- วันนี้ดีกว่าเมื่อวานมั้ย ?
เอ๋ : ต้องดีกว่าเมื่อวานอยู่แล้วค่ะ เพราะว่ามันย้อนเวลากลับไปไม่ได้ เราต้องอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เด็กๆ เขาก็เรียนรู้กับทุก ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เชื่อว่าลูกเอ๋ทุกคนจะผ่านไปได้และเรียนรู้กับมัน
- ญาติเล่าให้ฟังว่าทุกคลิป เอ๋จะร้องไห้หนักมาก พอเอ๋ห็นน้อง ๆ แอบร้องไห้ ก็จะบอกว่าเราอ่อนแอไม่ได้แล้ว ?
เอ๋ : จริง ๆ ไม่มีใครทำใจได้ เพราะมันปุบปับ พอเราเสียใจมันก็ดิ่ง เราก็โฟกัสแต่ความเสียใจ โฟกัสแต่ความสูญเสีย ร้องไห้ฟูมฟายของเราคนเดียว โดยเราไม่รู้ว่าความรู้สึกลูก ๆ ก็ดิ่งเหมือนกัน แต่คนรอบตัวมาบอก อย่างน้องพี่เมฆที่อยู่กระบี่ เขาเห็นอาการของหลาน เขาบอกว่าโฟกัสลูกหน่อย ลูกไม่กินข้าวเลย ต่อหน้าเจ๊ไม่ร้อง แต่เขาแอบไปร้องตลอดเวลา ทั้งคู่เลย ข้าวไม่ทาน เรารู้ว่าเขาเสียใจแต่เขาเข้มแข็งต่อหน้าเรา ทุกวันเวลาที่ผ่านมาเราอยู่ด้วยความอดทน เข้มแข็ง สำคัญคือพี่เมฆทำให้เห็นว่ามันต้องเข้มแข็งแค่ไหน มันถึงจะผ่านไปได้ สุดท้ายพอกลับมาโฟกัสว่าลูกเราเริ่มมีความเปลี่ยนไป มีความเศร้า เราก็ต้องมาสะกดจิตตัวเองว่ามึงอย่าร้องนะ อย่าเสียใจต่อหน้าลูกนะ บ้านพังแน่ ๆ พอเราโฟกัสที่ลูก ความเสียใจเลยจางลง มีแค่ความคิดถึง
- เหตุการณ์วันที่เกิดความสูญเสีย พี่เมฆเข้า รพ. กี่วัน ?
เอ๋ : พี่เมฆเข้า รพ. 3 รอบ ย้อนกลับไปก่อนเสียชีวิต 3 สัปดาห์ เข้าไปเพราะว่าพี่เมฆเสียเลือดเยอะ ขาดเกลือแร่ ขาดน้ำ แต่วันที่เข้าไป เขาฝันว่ามีคนบอกให้ลอกผิวหนังออกให้หมด เขาถูไม่รู้ตัว ทั้งที่เขาหลับ พอตีหนึ่งเราไปดูเขา เขาลอกผิวตัวเองหมดเลยทั้งตัว แขนขาหมดเลย แล้วเลือดก็เต็มเตียงหมดเลย เราก็เรียกพยาบาลเข้ามา พยาบาลถามว่าเขาเจ็บมั้ย เขาบอกว่าไม่เจ็บ เขากลัวเราว่าเขา เขาบอกว่าเขาฝัน ไม่ตั้งใจ เขาบอกว่าให้เอาออกให้หมดหายแล้ว เขาก็เลยถู ๆ แล้วสายน้ำเกลือ สายเลือดหลุดหมดเลย พยาบาลก็เข้ามาทำแผล เราก็พาเขาไปอาบน้ำ แล้วก็รู้ว่าเขาไม่เจ็บจริง ๆ ตอนอาบน้ำเขาไม่ร้องอะไรเลย เขาเฉย ๆ เหมือนคนอาบน้ำปกติค่ะ
- เหมือนเป็นอะไรบางอย่างมั้ย ?
เอ๋ : ตอนแรกก็ตกใจ แต่ไม่อยากคิดมากกว่า
- สาเหตุการเสียชีวิตคืออะไร ?
