- ไปเจอกับว่าที่คุณภรรยาคนนี้ได้ยังไง ?
อเล็กซ์ : รู้จักกันมานานพอสมควรแล้ว ผมเป็นเด็กบางกอกพัฒนา เขาจะเป็นเด็ก ISB ตั้งแต่สมัยเรียน 2 โรงเรียนนี้ ก็จะมีการแข่งขันด้วยกัน ก็จะเป็นเพื่อนกัน ทุกวันนี้ก็จะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน จะรู้ว่าเขาคือใครตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว พอตอนโตไปเห็นรูปใน IG ก่อนแล้วช่วงนั้นเขาโสดด้วย มันเป็นรูปที่เขาอยู่อยู่ในสระว่ายน้ำแต่ตัวเขาไม่เปียก เราก็มองแล้วก็งงว่าทำไมตัวไม่เปียก อันนี้คือจุดแรก เราก็เลยลองกดเข้าไปดูคนนี้น่าสนใจเลยกดไลก์รัว ๆ หลาย ๆ รูป แล้วก็ไปดูว่าเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกทีแล้วก็บังเอิญมาเจอแล้วก็ได้มารู้จักกัน
- ไปปิ๊งเขาตรงไหน ?
อเล็กซ์ : วันแรกที่เจอ ผมยังไม่ได้มีเจตนาอะไรมากขนาดนั้น แล้วก็ไปกับเพื่อนผู้ชายด้วย เวลาเราไปกับเพื่อนผู้ชายจะเป็นโหมดกวน ๆ สนุก ๆ หน่อย แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรถึงขนาดนั้น แต่พอเริ่มคุย เราก็ยังไม่เคยคบกับผู้หญิงแบบนี้ เขาจะดูแมน ๆ ตรงไปตรงมา เลยขอแลกไลน์กับเขาจากนั้นก็เจอกันแล้วก็เจอกันบ่อยขึ้น ๆ
- คุยกันนานมั้ยกว่าจะตกลงเป็นแฟนกัน ?
อเล็กซ์ : ถ้ากลับไปคิดว่าวันไหนที่เราตัดสินใจเป็นแฟนกันจริง ๆ คือผมยังไม่มีวันนั้นในความทรงจำ มันเป็นความสัมพันธ์ที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เราเคย มันเหมือนเราสนิทกัน มารู้อีกทีเขาไม่รับสาย เราเริ่มคิดว่าเราไปทำอะไรมาหรือเปล่าวะ เราเริ่มรู้แล้วว่ามันคืออาการที่เรารู้สึกดีกับคนนี้แล้วมันก็ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น มันไม่ได้มีโมเมนต์ที่ขอเป็นแฟนหรือโมเมนต์ที่มีดอกไม้หรือสวีตในช่วงแรกเท่าไหร่เลย มันเป็นการค่อย ๆ ไม่รีบ ๆ มารู้อีกทีเรารู้จักกันมาเป็นปีแล้ว มันเป็นฟีลอย่างนั้นมากกว่า
- จีบยังไง วันนึงที่เราชอบกันแล้ว ?
อเล็กซ์ : ในช่วงที่เราโสดเราก็มีคุยตามประสาคนโสด แล้วเราก็จะมีเรื่องเล่าที่เป็นประโยคเด็ดเพื่อแสดงความฉลาดของเรา แต่พอเราแสดงความฉลาดกับคนนี้เขาไม่เล่นด้วย เราก็ต้องเปลี่ยนวิธี เราก็ต้องเอาใจ ๆ กับเขา อาจจะมีสวีตบ้างมีพูดคุยกันสนุกสนาน อาจจะไม่ใช่คำพูดที่สวีต อาจจะเป็นการเล่นกับเขาเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด ตรงนี้สำคัญ ถ้าเราปล่อยตัวเราเองได้ 100% จริง ๆ พอเราเข้าปีที่ 6 ปีที่ 7 มันปล่อยได้เต็มที่จริง ๆ ตรงนี้เป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนสองคนไม่เห็นว่าจะมีปล่อยแบบนี้ได้กับใครแล้ว ก็ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว
- เห็นว่า 6-7 ปีที่คบกันมาไม่มีเรื่องทะเลาะกันเลย ?
