- ตอนนี้เข้าวงการมาทั้งหมดกี่ปี ?
ต่อ : ปีที่ 11 แล้วครับ
- เริ่มต้นยังไงกับวงการบันเทิง ?
ต่อ : ผมน่าจะเริ่มจริง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำว่าบันเทิงน่าจะตอนอายุประมาณ 18 ปลาย ๆ เกือบ 19 มีโอกาสเข้ามาเป็นนายแบบก่อน ผมจะเดินงานที่ทุกคนน่าจะรู้จักก็คืองาน Bangkok international week หรือ BIFW แล้วก็จะมีงาน Elle Fashion Week ได้ลองหลายอย่างมาก ได้ไปแคสต์โฆษณา ได้ไปลองเป็นดีเจ พิธีกรก็เคยไปลองช่วยพี่ย้งใน 789 Survival มา ผมเป็นคนชอบลอง MV ก็เล่น โฆษณาก็เล่นบ้าง จน MV เปลี่ยนชีวิต เพลงของ พี่ดา เอ็นโดรฟิน เพลงถึงเวลาฟัง ซึ่งทีมที่ทำนี้ก็น่าจะเป็น 1 ในทีมที่ทำซีรีส์ Change อยู่ทุกวันนี้
- อันนี้เป็นจุดกำเนิดให้มาเป็นนักแสดงของนาดาวหรือเปล่า ?
ต่อ : ไม่ใช่ว่าการเล่น MV นี้ทำให้ผมได้เข้านาดาว MV นี้ ดันทำให้พี่ย้ง ทรงยศ เจอผมผ่าน MV ไม่ได้เจอตัวจริง ซึ่งซีนที่เขาเคยพูดกับผมว่าเขาชอบคือโดนตบหน้าแล้วหน้ามันสโลว์ หน้ามเป็นคลื่น แล้วหน้าเบี้ยว ๆ เขาบอกเขาชอบสิ่งนี้มาก เขาอยากเจอคนนี้ แปลกมาก ๆ
- ผลงานเรื่องแรกที่ร่วมกับนาดาวคือ ?
ต่อ : ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น ซึ่งจริง ๆ มัน ๆ ไม่ใช่การแสดงเรื่องแรกของผมด้วยนะ ผมเคยมีซีรีส์ก่อนหน้า ซึ่งลูกพี่ผมก่อนหน้านี้คือพี่ฉอด จริง ๆ ผมอยู่ในคลับฟรายเดย์ เดอะ ซีรีส์ ซีซั่นแรกเลย ผมอยู่ตอนที่เป็น 3 คู่ โลกกลมมากตอนนั้นมีทั้งพี่มาร์ช มีทั้งเก้า สุภัสสรา ด้วย มันเป็นตอนที่เป็นเด็กวัยรุ่น ลุคแรกที่ผมรู้จักกับทุก ๆ คนคือเป็นสกินเฮดแล้ว แต่ตอนเล่นคลับฟรายเดย์คือยังมีผมอยู่
- เมื่อก่อนรับบทเป็นนักเรียน นักศึกษาแล้ว เดี๋ยวนี้มีผู้วางแผนให้เปลี่ยนบทบาทจะไม่ใช่บทนักเรียน นักศึกษาแล้ว ?
