ฉีดฟิลเลอร์ปาก หัตถการความงามที่สาว ๆ นิยม ใครที่กำลังตัดสินใจเข้าคลินิกฉีดฟิลเลอร์ปาก ต้องรู้อะไรบ้าง แล้วควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ปากแบบไหนให้เข้ากับใบหน้า มาดูกัน
เพราะรูปปากก็เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดไม่แพ้ดวงตา และด้วยปัจจุบันทรงปากสวย ๆ ก็มีให้สาว ๆ เลือกเยอะกว่าแต่ก่อน นั่นก็เพราะมีหัตถการความงามเข็มฉีดยาที่เรียกว่า “ฟิลเลอร์ปาก” นั่นเอง แต่ช้าก่อน ใครที่กำลังตัดสินใจเข้าคลินิก แล้วอยากจะได้รูปปากแบบนั้น แบบนี้ ควรอ่านบทความนี้ให้ละเอียด เพราะไม่ใช่แค่ฉีด ๆ แล้วจะสวยเป๊ะเหมือนสาวสายฝอ หรือได้รูปปากแบบสาวเกาหลี แต่ทุกส่วนของรูปปากเดิมย่อมต้องถูกปรับแต่งและเติมเต็มให้เข้ากับใบหน้า และต้องเลือกชนิดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมด้วย
ฉีดฟิลเลอร์ปาก คืออะไร
ฟิลเลอร์ปาก หรือ (Lip Filler) เป็นหัตถการความงามที่ได้รับความนิยมมาก ๆ โดยใช้เข็มฉีดยา ฉีดนำสารเติมเต็มเข้าไปที่บริเวณริมฝีปาก เพื่อปรับรูปปากที่บกพร่องให้สวยได้รูปมากที่สุด โดยหัตถการความงามนี้จะต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญเท่านั้น ทั้งการออกแบบตำแหน่งการฉีด ประเมินปริมาณสารที่ฉีด และลงมือฉีดลงไปในชั้นผิวปากอย่างถูกต้อง ประกอบกับใช้สารเติมเต็มที่ฉีดปากจะต้องเป็นฟิลเลอร์แท้ ถึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่อันตราย เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ทำไมคนถึงนิยมฉีดฟิลเลอร์ปาก
เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นการปรับแก้รูปทรงปากโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่เปิดปากแผล จึงทำให้คลายกังวลเรื่องความเจ็บ และลดความเสี่ยงรอยแผลเป็นที่อาจเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดปาก ไปจนถึงการผ่าตัดศัลยกรรมปาก หากทำโดยแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญมากพอ อาจตัดสัดส่วนปากออกไปเยอะเกิน หรือบิดเบี้ยวเกิน ซึ่งเนื้อที่ถูกตัดไปไม่สามารถตัดต่อกลับคืนมาได้ อีกทั้งการฉีดฟิลเลอร์ยังได้เปรียบในบางปัญหาที่ผ่าตัดปากทำไม่ได้ เช่น การยกมุมปาก, การเติมเต็มร่องลึกของปากในจุดใดจุดหนึ่ง เป็นต้น
ประเภทฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดปาก
ปัจจุบันฟิลเลอร์ที่นำมาฉีดเติมเต็มผิวหนังในร่างกายแล้วปลอดภัย ได้รับรองมาตรฐานจาก อย. ไทย จะมีแค่ชนิดเดียวเท่านั้นคือ ฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราว (Temporary Dermal Fillers) ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถสลายตัวเองได้โดยไม่ทิ้งสารตกค้างไว้กับผิวหนังหรือเนื้อเยื่อใด ๆ ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิดได้แก่ กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid), คอลลาเจน (Collagen), แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite)
สำหรับฟิลเลอร์ปากจะนิยมใช้ที่สุด คือกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid หรือ HA) เพราะมีคุณสมบัติเติมเต็ม อวบอิ่ม เป็นธรรมชาติ และมอบความชุ่มชื่นที่เหมาะสมกับเนื้อปากได้ดีที่สุด
ฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อแก้ปัญหาอะไร