อเล็กซ์ : ก็มีทะเลาะกัน แต่เมื่อเราเทียบจากสิ่งที่ได้ยินจากคนนั้นคนนี้เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคู่ที่พูดกันแมน ๆ ได้ อาจจะมีทะเลาะเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ แต่ถือว่าน้อยมาก ๆ ใน 7 ปีนี้ที่หนักจริง ๆ อาจจะมีครั้งสองครั้งที่จำได้ ที่เหลือก็คืออาจจะมีเถียงกันนิดนึงแต่ไม่หนักมาก
- เรื่องที่ทะเลาะน่าจะเป็นเรื่องที่อเล็กซ์งอแง ?
อเล็กซ์ : ก็ด้วย (หัวเราะ) ส่วนมากจะเป็นเรื่องของเวลาที่เจอกัน ผมจะทำงานค่อนข้างเยอะแต่เขาจะเข้าใจมาก ๆ จำคำพูดของผู้ใหญ่ที่เล่าให้ฟังว่าทำงานแบบนี้อย่ากลายเป็นคนที่โตขึ้นมาไม่มีครอบครัวสำเร็จทางด้านการงานแต่ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก แล้วคำพูดนี้มันติดกับเรามาหลายปีมาก ถ้าเราอยากมีอนาคต อยากจะมีครอบครัว เราต้องใส่เวลาเจอเขาในตางรางของเราจริง ๆ และให้ความสำคัญจริง ๆ อันนี้ช่วยได้เยอะมาก
- เตรียมการขอแต่งงานยังไง ?
อเล็กซ์ : คิดมาหลายปีแล้วอยู่ในใจของเราแต่ไม่ได้พูดให้ใครฟัง แต่คุยกันสองคนมันก็ถึงจุดที่ต้องคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมก็จะมีคอนเซ็ปต์ชัดเจนว่าเพื่อครอบครัว เพื่อตัวเอง และเพื่อคุณ เพื่อครอบครัวก็คือสร้างบ้านให้ครอบครัวเก็บเงินให้พ่อแม่เราอยู่ถึงวันสุดท้ายได้อย่างสบายจริง ๆ หลังจากนั้นขอจัดการเรื่องบริษัทเรื่องงานประมาณปีนึง แล้วก็มาถึงจังหวะนี้ เพราะการมีครอบครัวมันต้องเสียสละครั้งใหญ่ไปตลอดชีวิตอีกรอบนึง เราก็เลยรู้สึกว่าเราต้องอิ่มก่อน พอเราอิ่มแล้วก็พร้อมจะมี ด้วยจังหวะอายุด้วยที่คบกันมาซักพักนึงแล้ว เลยคิดว่าเป็นจังหวะชีวิตที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่อยากไปรีบอะไรมาก
- ไปขอแต่งงงานที่ไหน ?
อเล็กซ์ : ที่เลคหลุยส์ แคนาดา เป็นสถานที่ที่พี่สาวไปแต่งงานที่นี่ พี่สาวไปแต่งงานที่โตรอนโต แล้วเราก็ยกไปทั้งครอบครัว เราก็แพลนว่าเราจะไปทริปแล้วเขาเป็นคนที่ชอบทะเลสาบมาก แล้วทะเลสาบนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก เราก็ไปพักกันที่นี่ พอจัดงานแต่งเสร็จเราก็ไปเที่ยวกันสองคนเลยคิดว่าด้วยจังหวะอะไรหลาย ๆ อย่างเป็นจังหวะที่ดี
- วางแผนการขอแต่งงานยังไง ?
อเล็กซ์ : ไม่ง่ายเลย เรื่องแหวนเรื่องอะไรเป็นเรื่องใหม่มาก เกรดของแหวน ไซส์ของแหวน ไซส์เพื่อนแอบลองให้มาหลายปีแล้ว แอบได้ไซส์มา วันแรกที่เห็นเพชรผมตกใจมากเลยนะ กะรัตมันเดาไม่ออกมันเหมือนเม็ดข้าว มันเล็กนิดเดียว คือในความรู้สึกเกรดที่ดีที่สุดน่าจะสำคัญกว่าไซส์ที่ใหญ่ที่สุดในความรู้สึกผม แล้วด้วยตัวเรือนเขาไม่ได้ใหญ่เราอยากได้อะไรที่เหมาะกับตัวเขา แต่ขบวนการเอาไปแคนาดาก็ไม่ได้ง่าย เราบินไปต่างหาก เราฝากแหวนแม่ไปก่อน พอเราบินไปผมใส่ไว้ในกระเป๋าสูทกับตัวเองตลอด ผมต้องใส่เป็นถุงกระสอบเล็ก ๆ เวลาเล่าให้เพื่อนฟังเขาจะบอกว่าไม่มีความโรแมนติกอะไรเลย โมเมนท์ที่กลัวมากที่สุดคือตอนเราไปสนามบินแล้วเราต้องถอดเสื้อแล้วเข้าไปในนั้น มันจะหายมั้ย พอไปถึงปุ๊บเขาตื๊ด ๆ ขึ้นมาอันนี้คืออะไร แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี แล้วก็ไม่อยากใส่กล่องเพราะมีคนทักมาว่าเดี๋ยวเขาจะรู้
- ไปขอที่ทะเลสาบไม่คิดว่ามันจะตกน้ำหรอ ?
