ตอนนี้ชีวิตของคุณเป็นยังไงบ้าง ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : เป็นทั้งนักแสดงแล้วก็เป็นศิลปินด้วย จริง ๆ ชีวิตการเป็นศิลปินก็ผ่านอะไรเยอะเหมือนกัน ก็ยังเป็นนักแสดงอยู่แต่มีเวลาก็มาทำเพลงด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ชอบจากการเป็นศิลปินคือทุก ๆ เพลงที่ปล่อยออกมาทุกเรื่องมันมาจาก Based on true story ของหนูหมด แล้วก็เรียนรู้อย่างหนึ่งว่าตอนที่เป็นนักแสดงจริง ๆ เราก็มีโอกาสได้พูดเรื่องส่วนตัวค่อนข้างเยอะ ก็จะมีการไปตอบคำถามนักข่าวอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็พูดออกไปทั้งหมดไม่ได้ ความรู้สึกทั้งหมด แต่สิ่งที่พูดออกไปถามว่าเป็นเรื่องจริงไหมเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์หรือความเสียใจอะไรต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตแต่ว่าเราไม่ได้ลงรายละเอียดไม่สามารถพูดทุกอย่างที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจเราออกมาได้ แต่ตอนที่ได้เป็นศิลปินก็เลยมีโอกาสได้ทำเพลง แล้วทุก ๆ เพลงเราพูดความรู้สึกตัวเองออกมาหมดเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตก็สามารถให้เรากลับเอามาทบทวนว่า ณ เวลานั้นจิตฉันว่าเจอกับอะไร ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : ใช่ค่ะ อย่างเพลงนิทานความรักก็เป็นความรักครั้งที่ผ่านมา ก็ได้มานั่งทบทวนกับตัวเองว่าอะไรเกิดขึ้นในความสัมพันธ์บ้าง เรารู้สึกอะไรบ้าง เราจะจัดการกับความรู้สึกยังไง สุดท้ายมันก็เหมือนเพลงนิทานความรักที่เรารู้สึกว่าความจริงความรักมันก็สวยงาม มันก็เป็นนิทานเล่มหนึ่งที่ได้เรียนรู้ แล้วก็คงอยากจะเก็บมันไว้เป็นนิทานที่อยู่ในใจ แล้วก็อาจจะไม่ได้หยิบออกมาอ่านบ่อย ๆ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่เราประสบความสำเร็จ แต่ก็รู้ว่าสุดท้ายเราเลือกที่จะให้มันมีตอนจบแบบไม่ใช่เทพนิยาย ถึงแม้เราจะเริ่มต้นแบบเทพนิยาย
อะไรคือความรักที่สำเร็จสำหรับปราง ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : เพลงนี้มันก็ทำให้เรามองเหมือนกันว่าที่ผ่านมาเวลามีความรัก จะรู้สึกว่าเราสามารถสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้ ถ้าทำทุกอย่างดีตอนจบมันจะสวย ตอนเด็กเราคิดอย่างนั้นจริง ๆ และนั่นคือความสำเร็จในความรักที่หนูคิด ถ้าทำทุกอย่างดีหมายถึงว่าเราดูแลความรักครั้งนี้อย่างดี ถนอมหัวใจกันและกัน ทำทุกอย่างถูกต้องแล้วเราจะมีตอนจบที่สวยงาม แต่สุดท้ายแล้วหลังจากผ่านความสัมพันธ์นั้นมาหนูก็รู้สึกว่า อ๋อ ! สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะตั้งใจเขียนนิทานเล่มหนึ่งมากขนาดไหน ไม่ว่าจะเจออุปสรรคก็พยายามเขียนมัน ฆ่ามันทิ้ง ลบไป แต่สุดท้ายร่องรอยมันก็ยังอยู่มีในกระดาษ แล้วมันก็ทับถมอยู่ในใจเรา
การที่จะทำให้เบาลงต้องทำยังไง ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : สุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องของเวลาค่ะ คือที่ผ่านมาหนูพยายามลบ แล้วหนูก็เขียนเรื่องที่ดี ๆ ทับไป แต่ความจริงแล้วรอยนั้นยังอยู่ แล้วเราก็ไม่เคยลืมมัน ก็เลยมีความคิดอีกอย่างหนึ่งว่าจริง ๆ แล้ว เรื่องทุก ๆ อย่างเราไม่สามารถลืมมันได้ เพียงแต่ว่าเวลามันจะทำให้เราเข้าใจมันมากขึ้น แล้วเราก็เลือกที่จะมองมุมดี ๆ ก็เลยเขียนนิทานความรักว่าสุดท้ายก็เก็บเรื่องดี ๆ ไว้ดีกว่า เพราะถ้าเรามัวแต่ไปจี้จุดที่มันไม่ดี มันก็จะกลายเป็นแผลในใจมากกว่าเป็นนิทานเล่มหนึ่ง ก็ได้ข้อคิดอะไรให้ตัวเองด้วย สอนตัวเองไปด้วยในการเป็นศิลปิน
บางคนมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์เพื่อไปใช้กับความสัมพันธ์ต่อไป คุณมองยังไง ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : ในชีวิตหนูอาจจะไม่ได้มีความสัมพันธ์หลายครั้ง มีแฟนคนเดียวในชีวิตแล้วก็เลิกรากันไป แล้ววันนี้ก็เริ่มตันความสัมพันธ์ครั้งใหม่
การที่เราเปิดโอกาสครั้งใหม่ มีการเปรียบเทียบไหม แล้วมีวิธีการยังไงที่จะไม่เปรียบเทียบ ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : จริง ๆ ผ่านความสัมพันธ์แล้วกำลังจะเริ่มต้นใหม่ตอนนั้นมีความรู้สึกแหยง ๆ เหมือนกัน รู้สึกว่ามันจะเหมือนเดิมไหมนะ เพราะเราเหมือนกลับมารักตัวเอง ใช้ชีวิตกับตัวเองจนรู้สึกว่าเต็มอิ่มแล้ว รู้สึกว่าอยู่คนเดียวก็มีความสุขดีนะ แต่ไม่ได้แบบชีวิตนี้ฉันจะอยู่คนเดียวก็ยังอยากมีความรัก แค่คิดว่าไม่รู้ว่าจะเจอปัญหาเดิมหรือเปล่า หรือจะเจอใครที่ใช่สำหรับเราจริง ๆ อีกสักคนหนึ่งไหมในชีวิต ที่เราอยากจะอยู่กับเขาไปนาน ๆ
จนกระทั่งมีคน ๆ นี้เข้ามาในชีวิต หนูพูดกับเขาเลยนะว่ารู้สึกแบบนี้ ก็ขอโทษเขาเหมือนกันที่เรารู้สึกแบบนี้ กลายเป็นว่าวิธีที่เราจัดการกับมันก็คือหนูจะพูดเลย โชคดีที่เขาก็เข้าใจ เขาก็บอก อ๋อ ! โอเคมันจะไม่เป็นแบบนั้นหรอกแต่ว่าเขาก็จะไม่สัญญานะ ไม่พูดอะไร แต่เราค่อย ๆ ใช้ชีวิตกันไป แต่ยอมรับว่ามันมีแหยง ๆ เลยค่ะ
ตอนเป็นคู่จิ้น ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : คือตอนนั้นที่มาเป็นคู่จิ้นกัน จริง ๆ ก็ไม่ได้มานั่งคุยกันว่าโอเค ฉันจะรับงานกับเธอเพื่อสิ่งนี้นะหรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ หนูปล่อยให้ทุกอย่างเป็นตามธรรมชาติค่ะ ในเมื่อคนชื่นชอบมีความสุขในการที่เห็นเราได้มาออกรายการก็รู้สึกว่าก็เป็นเพื่อนกันก็น่ารักดี ต่อไปในอนาคตจะเป็นอะไรไม่ได้คิดด้วยซ้ำ คือมันไม่ได้มีการจีบกัน เขาไม่ได้จีบหนู ไม่ได้มีไปคุยอะไรนอกรอบกันเลยนะคะ คือเราก็รู้จักกันจากการที่หนูเป็นนางเอกเอ็มวี แล้วเขาก็กำลังเป็นศิลปินเหมือนกัน ก็เลยคุยกันเรื่องเพลงนี้แหล่ะค่ะ ปรึกษากันไปเรื่อย ๆ แล้วก็ในฐานะเพื่อน แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็คือคุยกันไปเรื่อย ๆ
เวลาจะไปดูคอนเสิร์ตอะไร ก็จะชอบชวนกันไปดูคอนเสิร์ต แต่ก็จะไปกันเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์ หลังจากนั้นเขาก็มาจีบ แต่เขาก็รู้ว่าเราไม่ชอบคนที่เข้ามาจีบเราแบบเยอะ ๆ พอรู้จักกันมาสักพักหนึ่งเขาก็จะรู้ว่าเราชอบอะไรบ้าง อย่างคนที่เข้ามาจีบตรง ๆ จะไม่ค่อยได้คุยกับเรา แต่กับคนที่คุยไปเรื่อย ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วปรางเป็นคนอย่างนี้ค่ะ คือชอบให้คนที่มาจีบรู้จักเราในระดับหนึ่ง เพราะรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครมาเปลี่ยนตัวเขาเพื่อเรา แล้วเราก็ไม่พร้อมด้วยที่จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร คือหนูมีโลกส่วนตัว แล้วก็มีความชอบในแบบของเรา
