อยากรู้ว่าตอนที่ยังเด็กแล้วรู้ว่ามีคุณพ่อเป็น เสก โลโซ ใช้ชีวิตแบบไหน ต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้าง ?
เสือ เสฏกานต์ : ตอนเล็ก ๆ ผมไม่ค่อยได้เจอพ่อเจอแม่ ผมโตมากับคุณยายคุณตา คุณพ่อก็ไปทัวร์บ่อย ไปต่างจังหวัด ไปต่างประเทศบ่อย ตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรตั้งแต่เด็กก็เลยไม่ได้สนิทอะไรกันมาก ซึ่งมันเป็นอะไรที่เก็บมาตั้งแต่เด็กครับ เรื่องการที่เรามีความห่างกันนิดหนึ่ง พอโตมาประถมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าพ่อทำงานอะไร พ่อเป็นใคร ไปเล่นคอนเสิร์ตให้คนดูเยอะมาก ช่วงนั้นก็ได้ไปดูคอนเสิร์ตพ่อบ้าง ได้ไปทัวร์ต่างประเทศด้วย ไปยุโรป ไปอเมริกา ก็ได้ไปกับพ่อเกือบทุกงาน คือตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่านี่ก็คือชีวิตเด็กธรรมดาแบบนี้หรือเปล่า แต่ว่าจริง ๆ แล้วมันต่างจากชีวิตคนอื่นมากเลย
พอเราโตมาเรื่อย ๆ ก็เห็นว่าอะไรเป็นอะไร งานเป็นยังไง ครอบครัวเป็นยังไง ที่โรงเรียนเพื่อน ๆ คุณครูก็ไม่มีใครมาคุยอะไรที่ทำให้ผมกังวลใจอะไร ผมว่าเขาก็คงรู้ว่าต้องมีการเว้นพื้นที่กันในการคุยเรื่องครอบครัวด้วยที่พ่อเป็นเสก โลโซ แต่พอโตมาเจอข่าวมันก็มีการเครียด กังวล เป็นห่วงครอบครัว เป็นห่วงพ่อแม่ เป็นห่วงน้องด้วย ก็อดทนมาตลอด รู้ว่าครอบครัวก็อดทนมาตลอด สู้มาตลอด ผ่านปัญหาด้วยกันมาตลอด ก็รู้สึกดีมากที่มาถึงจุดนี้ได้
เคยมีวันหนึ่งไหมที่รู้สึกว่าเราอาจจะยอมแพ้ ?
เสือ เสฏกานต์ : มีอยู่แล้วครับ แต่ผมเป็นคนที่มีความคิดว่าทุกอย่างมันจะลงตัวเอง ผมเป็นคนที่รู้สึกว่าเราชอบที่จะปรับตัวกับทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์ครับ เป็นคนที่ปรับตัวได้ง่ายกับการเปลี่ยนแปลงของชีวิต มีช่วงที่ผมย้ายบ้านบ่อยเพราะเริ่มมีปัญหามันก็อาจจะเครียดนิดหน่อยครับ แต่รู้สึกว่าผมปรับตัวได้ง่าย ก็ใช้ชีวิตต่อไป ทำหน้าที่ของเรา ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ม.ปลาย ก็โฟกัสกับการเรียน โฟกัสการเข้ามหาวิทยาลัย แต่เรื่องชีวิตมันก็เครียด คิดว่าอยากหนี ไม่อยากอยู่ในจุดนี้แล้ว ไม่อยากเป็นคนที่ทุกคนรู้จัก แต่ว่าด้วยมายด์เซตของผม คิดว่าในที่สุดมันก็ต้องจบในทางที่ดี
ทำไมถึงตัดสินใจส่งลูกไปเรียนอินเตอร์ ?