อเล็กซ์ : ก็คิดอยู่ครับ ไป 4 วัน เราก็คิดในใจว่าเราเอาวิวที่สุด เราเอาฟีลลิ่งที่สุด เราไม่มีช่างภาพ ไม่มีกำหนดการ ไม่มีเวลาดี เราก็คิดว่าใน 4 วันนี้ ต้องขอจะวันไหนยังไม่รู้ ไม่ได้คิดว่าจะพูดอะไรให้มันเป็นฟีลลิ่งล้วน ๆ ให้เป็นโมเมนต์ที่ดีล้วน ๆ ถ้าเอาช่างภาพมามันจะระแวงความเซ็ต วันสุดท้ายก็ขึ้นเรือไปเป็นเรือพายตอนประมาณ ตี 5 ครึ่ง แล้วก็นั่งห่างกันเหลือเกิน เขาก็นั่งนู่น เรานั่งอยู่ข้างหลัง จะขยับไปข้างหน้าเรือก็โยกแถมใส่เสื้อชูชีพอีก ชูชีพสีแดงแป๊ดเลย นึกในใจว่าเราจะถ่ายรูปแต่งงานกันโดยมีเสื้อชูชีพไม่ได้นะ เลยบอกเขาว่าถ่ายเซลฟี่กันหน่อยมั้ยถอดชูชีพรูปจะได้สวย ๆ แล้วโมเมนต์นั้นก็มาด้วยตัวของมันเอง อันนี้คือขากลับแล้ว เราก็เห็นแล้วว่านั่งท่องเที่ยวที่นี่ก็เริ่มมา ถ้าเราไปขอบนบกทุกคนก็จะปรบมือเพราะผมเคยเห็นผมเคยไปเวนิสผมเคยเห็นทุกคนปรบมือ มันจะเขินไปหมด พอกลับมาคิดแล้วก็คิดว่าตัดสินใจถูกไม่ได้วางแผนเอาแบบเฟรช ๆ เลย
- พูดยังไง ขอยังไง ?
อเล็กซ์ : เราก็พูดออกมาตามที่คิดตอนนั้นเลย ก็พูดออกมา เขาก็งง แล้วก็ตกลงกัน ไม่ได้มีคำพูดอะไร ตอนหลังเขามาบอกผมว่านึกว่าจะมีสปีชพูดยาว ๆ เราก็เพิ่งมารู้ว่าขอแต่งงานต้องพูดเยอะ ๆ หรอ ผมว่ามันเป็นโมเมนต์ที่เขาบอกผมมาตั้งนานแล้วว่าเขาอยากได้เซอร์ไพรส์ แต่พอเขาโดนเซอร์ไพรส์จริง ๆ เขาก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน มันไม่ได้มีคำพูดหวานอะไรขนาดนั้น แต่มันแค่นิดเดียวเอง ก็ลองสวมแหวนแล้วก็ลุ้นแทบตาย ปรากฏว่าหลวม (หัวเราะ)
- ว่าที่ภรรยาเขาว่ายังไงบ้าง ?
อเล็กซ์ : เขาก็งงเพราะว่าจริง ๆ เราคุยกันไว้แล้วว่ากลับจากทริปนี้เดี๋ยวจะเริ่มคุยกัน มันเป็นแผนที่เราวางเอาไว้ว่าเพื่อให้เขาไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นบนทริปนี้
- ร้องไห้เหมือนในละครมั้ย ?
อเล็กซ์ : ไม่ได้ร้อง แต่ว่าตอนที่เรากลับไปที่โรงแรมแล้วเราเฟซไทม์ ครอบครัวผมอยู่ที่แคนาดาเหมือนกันแต่อยู่อีกเมืองนึงแล้วครอบครัวเขาอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วเราก็เฟซไทม์ทั้งสองฝั่งแล้วเราเห็นรีแอ็คของคนอื่นอันนี้เริ่มมา เราเห็นความยินดี ความต้อนรับครอบครัวสมาชิกใหม่ของทั้งสองฝ่ายมันกินใจเรา
- แพลนแต่งงานเมื่อไหร่ ?
