก็คือความรู้สึกแบบนั้นแหละ อย่างที่ 2 ก็ต้องอยู่ที่ความพึงพอใจของลูกเราด้วย เราจะบอกทุกคนที่เข้ามาว่าต้องให้ตัวเขายินยอมก่อน นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด
ออย : แต่ทุกคนก็น่ารักนะคะ เขาจะถามตลอดว่าถ่ายรูปได้ไหม ออยก็จะหันไปถามลูกก่อนว่าให้ถ่ายไหมลูก ถ้าเขายอมให้ถ่ายเขาจะชู 2 นิ้วอะไรแบบนี้เลยนะคะ แต่ถ้าเขาไม่ยอมให้ถ่ายเขาจะพูดว่าไม่ ออยก็จะบอกขอโทษด้วยนะคะ คือเราก็เข้าใจคนที่เขามาขอถ่ายรูปนะคะ ว่าเขาอาจจะรู้สึกผิดหวัง รู้สึกเสียใจนิดหนึ่ง แต่ว่าบางทีออยก็ต้องชั่งน้ำหนัก ระหว่างการรักษาน้ำใจลูกเรา กับการรักษาน้ำใจคนอื่น
เป็นยังไงบ้างการที่มีพี่เลี้ยงออนไลน์ เพราะก็เห็นคนคอมเมนต์เยอะพอสมควร อันนี้ควรทำไม่ควรทำ ?
ออย : เราเห็นตัวอย่างจากบ้านอื่น บ้านดารานะคะ ออยก็เห็นแล้วว่ามันมีแบบนี้ ตอนแรกก็คิดว่าเราคงไม่ได้เป็นที่สนใจขนาดนั้น แต่พอเอาเข้าจริงก็มีเยอะเหมือนกัน แรก ๆ ที่เขาคอมเมนต์กลับมาส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้อความว่าเราอุ้มลูกไม่เท่ากัน อุ้มคนนี้เยอะกว่า คนนั้นน้อยกว่า เหมือนรักลูกไม่เท่ากัน พอฟังครั้งแรกเราก็รู้สึกเครียดนะคะ แล้วก็กลับไปย้อนดูว่าเราทำอะไรเขาถึงคิดอย่างนั้น ทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนั้น เพราะว่าเราก็ไม่อยากเป็นแบบนั้น ก็กังวลใจ พอกลับไปย้อนดูแล้วก็คุยกับบีมว่าตรงนี้มันเป็นยังไง คือทบทวนกันแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจ โอเคเขาอาจจะเห็นภาพวิดีโอตรงนั้น ด้วยลูกที่นิสัยไม่เหมือนกัน แล้วสถานการณ์ตรงนั้นเราก็ควบคุมได้เท่าที่เราสามารถทำได้ พอหลังจากนั้นมีข้อความลักษณะแบบนี้มาอีก เราก็ไม่เครียดละ เราก็พยายามอธิบายเขา
เคยมีแฟนมีตติ้งหรือยัง ?
ออย : ยังไม่กล้าจัดค่ะ (หัวเราะ) มีแต่คนอยากให้จัด
เพราะอะไร ?
ออย : ก่อนหน้านี้มันเป็นโควิดด้วยค่ะ อย่างที่ 2 ออยรู้สึกว่าไม่อยากให้ลูกอยู่ท่ามกลางคนที่รักเขามาก ๆ แต่เขาไม่รู้จักใครเลย มันคงน่าตกใจเหมือนกันกับเด็กอายุน้อย ๆ อะไรแบบนี้
บีม : แต่จริง ๆ แล้วเขาก็ได้ไปเจอคนที่รักเขามาก ๆ เหมือนกันครับในงานอีเวนต์
ออย : แต่อันนั้นมันแป๊บเดียว แล้วก็มันมีเป็นสัดส่วนกั้นบริเวณหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจะค่อนข้างมีพื้นที่ แต่ถ้าเกิดว่าจัดแฟนมีตขึ้นมา ออยเข้าใจทุกคนมาก ๆ เลยว่า ทุกคนอยากจะถ่ายรูปคู่กับน้อง คิดว่าลูกคงโดนรุมระดับหนึ่ง แล้วเขาก็อาจจะกลัว ถ้าจะมีเกิดขึ้นจริงอาจจะให้เขาโตกว่านี้เยอะ ๆ ก่อนค่ะ แต่ในอนาคตก็อาจจะไม่อยากมีแล้วก็ไม่รู้
เป็นปรากฏการณ์มากสำหรับพี่ ทีมงานทุกคนพูดถึงแล้วลูกคุณก็น่ารักด้วย มันลงตัวและความเป็นบีมที่คนรู้จัก เป็นอะไรที่เขาเสพแล้วมีความสุข เหมือนมอบความสุขให้กับเขา ?