คนมาจีบเขาต้องปรับตัวยังไง ในโลกส่วนตัวของคุณ ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : (หัวเราะ) คือถ้าหนูมีแฟนก็จะติดแฟนมาก แต่หนูก็จะมีโลกของหนูด้วย เขาก็ต้องให้พื้นที่ คือหนูรักตัวเองมาก เป็นคนมีเวลาให้ตัวเองสุด ๆ จะต้องรู้สึกว่าตัวเองฟูลฟิลก่อน แล้วก็ครอบครัวตัวเองด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นคนที่เขาจะอยู่กับเราได้ จะต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราในระดับหนึ่ง ต้องเข้าใจว่าเรารักตัวเอง อยากทำอะไรเพื่อตัวเองก่อน เมื่อไหร่ที่มีเป้าหมายที่อยากทำก็จะโฟกัสตรงนั้นแบบสุด ๆ แล้วถ้าเขาพร้อมที่จะอยู่กับเรา ไม่ได้ต้องการให้เขาหายไปจากชีวิตนะคะ ต้องการให้เขาอยู่ซัพพอร์ตเรา แค่เห็นเขาหนูก็ดีใจแล้ว แล้วก็รักครอบครัวของเราด้วยอะไรแบบนี้
เขาจีบคุณมากี่เดือนแล้ว ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : คือทุกวันนี้ถ้าไปถามเขา เขาก็จะมีแบบไล่เลี่ยงให้ฟังนิดหนึ่งว่ารู้ตัวไหมว่าเริ่มจีบตอนไหน (หัวเราะ) ซึ่งหนูอ่ะรู้ แต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้
สัญญาณมันมาตอนไหน แล้วอะไรที่ทำให้เปิดใจ ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : ใครที่มาจีบเรา ก็จะรู้ในระดับหนึ่งแหล่ะ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจริงจังขนาดไหน หรือว่าเขาแค่อยากทำความรู้จักกับเราก่อน มันก็จะมีหลายรูปแบบแต่เราก็จะไม่ได้แสดงออกว่าเรารู้ เพราะอยากทำตัวเป็นธรรมชาติ พอธรรมชาติไปเรื่อย ๆ เขาก็เกร็ง ทุกวันนี้เขาก็มายอมรับกับหนูว่าเกร็งไปหมดไม่กล้าพูดว่าจะจีบ เพราะถ้าพูดไปแล้วเดี๋ยวเสียโอกาส เขาก็ชอบมาคุยกับหนูแบบตลก ๆ จนกระทั่งก็ใช้เวลานานมากเลยนะ เพียงแต่ว่าคนรอบนอกเขาเชียร์เลยรู้สึกว่าเหมือนอยู่ด้วยกันมานานมากแล้ว
แล้วคุยกันเรื่องอะไร ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : ได้ทุกเรื่อง อย่างวันหนึ่งเขาก็จะมาถามว่เกิดอะไรในชีวิตบ้าง เป็นอะไร มีความรู้สึกอะไรบ้าง ทำให้เราได้คุยกันเยอะ หนึ่งปีที่รู้จักกันมา คือรู้สึกว่ารู้จักเขาเยอะมาก เพราะเรามีเวลาได้คุยกัน เราชอบคนที่มีเวลาให้ สิ่งหนึ่งที่เขาชอบพูดกับเราก็คือ บอกว่าเขาเป็นคนที่ไม่สามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเอง แต่อันนี้ไม่เป็นเรื่องจริงค่ะ หนูจะเถียงเขาตลอด คนเราจะไม่มีความสุขได้ด้วยตัวเองได้ยังไง แล้วเขาบอกว่าถ้าเห็นหนูมีความสุข เขาถึงจะมีความสุข หนูก็บอกว่าไม่ได้คนเราต้องมีความสุขด้วยตัวเองให้ได้ แล้วสุดท้ายการมีความสุขของเธอก็คือมีฉันในชีวิตไง
ซิงเกิ้ลใหม่ชื่อ ไม่เคยได้เห็นตัวเองที่ยิ้มได้มากขนาดนี้ ตอนที่เขียนเพลงนึกถึงอะไร ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : นึกถึงคนปัจจุบันค่ะ คือที่ผ่านมาก็จะเขียนความรักครั้งเก่า เพลงที่สองก็จะเป็นโมเมนต์ของการจีบ การเริ่มต้นเข้าสู่ภาวะอีกครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าชีวิตเติบโตขึ้นมาแล้วในเรื่องของความสัมพันธ์ ถึงแม้หนูอาจจะไม่ได้เคยพูดตามสื่อมาก คือความจริงก็อยากให้เรามั่นใจด้วยในความสัมพันธ์ ถึงจะพูดออกมาเพราะเราก็โตแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าอยากเขียนเพลง ๆหนึ่งเพื่อขอบคุณคน ๆ นี้ (น้ำตาซึม) หนูจะร้องไห้ทำไมเนี้ย
พูดในสิ่งที่คิดเลยโดยที่ไม่ต้องกรอง ?