อย่างที่ทราบกันว่าคุณสมบัติของฟิลเลอร์คือมอบความชุ่มชื่นและอิ่มน้ำให้ผิวปากทำให้ปากดูมีสุขภาพดี ไม่แตกแห้ง และคืนความกระจ่างใสให้ริมฝีปากได้ด้วย แต่หากเจาะลึกไปในการแก้ปัญหาปากจริง ๆ แล้ว ฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มและแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของปากได้ดังนี้
- ปากคว่ำ มุมปากงุ้มลงต่ำ ดูเหมือนคนอมทุกข์ตลอดเวลา
- ปากไม่เท่ากัน เนื้อปากเบี้ยวไม่ได้รูป อันเกิดจากอุบัติเหตุ
- ปากบาง ริมฝีปากบน-ล่างบางเกินไป ไม่มีความสมดุลกัน
ฟิลเลอร์ปาก vs ผ่าตัดศัลยกรรมปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปาก และการผ่าตัดปากมีความแตกต่างกันตั้งแต่วิธีทำ และผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งสามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจนดังนี้
| ชื่อเทคนิค | วิธีทำ | ผลลัพธ์ที่ได้ | ระยะเวลาแสดงผลลัพธ์ |
| ฉีดฟิลเลอร์ปาก | ใช้เข็มฉีดนำสารฟิลเลอร์ลงไปเติมเต็มที่ผิวปาก | เติมเต็มร่องปากที่บกพร่องให้อวบอิ่ม ยกมุมปากกระจับให้สวย | ไม่อยู่ถาวร จะให้ผลลัพธ์ประมาณ 8 เดือน - 1 ปี (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์) |
| ผ่าตัดศัลยกรรมปาก | ผ่าตัดและตกแต่งเอาเนื้อส่วนเกินของปากออก | ปรับรูปปากให้เรียวเล็กลง หรือตัดแต่งให้มีความโค้งเว้าทำให้ใบหน้าดูหวานขึ้น | ให้ผลลัพธ์ถาวร |
ข้อดี-ข้อเสีย ฟิลเลอร์ปาก
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- เห็นผลไว ให้ผลถึงการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังฉีดเสร็จ
- ไม่ต้องเตรียมตัว หรือต้องงดอาหารบางชนิดก่อนฉีด
- ไม่ต้องพักฟื้น ทำเสร็จสามารถไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันต่อได้เลย
- ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องทำแผล ไม่ต้องหลีกเลี่ยงการกินอาหารแสลงที่อาจส่งผลต่อแผลในกรณีผ่าตัด
- ช่วยให้ผิวปากสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก เพราะในฟิลเลอร์จะมีสารให้ความชุ่มชื่นซึ่งจำเป็นต่อริมฝีปาก
- ไม่เสียเงินเยอะ เพราะค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการไม่สูงเท่าการผ่าตัด
- สามารถปรับเปลี่ยนทรงปากได้ หากไม่พอใจในรูปปากที่เติมไป สามารถกลับมาปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับแก้โดยการฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยสารไฮยาโลรูนิเดส (Hyaluronidase) หรือฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมแต่งในจุดใดจุดหนึ่งจนกว่าจะพอใจ
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ให้ผลลัพธ์แค่ชั่วคราว โดยสารฟิลเลอร์จะสลายไปเองประมาณ 8 เดือน หรือ 1 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ฉีด และการดูแลบำรุงรักษา
- เสี่ยงปากเป็นก้อน ห้อยย้อย หรือบวมใหญ่ไม่ได้รูป หากเลือกชนิด / ยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ไม่เหมาะกับการนำมาฉีดปาก
ทรงปากยอดนิยมในปัจจุบัน
หากแยกทรงปากตามเทรนด์นิยมในปัจจุบัน จะแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ ทรงปากสายฝอ และ ทรงปากเกาหลี โดยมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนี้
ทรงปากสายฝอ
Full Lips