อเล็กซ์ : มกราคม ช่วงกลาง ๆ เดือน ตอนนี้กำลังสรุปรายละเอียดที่แน่ชัดอยู่ ด้วยความที่ทุกอย่างบีบนิดนึงช่วงนี้
- มีเวลาเตรียมมั้ยหรือว่าให้แฟนเป็นคนจัดการ ?
อเล็กซ์ : จริง ๆ เรื่องรายละเอียดของงานคิดว่าทางแฟนน่าจะมีภาพในใจที่ชัดเจนกว่าเรา ผมจะดูแลเรื่องเพื่อนเจ้าบ่าวจะเที่ยวที่ไหนดี ใส่ชุดอะไรดี ตอนนี้ชุดเยอะมาก ชุดพ่อชุดพี่ชาย เสาร์อาทิตย์เราก็จะไปเป็นครอบครัววัดโน่นวัดนี่ ก็สนุกสนานน่าตื่นเต้นดี
ตื่นเต้นมั้ย ?
อเล็กซ์ : ตื่นเต้นนะครับ พอมานั่งลิสต์แขกที่เราเชิญมา รู้สึกดีใจที่จะได้เจอกับทุกคนที่เราอาจจะไม่ได้เจอกันนาน แล้วก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เราเป็นเรา วันนี้เราอาจจะไม่ได้คุยกับเขามานานแล้ว แล้วเราจะได้ถือโอกาสนี้เข้าไปเอาการ์ดไปให้เขา ได้ชวนเขามา รู้สึกดีใจที่จะได้กลุ่มเพื่อน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับงานแต่งงานตื่นเต้นมาก
- เวลาที่เรามีวันสำคัญเราต้องอยากได้อะไรที่พิเศษในงานของเรา ?
อเล็กซ์ : ของผมมีอย่างเดียวเลยคือพิธีรดน้ำสังข์ ผมไปงานแต่งแล้วรู้สึกว่าเวลาที่เพื่อนหรือผู้ใหญ่มารดน้ำสังข์ได้พูดอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ มันเป็นโมเมนต์ที่ซึ้ง ด้วยความที่เราไปเชิญผู้ใหญ่หลายๆท่านที่เรากำลังจะไปชวนแล้วเราไม่มีเวลาดูแลทุก ๆ คน นี่เป็นโมเมนต์เดียวที่จะได้มองตากับเพื่อนจริง ๆ ก็เลยขอแค่นี้ ไม่ได้เยอะเป็นร้อย ๆ คนแต่เฉพาะคนที่มางานหมั้นในตอนเช้า
- แต่งแล้วมีทายาทเลยมั้ย ?
อเล็กซ์ : ก็หนึ่งในแผนแน่นอนด้วยอายุของผมกับเขาพอเรามาคำนวนดูแล้ว สมมติเรามีวันนี้เลยกว่าเขาจะเรียนจบเราก็ 60 กว่าแล้ว เราทำค่ายมาเราเห็นโมเมนต์ผู้ปกครองกับเด็กเราอยากมีโมเมนต์แบบนี้ เราอยากมีแรง ไม่ใช่กลับมาเหนื่อย ๆ แล้วไม่มีแรง เราอยากจะใช้เอเนอจี้กับเขาได้ ก็รีบ แต่ก็ยังไม่ได้วางไทม์ไลน์อะไรขนาดนั้น จริง ๆ คิดว่าอยากมีซัก 2 กำลังดี ผู้หญิงคนนึง ผู้ชายคนนึง มีมากกว่านั้นก็ได้ แต่อยากมีมากกว่าหนึ่ง
- จะไม่รับงานละครแล้วจริงมั้ย ?
อเล็กซ์ : ก็ยังอยากแสดงยังอยากเล่นอยู่ แต่ว่าด้วยชีวิตของเรามันเปลี่ยนไปเยอะมาก เพราะช่วงโควิดเราทำองค์กรด้วย พอเปิดโควิดมามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างในองค์กรมันหนักกว่าเดิม มีอะไรที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิม ต้องดูแลคนมากกว่าเดิม ช่วงนั้นเล่นละครไปด้วยทำงานไปด้วยรู้สึกว่ามันไม่ได้ดีซักอย่างเลย ตรงนี้ไม่มีเราก็ไปต่อไม่ได้ มันถึงจุดที่เราอยากจะเลือกเล่นมากกว่าเดิมด้วย ไม่ได้รับมา 2 ปีแล้ว