ต่อ : ตอนนั้นก่อนที่จะมี Side by Side มันจะมีจุดที่ผมเริ่มโคลงเคลงในแง่ความเชื่อของคนข้างนอกว่าเราไม่ถูกเชื่อในชุดนักเรียน และเราไม่ถูกยอมรับในชุดทำงาน คนที่มันมีแพชชั่นกับนักแสดงแล้วมันไม่ถูกเชื่อมันอึดอัดมาก มันจะรู้สึกว่าเราเข้าใจเขา เราอยู่ในระยะที่เขาไม่สามารถเห็นเราเป็นนักเรียนได้แล้ว แต่จะให้ไปทำงานก็ยังติดสิ่งที่ทำมาแล้วภาพมันชัดอยู่ แล้ว Side by side มันเข้ามาตอบทุกอย่างว่าไม่มีกฎเกณฑ์ side by side ไม่ได้กำลังพูดถึงว่าคุณวัยไหน แต่ side by side แค่เปิดประตูว่าฉันไม่ได้ขายเสน่ห์ ฉันคราฟท์มันมาอย่างสุดพลัง อย่างเหนื่อยมาก แล้วส่งความตั้งใจไปถึงคนดู สุดท้ายมันแค่ตอบเราว่าหรือว่าไอ้เด็กคนนี้อยากจะก้าวเข้าสู่นักแสดงที่ตัดคำว่าวัยรุ่นออกนะ
- ได้มีโอกาสไปเล่นกับพระเอกนางเอกตัวท็อป ณเดชน์ ญาญ่า ?
ต่อ : ตื่นเต้นครับ เราอยู่กันคนละตลาดมาก ๆ เมื่อก่อนค่ายผมจะอยู่วัยรุ่นเยอเะ อยู่กับออนไลน์เยอะ ผมไม่คุ้นชินกับทีวีขนาดนั้น คุ้นอย่างเดียวในฐานะผู้ชม ช่อง 3 ชวนมาจอยมาร่วมสนุกกันมั้ย แล้วเมื่อก่อนผมเป็นสวายเด็กชอบลองอยู่แล้ว ชอบปั๊บก็ไป เรื่องเล่ห์ลับสลับร่าง
- จากซีรีส์วัยรุ่นพอไปร่วมงานกับณเดชน์ ญาญ่า เป็นอีกตลาดเลย มันเกิดอะไรขึ้น ?
ต่อ : งง แล้วรู้สึกว่าผลประกอบการในแง่ความรู้สึกส่วนตัวแย่มาก จำได้ว่าฟีดแบ็กตอนนั้นทุกคนจะมีใหม่บ้าง หลาย ๆ คนก็บอกว่ามันโอเคอยู่นะสำหรับการเข้ามาในละครครั้งแรก แต่ผมจะเปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวจริง ๆ ว่าผมไม่โอเคเลย ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้ไม่ดี แล้วก็รู้สึกว่าต้องกลับไปฝึกตัวเองใหม่หรืออาจจะต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับทางนี้ มันแทบจะเกือบ 10 ปี ตอนนั้นวิธีการถ่ายทำละคร ซีรีส์ หนัง แตกต่างกัน มันไม่ได้ถูกรวมเข้าหากัน ทุกวันนี้รู้สึกว่าไม่ว่าจะช่องไหนการถ่ายทำละคร มันแทบจะไม่ต่างจากซีรีส์หรือหนังเลย ด้วยอุปกรณ์ด้วยอะไรต่าง ๆ มันไม่ต่าง แต่ด้วยยุคนั้นมันต่าง วิธีการกำกับ ผมไม่เคยเจอการถูกล็อกที่เขาเรียกกันว่าบล็อกกิ้ง นาดาวสอนเด็กมา การตามนักแสดงเป็นหน้าที่ของกล้อง พอผมเข้าไปสู่โหมดละครมันกลายเป็นว่า เห้ย ! บัง บังอะไรวะ ผมไม่เคยรู้จักสิ่งนี้ เมื่อก่อนกล้องที่ทำงานกับ GDH หรือ นาดาว ความโปรเฟสชันนอลของเขาก็คือเขาไม่สนบล็อกกิ้ง สำหรับเขาเอาคนเป็นหลัก กล้องในรายการตอนนี้ไฟแดงที่เรียกว่าสวิชเชอร์ผมทันนะพี่ การแสดงที่ผมเรียนมายากมากกับการเล่นสวิชเชอร์
- มีเหตุผลนึงที่ทำให้พักไป 5 ปี ?