- ลักษณะ : เน้นรูปปากอวบอิ่มมากเป็นพิเศษ มีความหนาทั้งริมฝีปากบนและริมฝีปากล่าง และขอบปากจะต้องชัดทุกมุม โดยรวมแล้วจะทำให้รูปปากดูเจ่อๆ นิดๆ ให้อารมณ์เซ็กซี่ตามสไตล์สาวมั่นจากฝั่งตะวันตก
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ : 2-3 CC
Heavy Lower Lips
- ลักษณะ : ริมฝีปากล่างจะหนากว่าริมฝีปากบน ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ปากในลักษณะนี้จะต้องเน้นไปที่ปากล่างให้หนาและอวบอิ่ม ส่วนริมฝีปากบนไม่ต้องหนามาก แต่ขอบปากต้องจัด หรือในบางคนที่ต้องการเพิ่มความละมุนลงไปก็สามารถยกมุมปากขึ้นได้อีกด้วย
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ : 2-3 CC
ทรงปากสายเกาหลี
Bow Shaped Lips
- ลักษณะ : เป็นการเพิ่มความเซ็กซี่และทำให้น่าดึงดูด ด้วยการเพิ่มวอลุ่มให้กับริมฝีปากบน โดยฉีดฟิลเลอร์ไปที่ขอบปากให้มีลักษณะโค้งคล้ายคันธนูเว้าลงล่างนิดๆ และปลายปากมีงอนขึ้นเล็กน้อย ซึ่งอีกชื่อนึงที่นิยมเรียกก็คือ “ปากกระจับ” นั่นเอง
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ : 1-2 CC
Wide Lips
- ลักษณะ : เป็นลักษณะทรงปากจะกว้าง แต่ให้ความสมดุลกันคือ เนื้อปากบนและล่างจะมีขนาดอวบอิ่มเท่ากัน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีลักษณะปากแคบ ปากสั้น และต้องการเติมเต็มความสวยให้รูปปากเหมือนไอดอลเกาหลี
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ : 1-2 CC
ก่อน-หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ปฏิบัติตัวอย่างไร
ข้อได้เปรียบของการปรับรูปทรงปากด้วยฟิลเลอร์คือไม่ต้องเสียเวลา และเจ็บตัวจากการผ่าตัด ดังนั้นจึงแทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากเป็นพิเศษ แต่ก็ควรเตรียมความพร้อมของผิวปาก ไปจนถึงวิธีดูแลสุขภาพปากหลังฉีดอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่สวยอยู่กับเรานานขึ้น
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
- งดวิตามินต่างๆ และยาแอสไพริน ที่มีผลต่อการไหลของเลือด ก่อนเข้าฉีดฟิลเลอร์ปากอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- งดการสครับผิวปาก เพื่อไม่เพิ่มความระคายเคืองให้ผิวปากก่อนฉีดอย่างน้อย 2-3 วัน
- แจ้งโรคประจำตัว หรือประวัติการแพ้ยา ให้แพทย์ทราบก่อนเข้ารับบริการ
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก ประมาณ 24 ชั่วโมง
ข้อระวังและการดูแลผิวปากหลังฉีด
- ประคบเย็น เพื่อลดอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ ภายใน 1-2 วันแรก
- อยู่ในที่อากาศเย็น หรือควรนอนห้องแอร์ อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส เพื่อให้ผิวบริเวณที่เพิ่งฉีดฟิลเลอร์เซตตัวไวขึ้น
- งดการกินอาหารร้อนทุกชนิด หลังเข้ารับบริการฟิลเลอร์ปาก ประมาณ 1-2 วัน
- ทาครีมบำรุงปาก เช่น วาสลีน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นและอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ได้ดียิ่งขึ้น
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากที่ถูกต้อง
- คุณหมอจะนำรูปแบบปาก หรือตำแหน่งที่ต้องฉีดฟิลเลอร์ปากให้ผู้เข้ารับบริการดูก่อนทำการฉีด
- เริ่มทำการฉีด/แปะ ยาชา บริเวณรอบเนื้อปาก และรอให้ยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 15 นาที