เสก โลโซ : เขาอยากไปเรียน เขาเลือกโรงเรียนเองด้วยนะ แล้วเขาไปคนเดียวเลย พี่ไม่ได้ไปด้วยเลย วันที่จะไปเขามาขอตังค์พี่ ให้จ่ายค่าเทอมให้ เสือเขามาที่บ้านแล้วก็บอกว่าเขาจะไปเรียนที่อเมริกา วอชิงตัน ดี.ซี. พี่ก็น้ำตาซึมเลย จ่ายค่าเทอมเสร็จแล้วลูกก็บอกบ๊ายบาย แต่เสือไม่เห็นหรอก เขาไปอยู่ที่ต่างประเทศเก่งมากคนเดียว 3 ปีครึ่ง
อายุเท่าไหร่ครับ ?
เสือ เสฏกานต์ : ตอนนั้นก็ช่วงจบ ม.ปลาย อายุ 17-18 ครับ คิดไว้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากจะไปต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกา ไม่ก็อังกฤษ เพราะตอนสมัยเรียนพ่อก็พาไปเรียนที่อังกฤษ แล้วตอนนั้นพ่อก็ไปเรียนภาษาเหมือนกัน ก็เลยอยากจะใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ
พี่เสกเป็นคนที่เรียลมาก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพี่ก็เผชิญกับหลายเรื่อง ?
เสก โลโซ : เป็น 10 ปีที่หนักหน่วงมากวู้ดดี้
ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ก็มีหลาย ๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหล้า ยา อะไรต่าง ๆ ที่วนอยู่ตรงนั้น เคยคิดไหมว่าฉันอยากจะออกจากตรงนี้ ?
เสก โลโซ : คือชีวิตร็อกสตาร์ ถ้าเป็นร็อกสตาร์จริง ๆ มันก็คล้าย ๆ กันนั้นแหละ มีทั้งผู้หญิง มีทั้งยาเสพติด มีทั้งชื่อเสียงเข้ามา ทั้งดีทั้งร้ายนะครับ พี่ก็ผ่านมาหมดแล้ว ก็บอกตัวเองว่าเราเข้มแข็งพอที่จะเอาชนะมันได้ ซึ่งทุกวันนี้สะอาดมาก ดื่มเหล้าอย่างเดียว นอกนั้นไม่มีอะไรเลย บุหรี่ก็เลิกสูบ ไม่รู้เลิกสูบได้ไงก็ไม่รู้ เลิกสูบซิการ์หมดเลย เลิกมาน่าจะ 2 ปีได้แล้ว
เป็นอุทาหรณ์หรือเป็นตัวอย่างให้กับคนที่อยากเลิก พี่เลิกยังไง ?
เสก โลโซ : คือต้องเลิกให้กับครอบครัว แล้วก็ต้องกลับมาเป็นพ่อที่ดี เพราะว่าผมผ่านการเป็นพ่อที่แย่มาก่อน ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรให้เกี่ยวกับดนตรี เพราะรู้สึกว่าดนตรีอย่างเดียวที่จะนำเงินทองเข้ามา แล้วก็ส่งเสียลูกเรียนได้ พออยู่มาวันหนึ่งเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ผมแต่งงานกับคุณกานต์ 3 รอบแล้วนะ แต่งแล้วก็หย่า แต่งแล้วก็หย่า วู้ดดี้คิดดูสิไม่มีใครเป็นนะ อาจจะเป็นคู่แรกของโลกก็ได้ (หัวเราะ) แล้วก็มีความรู้สึกว่าตัวเองแย่มากพอมองกลับไป ในวันนี้รู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นที่เลิกทุกอย่างได้ แล้วก็มาเป็นพ่อที่เรียกว่าได้ดูลูกบ้าง เพราะปกติเขาต่อสู้มาด้วยตัวเอง ผมภูมิใจในความเป็นเสือมาก ที่เขามาเป็นนักร้องอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นแรปเปอร์
คุณพ่อเคยชมไหม ?
เสือ เสฏกานต์ : เคยครับ (หัวเราะ) ก็แนวนี้ครับ ก็พ่อลูกกันอะครับ ไม่ได้มี Emotional ขนาดนั้น
ก็ต้องยอมรับว่ามีความคาดหวังเหมือนกัน เพราะเป็นลูกของเสก โลโซ ?
เสือ เสฏกานต์ : มีคนถามบ่อยนะครับว่าเป็นเสือในตอนนี้รู้สึกกดดันไหม ผมกับพ่อคือเป็นพ่อลูกกัน แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน แนวเพลงก็ต่างกัน ความชอบก็ไม่เหมือนกัน ผมชอบหลายแนว ร็อก ป๊อป แรป แต่ที่ชอบจริง ๆ ก็คืออยากทำเพลงแรป การที่ผมมาทำต่างจากพ่อ มันก็คือพาร์ตของมายด์เซตหนึ่งที่คิดว่าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีความกดดันอะไร เพราะว่าเราไม่ได้ทำเพลงแนวแบบพ่อ ไม่ได้มีคาแรกเตอร์มีลุคที่เหมือนพ่อ เราเป็นคนของตัวเอง บางทีผมก็เห็นคนมาบอกว่า ไม่เก่งเท่าพ่อเลย ไม่เห็นได้อะไรจากพ่อ ซึ่งผมก็โอเคเข้าใจ แต่ว่าก็ไม่ได้เก็บไปคิดอะไร เพราะว่าผมไม่ได้มีความหวังที่จะเหมือนพ่อ ที่จะเก่งเท่าพ่อ พ่อเป็นตำนานของไทย ของเอเชียเลยก็ได้ King Of Rock & Roll ความคิดของผมคืออยากจะทำเพลงให้ดี อยากทำเพลงให้คนได้ฟัง ได้มีอินสไปเรชั่นจากเพลง แต่ว่าผมไม่ได้มีความคิดที่อยากจะเป็นตำนานแบบพ่อ หรืออยากจะเก่งที่สุด แค่อยากทำเพลงที่ผมชอบในแนวของตัวเอง ไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดอะไร
จากที่พี่เคยสดใสแฮปปี้แล้วมันไปดาร์กเกิดอะไรขึ้นในชีวิต มาจากเรื่องอะไรที่ทำให้เราตกลงไปในหลุม ?
เสก โลโซ : พี่สนุกเกินไป ใช้ชีวิตแบบ Rock & Roll Star เพราะว่ามีเพื่อนเป็นโปรดิวเซอร์ระดับโลกเข้ามา มีเพื่อนเป็นนักดนตรีระดับโลกมาเล่นด้วยกันนะครับ ก็เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้เดือดร้อนใครแล้วก็ไม่อันตรายมาก แต่พี่คิดผิดที่เข้าไปสู่สิ่งเหล่านั้น แล้วก็ทำลายความสุขในครอบครัวไปมากทีเดียวเหมือนกัน พอมาวันนี้ก็รู้สึกว่าเราเอาชนะมันได้ ก็รู้สึกดีใจที่ได้ออกมาจาก Sex, Drugs and Rock 'n' Roll
สมมุติว่ามีใครที่ติดในกับดักนั้นอีก พี่อยากจะแนะนำว่า ?
เสก โลโซ : ก็จะเตือน อยากแนะนำเลยว่าอย่าไปยุ่งนะ เพราะอันนี้อันตรายถึงชีวิตทีเดียว คือรอดได้ไม่กี่คน พวกฝรั่งที่เขารอดได้เพราะว่าไป Rehab แล้วก็ทำกิจกรรมอะไรเยอะแยะ เราก็ต้องออกมาแล้วก็ต่อสู้ด้วยตัวเอง ซึ่งพี่เองคือเอาชนะใจตัวเองได้เพราะว่าเรามีครอบครัว ถ้าคนที่ไม่มีครอบครัวพี่คิดว่าลำบากนะ เพราะว่าไม่มีเป้าหมายว่าเราจะเลิกสิ่งนั้นเพื่ออะไร เพราะเข้าไปแล้วมันสนุกจริง ๆ สนุกสนานโดยที่ลืมไปว่าตัวเองมันอันตรายนะ เวลาที่คิดทีไรพี่ก็ยังมีอารมณ์ที่ดาวน์อยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ต้องเอาชนะมันให้ได้ ต้องบอกว่ามันเป็นประสบการณ์และเป็นสิ่งที่เรานำมาสร้างงานจริง ๆ ก็ไม่อยากให้น้อง ๆ เข้ามาข้องเกี่ยว
เสือมองเรื่องนั้นยังไง ?
เสือ เสฏกานต์ : ครอบครัวเรารู้สึกดาวน์มาก ไม่ได้อยากที่จะพูดให้พ่อรู้สึกไม่ดี มันก็เป็นอะไรที่ผ่านมา พี่วู้ดดี้ก็คงจินตนาการได้ว่ามันเป็นช่วงที่เครียดที่เศร้ามาก ทุกอย่างมันเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าทางครอบครัวเรา ทั้งพ่อและแม่เข้ามาร่วมมือกันทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น ผมก็รู้ว่าเขาอยากทำเพื่อครอบครัว เพื่อลูก พอเราคิดไปแบบนั้นก็ทำให้เราคิดในแง่บวกเพิ่มมากขึ้น ก็รู้สึกโอเคขึ้นเรื่อย ๆ เครียดน้อยลง พอเวลาผ่านไป เวลามันช่วยทุกอย่างได้ครับ พอได้เจอพ่ออีกทีทุกอย่างที่เรารอคอยมามันก็ได้ผล
วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่มีใครที่จะสามารถมาท็อปความรู้สึกในการฟังเพลงของ LOSO คือทุกเพลงมันฟีลกูู๊ดแล้วก็แฮปปี้ แล้วผมก็หวังว่าสักวันหนึ่งอาจจะมีโอกาสทำอะไรใหม่ ๆ อีก เช่นอัลบั้มใหม่ ?
เสก โลโซ : ใช่ครับ พี่หวังไว้ พี่คิดอยู่ กำลังคิดอยู่ว่าจะไปออกในช่องทางไหนที่จะเป็นไป เพราะว่าหลังจากที่ออกมาจาก GMM พี่ก็ไม่ได้อยู่กับบริษัทอะไร ทำบริษัทเอง ซึ่งมันเรียกว่าก็ค่อนข้างยากเหมือนกัน พี่อยากกลับไปอยู่บริษัทใหญ่ ๆ จริง ๆ แล้วบริษัทใหญ่เขาจัดการได้ดีกว่าเราล้าน % ทุกวันนี้พี่ยังได้รับเงินจากแกรมมี่อยู่ทุกเดือน ยังรู้สึกขอบคุณเขามากที่ดูแลกันอยู่ เพลงเก่า ๆ ของพี่เขาเอาไปทำเป็นไวนิล เป็นอะไรต่าง ๆ ค้าขายดีมาก ซึ่งแม้ว่าพี่ไม่ได้ออกอัลบั้มมาร่วม 10 ปีแล้ว ยังมีความรู้สึกว่าเรายังมีบริษัทใหญ่ที่ดูแลเราอยู่เรื่องการค้าขาย เพราะเพลงที่พี่แต่งเป็นเจ้าของกับแกรมมี่คนละครึ่ง พี่ทำเงินให้บริษัทแกรมมี่ 2,000 ล้าน ประมาณนะ บวกลบคูณหารแล้วพี่ก็รู้สึกว่าทั้งคอนเสิร์ต ทั้งการขาย CD เทปคาสเซ็ตอะไรต่าง ๆ นานา ขายได้เยอะทีเดียว เพราะฉะนั้นเราก็มีความผูกพันกันอยู่
ถามว่าพี่ยังรักแกรมมี่อยู่ไหม พี่ยังรักอยู่เสมอ เพราะว่าเขาดูแลพี่มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เกิดมาจากตรงไหนก็รู้สึกเขามีบุญคุณกับเรา ทุกวันนี้ก็รับเงินจากแกรมมี่ทุกเดือน เพราะฉะนั้นถามว่าพี่ยังอยากกลับไปทำงานกับแกรมมี่ไหม อยากทำงานกับแกรมมี่ อยากทำงานบริษัทใหญ่ ๆ แล้วพี่ก็ยังมองว่าวงของเสือสามารถไปอยู่ในค่ายใหญ่ ๆ ได้ แล้วก็ทำออกมาให้มันเพอร์เฟกต์