ปราง กัญญ์ณรัณ : มันมีประโยคหนึ่งค่ะ หนูพูดกับคนที่เขียนเพลงนี้ว่า ในชีวิตที่ผ่านมา (เสียงสั่นจะร้องไห้) หนูเป็นบิ๊กซัพพอร์ตเตอร์ที่ดีมาตลอดในความสัมพันธ์ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องผิดมันคือความสุขของเราเช่นกัน ในการได้เป็นผู้สนับสนุนคนๆหนึ่ง คนที่เรารัก เหมือนอยู่ในโมเมนต์ที่แบบเขาหันมาเมื่อไหร่จะเจอเราอยู่ตลอด แต่ว่าเวลาที่หนูหันไปไม่เคยเจอใครเลย แล้ววันนี้หนูก็เลยรู้สึกว่าอยากเขียนเพลงที่เราขอบคุณ เพิ่งเข้าใจฟีลลิ่งที่หันไปแล้วเจอคนซัพพอร์ตเราอยู่ (ร้องไห้) มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลยนะ ไม่เคยมีความรู้สึกนี้มาก่อนในชีวิต ไม่ได้โทษใคร ไม่ได้อยากให้ไปพาดพิงถึงใครนะคะ เพราะจริง ๆ ที่ผ่านมาหนูมีความสุขมาก ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น หนูบอกแล้วว่าแฮปปี้ที่จะเป็นซัพพอร์ตเตอร์ที่ดีในความรัก แต่เราแค่ไม่เคยมีความรู้สึกนี้ เลยอยากหยิบความรู้สึกนี้ในโมเมนต์ที่แบบหันไปแล้วไม่เคยเจอใครเลย แต่วันนี้เราหันไปแล้วเจอเขาอยู่ตลอดเวลา
ช่วงชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นในหน้าสื่อหรืออะไร คนจะมองว่าหนูเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก ที่ผ่านความรักครั้งที่ผ่านมาได้ คุณเกือบได้แต่งงานแล้ว มีคุกเข่าขอแต่งงานไปแล้ว เวลาเราไปไหนคนจะชื่นชมมากว่าเข้มแข็งมาก แต่ความจริงข้างในเราเปราะบางมาก ๆ ค่ะ ซึ่งอยากขอบคุณเขามาก ๆที่ทำให้หนูกลับมามีแรงอยู่ในทุก ๆ วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่หรือพี่น้อง เพื่อน ๆ หรือว่าแฟนคลับ
พี่วู้ดดี้รู้ไหมว่าในวันนั้นคิดไปไกลมากว่าเราจะเป็นยังไง คือการที่อยู่ในความสัมพันธ์นั้นและมีภาพออกมาแล้ว กำลังจะได้แต่งงาน ทุกคนแสดงความยินดี แล้ววันหนึ่งเราก็จบความสัมพันธ์ครั้งนี้แล้วก็คิดว่ายังจะมีคนกล้ามาจีบเราอีกเหรอ เรามีภาพไปแล้วนะ ยังมีคนอยากมาขอแต่งงานอีกไหมในอนาคตหรือว่าคุณพ่อคุณแม่จะผิดหวังในตัวเราไหม หรือแฟน ๆ ที่เขาสนับสนุนคู่ของเราเขาก็เสียใจกันมาก คิดไปเยอะมากว่าแล้ววงการบันเทิงของเราจะเป็นยังไง จริง ๆ ตอนที่หนูตั้งใจจะแต่งงาน เปลี่ยนตัวเองเป็นภรรยาที่ดี ก็ไม่คิดว่าวันนี้จะได้กลับมาเป็นศิลปินคนหนึ่งได้ทำตามความฝัน อายุก็เยอะแล้วเหมือนกัน ไม่คิดว่าครอบครัวจะพร้อมสนับสนุนเราเหมือนเดิม ไม่คิดว่าจะกลับมามีความรักที่ดีอีกค่ะ