- เริ่มทำการฉีดฟิลเลอร์ไปยังตำแหน่งที่ต้องการปรับแก้ โดยประเมินปริมาณฟิลเลอร์อย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งปกติจะฉีดไม่เกิน 2-3 CC แล้วแต่ปัญหาและทรงปากที่ต้องการได้
- หลังฉีดฟิลเลอร์ปากเสร็จ สามารถเดินทางกลับบ้าน โดยไม่จำเป็นต้องพักฟื้นใด ๆ ทั้งสิ้น
ผลข้างเคียงปกติ จากการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- มีรอยแดง อันเกิดจากรอยเข็มฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน
- มีอาการปากบวม ซึ่งเป็นภาวะปกติ ที่เกิดจากการที่เนื้อฟิลเลอร์กำลังเข้าไปเซตตัว และจะค่อย ๆ หายเป็นปกติภายใน 14 วัน
ยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่เหมาะกับการฉีดเติมเต็มปาก
คุณสมบัติของเนื้อฟิลเลอร์ที่เหมาะนำมาฉีดเติมเต็มปาก และปั้นทรงปากได้สวยจะต้องมี ความยืดหยุ่น (Plasticity,cohesiveness) ทนต่อแรงขยับ ความนิ่ม จัดทรงได้ดี อิ่มฟูไม่จับเป็นก้อน และมอบความชุ่มชื่นให้ผิวปาก ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้มีอยู่ในยี่ห้อฟิลเลอร์ที่นำมาใช้ในวงการหัตถการความงามอย่างแพร่หลายอยู่ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ Juvederm, Restylane และ Belotero โดยแยกเป็นรุ่น พร้อมระยะเวลาแสดงผลลัพธ์ดังนี้
ยี่ห้อ Juvederm (อเมริกา)
- Juvederm Volite อยู่ได้นาน 8-12 เดือน
- Juvederm Ultra Plus อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Volift อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Voluma อยู่ได้นาน 18 เดือน
ยี่ห้อ Restylane (สวีเดน)
- Restylane Vital Light อยู่ได้นาน 6-12 เดือน
- Restylane Refyne อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Kysse อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Restylane Volyme อยู่ได้นาน 18 เดือน
ยี่ห้อ Belotero (สวิตเซอร์แลนด์)
- Belotero Volume อยู่ได้นาน 12-13 เดือน
ยี่ห้อ Neuramis (เกาหลี)
- Neuramis Deep อยู่ได้นาน 4-6 เดือน
ฟิลเลอร์ปากของแท้ ดูยังไง
- ระบุเลขทะเบียนและอย. ที่จดแจ้งอย่างชัดเจน และมีฉลากภาษาไทย โดยดูได้ที่กล่อง
- เอกสารกำกับภาษาไทย ที่จะพบได้ในกล่อง
- มีคิวอาร์โค้ด ที่สามารถสแกนแล้วตรวจสอบที่มา หรือบริษัทที่ผลิตได้อย่างชัดเจน
- มีเลขล็อตสินค้าที่พิมพ์เหมือนกันทั้ง 2 จุด คือ ที่ข้างกล่อง และที่หลอด
- ก่อนฉีด กล่องจะต้องปิดผนึกเรียบร้อย ไม่มีรอยแกะ โดยแพทย์จะทำการแกะกล่องฟิลเลอร์ต่อหน้าผู้เข้ารับบริการ
ฟิลเลอร์ปากปลอม หรือสารอันตรายต้องห้าม
ฟิลเลอร์ปลอม ส่วนใหญ่ที่พบได้บ่อยคือ ซิลิโคนเหลว ที่เป็นสารไม่สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ หรือเรียกได้ว่าเมื่อฉีดเข้าไปแล้วเวลาผ่านไป ก็จะยังเกาะตัว ห้อยย้อย จับเป็นก้อน ไม่สามารถสลายได้เองเหมือนฟิลเลอร์ชนิด ไฮยาลูโรนิค แอซิด ( Hyaluronic Acid ) และหากต้องการเอาออก จะต้องผ่าตัด และขูดออกเท่านั้น ส่วนอันตรายจากสารคงรูปถาวรพวกนี้คือ
- เกิดอาการอักเสบเชื้อรัง ไม่หายขาด
- ติดเชื้อรุนแรงจนเกิดเป็นผื่นแดง และค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพเป็นแผล หนอง
- ผิวบริเวณที่ถูกเติมเต็มจะค่อย ๆ เสียรูปทรง เช่น ห้อยย้อย จับเป็นก้อน ผิวยุบลงไป และคล้ำดำ
ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไหร่