เอ๋ : น่าจะมาจากการติดเชื้อจากการที่เขาลอกผิวออกทั้งตัว แล้วเชื้ออาจเข้าไปตรงไหนไม่รู้ หรืออีกอย่างคือคนเราพอไม่มีหนังหุ้ม ความร้อนมันเก็บไม่ได้ นี่ก็เป็นความรู้ใหม่ เหมือนคนถูกไฟเผา เบิร์นทั้งตัว พอไม่มีหนัง เราเป็นสัตว์เลือดอุ่น อุณหภูมิในร่างกายต้องอุ่นเข้าไว้ พอไม่มีหนังอุณหภูมิก็เลยเย็น พี่เมฆอุณหภูมิในร่างกายอยู่ที่ 36 องศา ซึ่งเราก็ไม่รู้จุดไหนเพราะผิวลอกทั้งตัว
- ไม่มีโอกาสคุยกับพี่เมฆ ?
เอ๋ : หลังวันที่ 18 ไปก็ไม่ได้คุยแล้ว เพราะเขาไม่มีสติแล้ว เขาเข้าไอซียูตั้งแต่วันที่ 18 แน่นอนก็กังวล แต่ลูกเราก็ยังต้องเรียนอยู่ เราต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกวัน ส่งลูกเสร็จก็แวะไปหาพี่เขาที่ไอซียู ตกเย็นก็ไปรับลูก มันเป็นลูปอย่างนี้ ทำให้เราไม่มีเวลากังวล คิดว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้น
- นอกจากรักษาวิทยาศาสตร์ พี่เมฆก็มีไปหา อ.ไพศาล ขอขมากรรม ทำไมเชื่อเรื่องนี้ ?
เอ๋ : ถามว่าการขออโหสิกรรมตามพุทธ ไม่มีอะไรเสียหาย เราไม่ได้เสียเงินทองกับอาจารย์เขา ท่านเมตตาด้วยซ้ำไป ท่านให้เราเปิดบุพกรรมยังไง ให้อโหสิกรรมใครบ้าง ซึ่งตรงจุดนี้ โซเชียลเข้าใจผิดกันเยอะ เราไม่ได้แก้กรรมนะคะ เพราะกรรมมันแก้ไม่ได้ คุณทำดีก็ได้ดี คุณทำชั่วก็ได้ชั่ว การขออโหสิกรรมเราทำไปเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เรารู้ซึ้งถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว ว่ามันทุกข์ทรมานแค่ไหน เราอยากชดใช้ให้หมดและหมดในชาตินี้ เราก็เลยทำตามกับ อ.ไพศาล ซึ่งสิ่งที่เราทำมา สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา ที่เอ๋ดีขึ้น คือทุกครั้งที่ลดยา จะมีเอฟเฟกต์ ตุ่มจะขึ้นเป็นร้อยเป็นพัน ระยะเวลาเจ็ดกับสิบวันเราต้องลุ้นกับมันว่าร่างกายต่อมหมวกไตจะทำงานให้กลับมา ทำให้สเตียรอยด์ลดลงได้แค่ไหน พอเร็วถึงจุดนึงปุ๊บ ตุ่มก็จะน้อยลง ร่างกายก็จะเริ่มสู้มันได้ จะอยู่แบบนี้ไปอีก 3 เดือน แล้วค่อยลดยาใหม่ แต่รอบนี้เราไปเปิดบุพกรรมก็ดี ไปขออโหสิกรรม เราลดยาจากตอนที่ไปหา อ.ไพศาล จาก 4 เม็ด 3 เม็ด จนเหลือแค่เม็ดเดียว ระยะเวลาที่ไปหา อ.ไพศาล ระยะเวลาก็ 4-5 เดือน เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะลดยาได้เร็วขนาดนั้น การขออโหสิกรรมที่ถูกต้อง พี่เมฆกับเอ๋เชื่อเสมอว่าสิ่งที่เกิดกับเรา เราไม่รู้หรอกว่ามันเป็นกรรมที่เกิดจากชาติไหน แต่วันนี้เราเจ็บ เรารู้แล้ว เราอาจทำคนอื่นเจ็บเหมือนที่เราเป็นอยู่ ในชาตินั้น ๆ อาจมีคนเจ็บปวดเหมือนที่พี่เมฆเป็น เราก็พูดกันเสมอว่าเราใช้ให้หมดอย่าไปผูกพยาบาท เราน้อมรับและขออโหสิกรรม และให้อโหสิกรรม วันที่ไปเจอ อ.ไพศาล เรียนรู้และสอนเราเลยคือให้อภัยเถอะ ตอนนั้นเอ๋มีคนเกลียดเพียบเลย เราไม่ถูกใจใคร เราก็จะรู้ว่าเราเกลียดคนนี้ เราไม่ชอบ มาวันนี้เรารู้ว่าไม่มีประโยชน์เลย สิ่งเหล่านี้มันผูกจิตเราให้แย่ลงเรื่อย ๆ เอ๋กับพี่เมฆพูดขออโหสิกรรมและให้อโหสิกรรมทุกวันเลยนะ พูดกรวดน้ำทุกวันตามที่ อ.ไพศาล แนะนำมา ทำแบบนี้ทุกวันจนเรารู้สึกว่าเราสบายใจ
- มีคลิปที่ อ.ไพศาล บอกว่าต้องไปตั้งแต่ 27 ธ.ค. ปี 66 บุญค้ำอยู่ จะได้เกิดใหม่เป็นลูกสาวพี่เมฆ พี่เมฆบอกว่าอยู่ที่นี่สบายแล้ว รู้อย่างนี้ไม่ต้องรักษา พี่เอ๋มองยังไง ?