ต่อ : ใช่ คือหลังจากที่เล่นเรื่องนี้ ผมได้เห็นว่าพี่แบร์กับพี่ญ่าเขาทำได้ดีมากเลย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ยอมรับความเด็กของเรามาก ประสบการณ์เราน้อย มันกลายเป็นว่าเราถอดใจ เรารู้สึกว่าทำได้ไม่ดีนักเรากลับค่าย เซ็ง ร้องไห้ บอกค่ายว่าไม่เอาแล้วนะ ลองแล้วนะไม่ดีหรอก อย่าเลย
- 5 ปีเลยหรอ แล้วผู้ใหญ่ว่ายังไง ?
ต่อ : หลังจากทั้งเล่ห์ลับ จริง ๆ มันมีอีกเรื่องคือโปรเจ็กต์ของพี่หน่องคือคิวปิดที่ผมไปจอยด้วย หลังจาก 2 เรื่องนี้ จริง ๆ เข้ามาอีกเรื่อย ๆ เลย แต่มันถูกปฎิเสธทั้งหมดโดยการที่เราบอกว่าเราไม่ไหว จริง ๆ ยุคนั้นผมพูดเลยว่าผมจะไม่ทำอีกแล้ว ไม่เอาเลย ในฟากของละครนี่ไม่ใช่สนามของเรา มันเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด ณ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนความเป็นตัวเองเยอะเกินไป มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าไม่เหมาะ เราให้คนที่เขาทำได้ดีทำ น่าจะดีกว่าไม่ใช่เรา
- อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ยอมให้กลับมายืนในวงการในด้านละครตอนนี้ ?
ต่อ : ตลอด 5 ปีหลังจากนั้น ผมว่าผมได้ประสบการณ์มากขึ้นจากการทำงานต่อเรื่อย ๆ แล้วก็ความไม่หยุดพัฒนาบวกกับโตขึ้นแล้ว ตอนนั้นมันเด็กอยู่พอมันประสบการณ์เยอะขึ้นโตขึ้นผมเปิดใจมากขึ้น เมื่อก่อนจะเป็นมุมแบบว่าพอเราเริ่มทำได้ พอเราเริ่มชอบ แพชชั่นเราจะทำให้รู้สึกว่าไม่อยากห่วย เราไม่ยอมรับความห่วย เรารู้สึกว่าเราโดนเฆี่ยนมาขนาดนี้ โดนพ่อเราพี่ย้งกดดันมาขนาดนี้ เราต้องเก่งซิวะ แต่พอมันไม่เก่งแล้วมันนอยด์มันจะรู้สึกว่าฉันไม่ได้ยอมรับความไม่เก่งนี้ แต่ฉันรู้สึกไปเลยว่านี่ไม่ใช่ พอดีกว่า แต่พอเราโตขึ้นใจกว้างขึ้นเราไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าอะไรที่เราทำไม่ได้เราอยากทำให้ได้
- แพลนอนาคตไว้ยังไง ?
ต่อ : อยากเป็นนักแสดงต่อไปเรื่อย ๆ แต่แค่จุดที่อยากเป็นที่สุดคืออยากแสดงโดยที่ไม่ต้องคิดถึงรายได้ จุดนึงผมก็อยากให้แอ็คติ้งของผมมันเป็นงานอดิเรก อยากอยู่ในจุดที่เราพาตัวเองและครอบครัวไปอยู่ในจุดที่ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังมีอิสรภาพในทุก ๆ ทางไม่ว่าจะเป็นการเงินและเวลา ทุกวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าบันเทิงมันมีความธุรกิจอยู่ เราไม่ได้สามารถใช้ใจทั้งหมดได้หรอก สุดท้ายมันก็ต้องมีเรื่องรายได้แต่ละปีเพราะเราก็คือคนทำงานคนนึง ถ้าวงแผนคิดได้เร็วสุดก็น่าจะอารมณ์พาตัวเองไปอยู่ขั้นนั้นให้ได้
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama