วันที่ 7 มิถุนายน 2567 หนุ่ม กะลา พร้อม ทนายเดชา แห่งเพจทนายคลายทุกข์ ได้มาตั้งโต๊ะแถลงข่าว กรณีนักร้องดังฟ้องคนใกล้ชิด 2 ราย ยักยอกเงินจาก หจก. โดยโอนเข้าบัญชีส่วนตัวกว่า 400 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 66 ล้านบาท
อ่านข่าว : ทนายเดชา เฉลยแล้ว ! หนุ่ม กะลา ฟ้องคนใกล้ชิดยักยอกเงิน ช็อกยอดกว่า 66 ล้าน !
- หนุ่ม กะลา บอกว่า ตนไม่ได้อยากให้เป็นข่าว ตั้งแต่มีเรื่อง ตนออกมาพูดแค่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ ที่ไม่ออกมาพูด เพราะกลัวกระทบถึงลูก
- ครั้งนี้ก็จะไม่มาพูด วันนั้นอยู่ที่วัด จะบวช บอกพี่เดชาว่าอย่าทำให้เป็นข่าว แต่อยู่ดี ๆ ก็เริ่มมีข่าวออกมาจากบางเพจ บางบุคคล ที่เริ่มเป็นกระแสในโซเชียล ทางพี่เดชาวิเคราะห์ว่าควรต้องพูด เพราะมันไปไกลแล้ว จึงต้องออกมา
- ที่ผ่านมา ขอนับแค่ช่วงที่เป็นศิลปินเดี่ยวประมาณ 10 ปี ไม่ได้มีข้อสงสัยเลยเรื่องการเงิน เพราะเราเป็นสามีภรรยากัน ตนมีหน้าที่หาเงินอย่างเดียว แต่พอได้เงินในบัญชีคืนมา 2-3 แสน ก็ทำให้รู้สึกว่า เดี๋ยวนะ ตนยังต้องรับผิดชอบรายเดือนเขาและลูก ๆ อีกหลายแสน เกินจำนวนที่เขาคืนมาด้วยซ้ำ แล้วเงินตนหายไปไหนหมด
- เขาไม่เคยให้เหตุผลเรื่องเงิน ที่ผ่านมาตนได้เป็นเงินเดือน เดือนละ 4 หมื่นบาท พอสงสัยเรื่องเงิน ก็เช็กในมือถือคร่าว ๆ เห็นว่ามีการโอนเงินออกไปที่บัญชีชื่อเขา
- คือตนเคยพูดกับเขาว่า ทำไมบ้านเราไม่มีเงิน 10 ล้านสักทีล่ะ ทุกครั้งที่ไปธนาคาร ตนเป็นกรรมการ ต้องเป็นคนเซ็นเพื่อเบิกเงิน แต่ทำไมเงินไปถึงเขาได้โดยที่ตนไม่ได้เซ็
- พอเราทำงานมาครึ่งปี หรือ 1 ปี ก็จะรู้สึกว่าเงินในบัญชีเหลือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น จะสงสัยว่า เงินของเราไปไหน ก็ได้คำตอบว่ามันมีค่าใช้จ่าย มีนู่นมีนี่ ทุกอย่างมันย้อนกลับมา มันไม่ได้เพิ่งเป็นตอนมีประเด็น มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนเป็นวงกะลาด้วยซ้
- ทุกอย่างมันเลยกระจ่างตอนดูเสตทเมนต์ ว่าทำไมเห็นยอด 2 ล้าน 3 ล้าน เพราะกว่าจะเป็นยอดนี้ เงินที่เข้ามามันถูกกระจาย โอนออกไป จนกลายเป็นให้ตนเห็นว่ามันเหลือเท่านี้
- ที่ถามว่าทำไมไม่คุยกัน คือคุยกันมาตลอดหลายเดือนแล้ว ทุกอย่างอยู่ในไลน์หมด เพราะตอนนี้ตนเป็นหนี้ประมาณ 10-20 ล้าน ถ้าบริหารเงินได้จริง ตนเป็นนักร้องมา 20 กว่าปี ทำไมถึงเป็นหนี้ 20 ล้าน ทั้งที่หาเงินได้ 20 กว่าล้าน คือหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้คอนโด ทุกอย่างไม่เคยมีการดูแล เป็นหนี้หมด
- ที่คุยกับพี่เดชา คือตนไม่ได้จะเอาเงิน 66 ล้านคืน มันไม่ใช่แค่ช่องทางเดียว มันมีบัญชีอื่นอีก ต่อให้มันเป็น 100 ล้าน ก็ไม่เอาคืน ตนขอเขาว่าปิดหนี้ให้หน่อย แล้วถ้าเป็นไปได้ ขอเงินติดตัว 5 ล้าน ได้ไหม ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไร ปิดหนี้ให้หน่อย แล้วค่อยจบกัน
- ส่วนเรื่องที่บางคอมเมนต์บอกว่าอยากหย่าขนาดนี้เลยเหรอ ความจริงจูนบอกว่าจะหย่าประจำ บอกอยู่เรื่อย ๆ ในช่วงหลัง ตนบอกยังหย่าไม่ได้ เพราะเงินของฉันมันอยู่ที่ไหน เราต้องคุยกันเรื่องนี้ก่อน
- เรื่องเงินเดือนตน 4 หมื่น คือมันจะค่อย ๆ เพิ่ม ก่อนหน้านี้อาจจะ 2 หมื่น จนมา 4 หมื่น เพิ่งมาได้ 1 แสน ตอนแยกบ้านได้เกือบ 2 ปี ตนขอเขาเพิ่ม เพราะอยู่ด้วยเงิน 4 หมื่นไม่ได้ ตอนไปทำงาน เลี้ยงข้าวลูกน้องมือละ 2-3 พัน พอกลับไปอยู่กับแม่ ก็ต้องกลับไปรับผิดชอบบางอย่าง
- ช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวว่าตนมีเงินในบัญชี 8 ล้าน ที่ผ่านมาตนไม่เคยเห็นเงินในบัญชีเกิน 5 ล้านเลย เขาบอกขอเก็บไว้ให้ลูก ตนยังดีใจเลย ว่ามีเงินเก็บไว้ให้ลูก 8 ล้าน
- มันมีคำถามทุกครั้งเวลาไปธนาคาร แต่ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะไม่ได้คิดจะไปไหนกับเขา และก็ไม่คิดว่าคนบางคนจะใจร้ายขนาดที่เลิกกันไปแล้ว ตัวเองเก็บทรัพย์สินไว้หมด แล้วทิ้งหนี้ไว้ให้ตนขนาดนี้
- คนบอกขนาดออกมาแล้วยังไม่รับผิดชอบเลี้ยงดูลูก ค่าใช้จ่ายในบ้านตน เดือนละประมาณ 7 แสน ตนยังจ่ายอยู่ทุกเดือน
- เรื่องฟ้องคือเขาต้องมาแจงกับตนว่าเงินไปไหน เขาแจงได้หรือไม่ก็ตาม เราต้องคุยกันว่าถ้าไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย ขอได้ไหม ปิดหนี้ให้หน่อย แล้วจบกันไปนะ
- เรื่องแบ่งสินสมรส มันแบ่งไม่ได้ ตอนตนออกจากบ้าน ทุกอย่างที่เป็นหนี้ เขาให้ผม แต่ที่ผ่อนหมดแล้วเขาเอา ผมจะเริ่มแบ่งจากอะไร
- มีคำพูดที่ตนพูดกับทุกคนรอบตัว ว่าผมรู้สึกผิด ยอมรับผิดอย่างลูกผู้ชาย แต่หลังจากนั้นมันเป็นเรื่องที่เราอยู่กันไม่ได้ พอแยกทางก็ต้องตกลงกันว่าจะเอายังไงต่อ แต่มันตกลงกันไม่ได้ สมมุติคุณทำงานได้ 100 ต้องใช้จ่ายเพื่อคนอื่น 90% แล้วยังเป็นหนี้อีก จะอยู่ยังไง
- ตนทำงานมาทั้งชีวิต รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับตัวเอง มันหายไปหมด กลายเป็นว่าตนต้องมานั่งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูก ถ้าเขามีหลักฐานว่าเงินไปอยู่ไหน ก็ดี ถ้าเงินมันยังอยู่ ก็เอามาปิดหนี้ ก็จบแล้ว เราก็จดทะเบียนหย่า ตกลงกันเรื่องลูก
- 2 ปีที่แยกออกจากบ้าน ช่วงเป็นข่าวเรื่องมือที่สาม ตนไม่ได้เอาเงินออกมาใช้เลย มีแค่เงินเดือน 4 หมื่นบาท ไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเลย เท่ากับเงินเข้าเขาอย่างเดียว อย่างน้อยช่วงนี้ต้องมีเงินเหลือ
- ก่อนหน้านี้ หจก. มีชื่อของตน น้องสาว และเขา จริง ๆ ต้องเป็นตนที่เซ็นเบิกเงิน แต่พอเห็นเสตทเมนต์เป็นชื่อเขาก็แอบตกใจเหมือนกัน
- 25 ปีที่ผ่านมา เป็นเงินของตนที่เลี้ยงเขาและครอบครัว ตนไม่ได้บกพร่องอะไร ตนทำผิดก็รับผิด ตนทำสิ่งที่ไม่ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะทำกับครอบครัว แต่ถ้าเรื่องดูแล ตนดูแลอย่างดีที่สุดกับทุกคน ทั้งครอบครัวตัวเอง และครอบครัวเขา ตลอด 25 ปีการเป็นนักร้อง มันคือเงินของตนทั้งหมด ไม่ใช่เงินของจูน จูนไม่ได้เป็นคนดูแลครอบครัว
- ตนไม่อยากพูดเลยเพราะไม่อยากให้ใครมองเขาไม่ดี ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ของที่ซื้อส่วนมากจะอยู่ในสายตาของตน ไม่ว่าจะกระเป๋าแพงแค่ไหน รถ นาฬิกาเดือนละเป็นล้าน แต่หลังแยกบ้านกันไปแล้ว เห็นช้อปปิ้งแบรนด์แนม 5 ใบ รองเท้า Hermès ของอะไรก็ตามที่เขาไมได้ซื้อตอนอยู่กับตนเลย ก็แอบตกใจ
- ไม่ได้ดูถูกเรื่องเงินเดือนนะครับ ร้องเพลงคืนเดียว เงินเดือนเขาอะ แล้วเขาซื้อได้ขนาดนี้เลยเหรอ ผมยังไม่กล้าซื้อของขนาดนี้เลย นั่นก็คือปัญหาที่ผมรู้สึกแค่ว่าเรากำลังลำบากมากเลยอะ แยกบ้านออกมา แต่คุณสุขสบาย แล้วเราต้องมานั่งรับผิดชอบในส่วนที่....
"คนเป็นเมียในฐานะคนทำบัญชี ดูแลบริษัท สั่งจ่ายไปเพื่อประโยชน์ของบริษัทและครอบครัว แบบนี้หรือ คือ ยักยอก ก็ทำแบบนี้มาตลอดนะคะเป็นเวลาหลายปี แล้วทำไมถึงมาฟ้องตอนนี้คะ จริงๆเราก็อธิบายไปหลายรอบแล้วค่ะแต่สามีอาจจะไม่เข้าใจ เดี๋ยวเตรียมหลักฐานเสร็จแล้วให้ศาลท่านช่วยดูก็แล้วกันนะคะว่าแบบนี้เรียกยักยอกมั้ย"
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์, Num KALA, June Penchu