เอ๋ : เรารู้ว่าเขาหนัก มันเจ็บ มันทรมาน กายสังขารเขาอาจไม่ไหว เรื่องนี้ก็ดราม่าไม่จบไม่สิ้นหรอก คนเราถ้าอคติมองยังไงก็ผิด แต่ถ้ามองอย่างปราศจากอคติ กายสังขารเขาไม่ไหว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่อีก 30 ปีและทรมานแบบนี้พี่เมฆก็ไม่แฮปปี้หรอก เขาก็ไม่มีความสุข ก็เป็นประโยคที่เขาพูดกับเราบ่อย ๆ ว่าถ้าตายแล้วไม่ทุกข์ทรมาน ตายไปแล้วครอบครัวไม่เดือดร้อนเขา เขาตายดีกว่า เพราะมันทุกข์มันทรมาน มันก็เป็นสิ่งที่ อ.ไพศาล ท่านรู้อยู่แล้ว เพียงแต่คงไม่มีใครมานั่งบอกว่าจะตายวันไหน เวลาไหน เพราะมันบั่นทอนคนรอบข้าง ถ้าวันนั้นมีใครมาพูดกับพี่แบบนี้ พี่ก็คงไม่โอเค แต่สิ่งที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือก่อนหน้านั้นมีโหรหลายคนบอกคนรอบตัวเราว่าพี่เมฆจะไป เรามารู้ทีหลัง เราก็คิดว่ามันคงถึงเวลาของเขาแล้วจริง ๆ พอมาย้อนนึก น้องนา น้องสาวแท้ ๆ พี่เมฆ ก็มานั่งคุยกันว่าดีแล้วแหละที่เขาไปอย่างสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน เขาไม่เจ็บปวดไม่ยื้ออีกต่อไป
- จัดการกับความรู้สึกอย่างไร ?
เอ๋ : ก็เผชิญกับมันเลย ใด ๆ ก็ตามเราก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องยอมรับสถานการณ์ก่อน และยอมรับให้ได้ว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ถูกนินทาอยู่ดี ต่อให้ทำถูกแค่ไหน คนจะมองว่าผิดก็ผิดอยู่ดี ทำใจดีกว่า เราจะได้สบายใจ
- พี่เมฆรักษาตัวเอง 5 ปีกว่า หมดเงินเก็บไป 20 กว่าล้าน ?
เอ๋ : จริง ๆ ก่อนพี่เมฆเสียชีวิต เรามีธุรกิจอยู่แล้ว มีอาหารเสริม ขายคอลลาเจน ส่วนโรงงานผลิตเรารับผลิตทุกอย่างจนจบกระบวนการ บริษัททำเกี่ยวกับพวกอาหารแร่ธาตุสกัด เราก็ทำอีก รีวิวอะไรเราก็รับทุกอย่าง ก็เมเนจไป เราตั้งใจปลดหนี้ให้ได้หมดภายในปีนี้อยากให้เขาไปอย่างสะอาดที่สุด ไม่ได้ไปแล้วคาเป็นหนี้ อยากให้ไปหมดหนี้ ครอบครัวไม่ได้เดือดร้อน ถ้าเขาฟังอยู่ก็อยากบอกว่าครอบครัวไม่ได้เดือดร้อน เขาไม่ได้ทิ้งภาระเอาไว้ แต่ทำให้ครอบครัวเติบโตได้ด้วยพลังที่เราจะก้าวต่อไป
- 26 มี.ค. เพื่อน ๆ ศิลปินก็จัดคอนเสิร์ตช่วยพี่เมฆให้พี่เอ๋เอาไปใช้หนี้ให้เบาลง วันนั้นเบ็ดเสร็จได้เท่าไหร่ ?