สำหรับฟิลเลอร์ปาก โดยปกติแล้วจะมีราคาที่แตกต่างที่ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์ แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะมีราคาอยู่ที่ 15,000 - 19,000 บาท ต่อ 1-2 CC ซึ่งใครที่กำลังสนใจหรือต้องการฉีดฟิลเลอร์ปาก ไม่ว่าจะแบบสายฝอ หรือสายเกา ด้วยฟิลเลอร์แท้ ที่ผ่าน อย. ไทย สามารถเข้ารับบริการได้ที่ กังนัมคลินิก ที่มีฟิลเลอร์ที่เหมาะกับการฉีดปากโดยเฉพาะ ดังนี้
- ฟิลเลอร์ Restylane lidocaine (สวีเดน) 1 CC = 8,623.- (อยู่ได้นาน 12 เดือน)
- ฟิลเลอร์ Restylane Perlane (สวีเดน) 1 CC = 10,662.- (อยู่ได้นาน 18 เดือน)
- ฟิลเลอร์ Juvederm Ultra (Allergan) 1 CC = 10,662- (อยู่ได้นาน 12 เดือน)
- ฟิลเลอร์ Juvederm Voluma (Allergan) 1 CC = 10,662.- (อยู่ได้นาน 18 เดือน)
- ฟิลเลอร์ Juvederm Vobella (Allergan)1 CC = 10,662- (อยู่ได้นาน 12 เดือน)
ข้อสงสัยที่มักเจอบ่อย ๆ เกี่ยวกับฟิลเลอร์ปาก
-
ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้ถาวรไหม นานสุดแค่ไหน
ไม่ถาวร แต่จะอยู่ได้นานสุดประมาณ 18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และการดูแลรักษาของผู้เข้ารับบริการด้วย
-
ขณะฉีดฟิลเลอร์ปาก เจ็บไหม มียาชาหรือเปล่า
ก่อนฉีดจะมีการแปะยาชา หรือการฉีดยาชาอยู่แล้ว ดังนั้นระหว่างฉีดฟิลเลอร์จะมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มนิด ๆ เพียงเท่านั้น
-
หากก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นร้อนใน หรือแผลในปาก ฉีดได้ไหม
ไม่ว่าจะเป็นแผลข้างนอก หรือข้างในปาก ควรรักษาให้หายก่อนเข้ารับบริการฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันการอักเสบอันเกิดจากเข็มไปโดน หรือภาวะเนื้อปากขยายจากฟิลเลอร์ที่เข้าไปเติมเต็มอาจส่งผลให้แผลหายช้ากว่าเดิม
- หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก กินอาหารร้อน ๆ ได้ไหม
ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารร้อน ๆ หลังฉีดฟิลเลอร์ปากประมาณ 3-4 วัน เพื่อลดอาการระคายเคือง และให้ฟิลเลอร์เซตตัวได้ดี
- ฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นก้อน เกิดจากอะไร
เกิดได้ 2 สาเหตุ คือ แพทย์ฉีดลงไปในระดับที่ตื้นเกินไป ทำให้ฟิลเลอร์เกิดการเซตตัวเป็นกระจุก และอีกประการคือฉีดฟิลเลอร์ปลอม ที่ใช้สารไม่ได้มาตรฐาน ไม่ปลอดภัย จนเกิดการต่อต้านกับเนื้อเยื่อปาก ทำให้เกิดการดันตัวออก นูนไม่กระจายตัวและจับเป็นก้อน
- หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ทาลิปสติกได้ทันทีไหม
ควรงดการทาลิปสติกไปก่อนอย่างน้อย 2-3 วัน เพื่อให้ผิวปากที่เพิ่งโดนเข็มฉีดได้ค่อย ๆ ปรับสภาพจากบวมแดงได้ยุบตัวเป็นปกติก่อน และเพื่อไม่เสี่ยงต่อการแพ้ลิปสติก ซึ่งเกิดได้ง่ายในช่วงที่ผิวบวม
สรุป ฉีดฟิลเลอร์ปาก เลือกฉีดทรงปากแบบไหนดี
การเลือกทรงปากให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด จำเป็นต้องยึด 2 ปัจจัยควบคู่กัน คือ ข้อบกพร่องของรูปปาก และ โครงหน้า ทั้งสองอย่างนี้ควรให้แพทย์ที่เชี่ยวชาญเป็นคนออกแบบร่วมกับผู้เข้ารับบริการว่าต้องการปรับแต่งรูปปากแบบไหน มีแบบไว้ในใจอย่างไร แล้วค่อย ๆ ออกแบบร่วมกันจะดีที่สุด ซึ่งบริการแบบ mind service เช่นนี้ที่ กังนัมคลินิก ทั้ง 34 สาขา มีให้ลูกค้าอย่างแน่นอน เพียงติดต่อสอบถามได้ที่ www.gangnamconsult.com หรือแอดไลน์ @gangnamclinic