ออย : เราดีใจที่ครอบครัวของเราเป็นส่วนหนึ่งของรอยยิ้มให้เขาในแต่ละวัน เพราะว่าคอมเมนต์ที่ไปอ่าน ส่วนใหญ่จะบอกว่าขอบคุณที่ทำให้วันแย่ ๆ ของเขาทำให้เขายิ้ม หรือบางคนส่งข้อความมาหาออยว่าเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งไม่ใช่คนเดียวนะคะเยอะมากว่าลูกเราทำให้ฮีลใจเขา ออยรู้สึกว่าตรงนี้มันเป็นกุศลให้ลูกเรา ทำให้คนอื่นที่แม้เราจะไม่รู้จักเขาแต่ก็ทำให้ชีวิตเขามีความสุข
บีม : คือบางคนอาจจะไม่ถึงขนาดเป็นโรคซึมเศร้า แต่ว่าอย่างแดนเองเขาก็เคยบอก เขาไปเจอผู้ใหญ่ในวงการ ว่าได้ดูลูกพี่บีมแล้วรู้สึกว่าชีวิตเขารู้สึกดี ดูทุกเช้า คือตัวเขาเองคงไม่มีโอกาสได้มีลูกได้ดูความน่ารักของเด็ก ๆ มันฮีลใจ มันทำให้เช้าของเขาสดใส ซึ่งก็เป็นด้านที่ดีเหมือนกัน
แล้วตอนนี้กระแสของ 2 สาวเป็นยังไงบ้าง ?
ออย : ดีค่ะ มันเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์บ้านเราเหมือนกัน ตอนที่มีลูกชายโอเคเรารู้แล้วว่าคนรักเขาเยอะ ลูกสาวก็คิดว่าใครจะมีคนรักทั้ง 4 คนทั้งบ้านขนาดนั้น แต่ก็กลายเป็นมีแต่คนถามหา อัยวา อัญญา เพราะว่านางจ้ำม่ำแก้มใหญ่ ผู้ใหญ่เขาคงจะอยากฟัด เอ็นดูเขา แล้วบุคลิกเขาคือเด็กตลก เขาฉลาดมาก เขาฟังคำสั่งได้ เขาจำชื่อคนในบ้านได้หมดทุกคนเลย
คุณมีไข่กี่ฟอง ?
ออย : ตอนนี้เหลืออีกหนึ่งค่ะ เป็นผู้หญิง
กำลังตัดสินใจอยู่ ?
ออย : คือถ้าคุยกันตอนนี้คิดว่าคงไม่ แต่ว่าก็ไม่รู้ แต่ก็ยังเก็บไว้อยู่ค่ะ เพราะว่าแก่แล้วค่ะพี่วู้ดดี้ สมมุติว่าถ้าจะมีลูกอีกที ออยก็คงต้องรอให้คู่ที่สองเขาโตระดับหนึ่งก่อน เพราะว่าไม่อย่างนั้นเราจะแบ่งร่างในการดูแลเขาไม่ได้ ซึ่งถึงตอนนั้นออยก็คงจะ 50 แล้วก็คงไม่ไหว ก็ไม่รู้ด้วยว่าท้องอีกคนหนึ่งจะไหวไหม ไม่รู้ว่าข้างในเราพร้อมที่จะตั้งครรภ์อีกรอบไหวไหม ถ้าสมมุติว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ ก็อาจจะต้องให้คุณหมอพิจารณา
บีม : ผมรู้สึกว่าการมีลูกคนหนึ่งภรรยาผมใช้ร่างกายเปลือง เหมือนต้องใช้พลังงาน เหมือนดึงอะไรบางอย่างมาจากตัวเขา ก็คิดว่าดึงออกมาตั้ง 4 คนแล้วนะ (หัวเราะ) อีกคนก็คิดว่าไม่ดีกว่า