เอ๋ : ประมาณ 1.1 ล้านค่ะ
- ที่บอกว่าจะใช้หนี้ให้หมดภายในปีนี้ ประมาณเท่าไหร่ ?
เอ๋ : เกือบ 8 ล้าน แต่ว่ามีผู้ใหญ่ เพื่อนสนิทพี่เมฆที่เขาไม่เอา ประมาณล้านกว่าที่เขาไม่รับ มันก็เหลือประมาณ 6 ล้านกว่า รายได้ที่มาทั้งหมดก็จะเริ่มนั่งไล่เคลียร์ อันไหนที่มีดอกเบี้ยจะเคลียร์ก่อน คนที่เราหยิบยืมมา ที่เป็นเจ้าหนี้เรา ตอนนี้ไม่อยากให้มานั่งดราม่าเรื่องเจ้าหนี้ว่าไม่รับเงิน เพราะตอนเขาช่วย บางคนติดขัด แต่เขาก็ช่วย เพราะเขาคิดว่ายังหมุนได้ แต่พี่เมฆหมุนไม่ได้แล้ว ณ วันนั้น เขาคิดว่าพี่เมฆจะกลับมาได้ ซึ่งเอ๋บอกเจ้าหนี้ทุกคนเลย ไม่ผิดเลยถ้าไม่ยกหนี้ให้ เอ๋รู้ดีแก่ใจ เพราะเอ๋เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ในสองสถานการณ์ เรารู้ดีว่าเมื่อเรามีเราใช้หนี้ไปเถอะ เพราะเราหยิบยืมเขามา เขารักเราเขาถึงให้ วันนี้เรารักเขาเราถึงคืนให้เช่นกัน แต่ส่วนของลูกกับครอบครัวเอ๋จะหาใหม่ และเอ๋มั่นใจว่าเอ๋หาได้
- เจ้าหนี้ที่ยกหนี้ให้คือ พี่หนุ่ม คงกระพัน ?
เอ๋ : ค่ะ แล้วก็เพื่อนพี่เมฆที่สนิทที่กระบี่ พี่เก๋ แล้วก็ ป๋าโก๋ ช่อง 7
- หลังจากนี้วางแผนชีวิตยังไงบ้าง ?
เอ๋ : เอ๋คงไม่ได้ลดคุณภาพชีวิตของลูก ลูกเคยเรียนอะไรจะให้เรียนอย่างนั้น อยากเรียนอะไรเพิ่มเติมให้ปรึกษากัน เอ๋จะทำให้ดีที่สุด จะทำฝันของพ่อเขาให้เป็นจริงค่ะ ก่อนพ่อเขาจากไปเขาจะถามตลอดว่าลูกอยากเป็นอะไร มาร์คเขาชัดเจนอยากเป็นนักร้อง แบมอยากเป็นนักแสดง เอ๋ในฐานะจบ ม.กรุงเทพ ศิลปะการแสดง ก็จะหาคอนเนกชั่นให้เขาได้เรียนโค้ชติ้งก่อน ให้เขาทำตามความฝันของเขา ส่วนเรามีหน้าที่หาเงินให้เขาเรียน ให้เขาได้ทำอะไรก็ตามให้สมกับที่เขาเป็นลูกวินัย ไกรบุตรค่ะ
- ภูมิใจในตัวแม่มั้ย ?
น้องแมม : ภูมิใจค่ะ
มาร์ค : มาร์คก็ภูมิใจที่สุดครับ
เอ๋ : ตอนนี้เราทำทุกอย่างที่ได้เงินเพื่อไปเคลียร์หนี้ เราทำหมด ถ้าอยากช่วย ช่วยเราซื้อสินค้าดีกว่า เราไม่เปิดรับบริจาคนะคะ