คุณหนูตกสวรรค์ คือ ?
มีนตรา : ตั้งแต่หนูเด็ก ๆ ทางครอบครัวมีฐานะ อาจจะไม่รวยมาก แต่อยู่แบบสุขสบาย มีพี่เลี้ยงประกบดูแลหนูคนนึง น้องชายคนนึง จนเกิดสถานการณ์พลิก เป็นช่วงฟองสบู่แตก ที่บ้านก็โดน ล้มละลายหมดเลย ตอนนั้นอยู่ประถม จากบ้านหลังใหญ่ ๆ ก็โดนยึด ย้ายไปอยู่กระต๊อบ ไปอาศัยอยู่กับคุณอา แต่ที่ผ่านมาหนูรู้สึกอบอุ่นมาโดยตลอด อะไรที่ขาดที่หายไป เราก็ต้องสู้ไป แล้วพอมาเริ่มร้องเพลง เราเป็นเด็กกิจกรรม ครูเห็นว่าเราชอบ เลยให้เราไปลองประกวด เราก็เลยลองดู มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าถ้าเราไปประกวด เราได้รางวัล เราจะได้มีเงินมาช่วยที่บ้าน แต่มันก็ลำบาก เพราะกว่าจะเดินทางไปถึงที่ประกวดก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านตัวเมืองไปขึ้นรถบ้านครูสอนร้องเพลง ไปประกวด จะมีภาพจำคือ พ่อขับ น้องชายนั่งข้างหน้าถือรองเท้า เราถือถ้วยรางวัลกับชุดประกวด
อะไรยากกว่ากันระหว่าง การประกวดร้องเพลง กับการใช้ชีวิต ?
มีนตรา : ก็เป็นการประกวด เพราะตอนนั้นไม่ได้อะไรกับชีวิต แต่เพิ่งมารู้ตอนโตว่าเราก็เลือดนักสู้เหมือนกัน เพราะตอนประกวดรางวัลที่เราได้ 3-5 พัน เราเดินสายประกวด แต่ก็ไม่ได้ชนะทุกเวที แต่มันก็ไม่พอที่จะเอาไปจ่ายค่าเทอม พอเรามาประกวดที่กรุงเทพฯ ก็ต้องย้ายมาอยู่กับแม่ เพราะพ่อกับแม่แยกกันตั้งแต่เราเด็ก ๆ เราตัดสินใจย้ายมาเรียน กศน. เพราะเราจะตามฝันเป็นนักร้อง พอมาอยู่กับแม่ได้แป๊บนึงก็ย้ายออกมาดูแลตัวเอง อายุประมาณ 16-17 ปี ตอนนั้นร้องเพลงที่ร้านอาหาร ไม่ใช่ผับ ได้คืนละประมาณ 700 บาท คืนนึงรับ 3 ที่ หักค่าห้อง ส่งให้ที่บ้าน ก็พอเหลือใช้นะ
และเริ่มอยากเป็นศิลปินหรือยัง ?
มีนตรา : เริ่มอยากเป็นตั้งแต่เริ่มต้นประกวด การที่เราเข้ามาประกวดที่กรุงเทพฯ เพราะเราอยากเป็นศิลปิน ย้อนกลับไปตอนประกวดของแฟนทีวี ก็ได้รางวัลชนะเลิศ เซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ 1 ปี แต่ยังไม่ได้ออกอัลบั้ม เพราะยังอ้วน เป็นเด็กอยู่ ท้ายที่สุดก็คุยกับแกรมมี่โกลด์ด้วย แต่ว่าหลาย ๆ อย่างยังไม่พร้อม ก็เลยคุยว่าต้องเซย์กู้ดบายกัน สักพักไปประกวดเดอะวอยซ์
คิดว่าสิ่งที่เราเลือกมันคือสิ่งที่ถูกต้องไหม ?
มีนตรา : หนูคิดว่าถูกนะ การที่หนูเลือกออกมาใช้ชีวิตตั้งแต่เด็ก ได้ฝึกการไตร่ตรอง ได้ฝึกการใช้วุฒิภาวะตัวเอง ฝึกวางแผนใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และพอเราประกวดเดอะวอยซ์เสร็จ เราเริ่มลังเลว่าจะยังไงต่อ เราเริ่มอยู่กับเพลงสตริง เพลงสากลมากขึ้น มีความสับสนว่าเราจะออกเพลงแนวไหนดี เราก็เริ่มทำเพลงเองกับพี่ที่เขาถนัดด้านนี้ และท้ายที่สุดก็ได้บทสรุปว่า ตอนเรากลับอุดร นั่งอยู่ในรถ พระอาทิตย์กำลังตกดิน เป็นทุ่งนา ความเป็นบ้านเรา เพลงพี่ต่ายก็ขึ้นมา วินาทีนั้นเราก็คิดขึ้นได้ว่าสุดท้ายกูก็สาวลูกทุ่งดี ๆ นี่เอง เลยตัดสินใจกลับมาประกวดเวทีเพลงลูกทุ่งเลย
พอเราได้มาเป็นนักร้อง และพยายามเท่าไรก็ไม่ดังสักที ?
มีนตรา : ใช่ค่ะ หนูเป็นคนนึงทำเต็มที่ทุกโอกาส ทุกเพลง เพราะฉะนั้นที่คอนโทรลไม่ได้คือจังหวะของชีวิต เราทำเต็มที่แล้ว หนูคิดว่าเมื่อไรก็เมื่อนั้น หรือเพลงเราดีมาก กะว่าปล่อยปีใหม่ คือดีมาก ติด 1 มาแรงในยูทูบ เป็นไวรัลใน tiktok งานแน่นแน่นอน สรุปโควิดมา ล็อกดาวน์ เพลงดีมันทำกันได้ แต่จะทำเพลงให้ดัง มันหูยยยย ชื่อว่าเพลง ห้ามตั๋ว
ดราม่าแต่งตัวโป๊ ?
มีนตรา : มันเป็นงานในเลานจ์ หนูก็เลยใส่ชุดประมาณนั้น ความตั้งใจเดิมทีมันจะปิดหน้าอกนิดนึง แต่ความตั้งใจเราจะให้เห็นนิด ๆ สไตล์ฝรั่ง แต่พอเราร้องไปด้วย ยกมือไปด้วย ชุดมันรั้งขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ก็มีการเซฟไว้หมดแล้วนะ แต่ด้วยเวทีอยู่สูง มันเลยได้มุมภาพตามที่เห็นจนเป็นกระแส
แล้วมันผิดตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ร้องอยู่ในเลานจ์ ?
มีนตรา : หนูก็ไม่รู้ว่ามันยังไง ทำไมดราม่าขนาดนี้ แต่ที่เดาที่หลายคนเห็นหนูอยู่บ้านในช่วงโควิด เห็นเราแต่ตัวด้วยผ้ามัดย้อม แต่ก็มีคอมเมนต์แรง ๆ ในเรื่องชุดนี้ประมาณว่าขายอะไรกันแน่ หรือที่แรง ๆ เมนต์ไปด่าถึงพ่อว่า ตอนไปประกวดเห็นพ่อไปด้วย แต่ตอนนี้พ่อตายแล้วเหรอ ถึงไม่มีใครมาดูแล
สุดท้ายแล้ว โสดหรือไม่ ?
มีนตรา : ก็มีคนเข้ามา แต่กลัวมาก หนูไม่โฟกัสอะไร