
ภาพจาก Instagram stampapiwat
เป็นประเด็นที่หลายคนจับตาไม่น้อยก่อนหน้านี้และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น กรณีนักร้องดัง แสตมป์ อภิวัชร์ พูดถึงเหตุผลที่หายหน้าไปช่วงหนึ่ง เพราะไปขึ้นศาลมา เนื่องจากภรรยา นิว จีริสุดา ถูกกล่าวหาและถูกคุกคามจากผู้ไม่หวังดี ปล่อยข่าวเท็จ บุกรุกเข้ามาถ่ายคลิปถึงหลังเวที แบล็กเมลว่าภรรยาเป็นบ้า พยายามบอกเรื่องจริงก็ไม่เป็นผล จนไปขึ้นศาลและชนะคดีแล้ว ซึ่งหลายคนก็เป็นห่วงและสงสัยว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
อ่านข่าว : แสตมป์ อภิวัชร์ เดือดกลางเวที ! ภรรยาถูกกล่าวหาเป็นบ้า-บุกถ่ายคลิป ฟาดคู่กรณี ไอ้XX

ภาพจาก Instagram stampapiwat
ล่าสุด (17 มกราคม 2567) ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปที่ แสตมป์ อภิวัชร์ ออกมาเปิดใจบนเวทีงานคอนเสิร์ตหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 เล่าถึงสาเหตุที่หายไป และไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ดังนี้
- ขอเล่าเรื่องบางเรื่อง ซึ่งจะปกป้องชีวิตคนในครอบครัวได้ ถ้าตนนำมันออกมาสู่แสงสว่าง เพราะภรรยาตนถูกโจมตีในที่มืดมานานเกินไปแล้ว ตนหายไปเพื่อฟ้องร้องคน 2 คนที่บุกรุกเข้ามาแบล็กเมลภรรยาตนหลังเวทีเมื่อปี 2567
- เริ่มมาจากมีคนคนหนึ่งสร้างสถานการณ์ ปั่นให้เกิดความเกลียดชัง สร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับภรรยาตน ทั้งในวงการเพลงและนอกวงการเพลง ทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว และมีคนหลงเชื่อถึงขั้นมาโพสต์ด่า โจมตี บุกรุกเข้ามาหลังเวที จนเราทำงานไม่ได้

ภาพจาก SarutaTa
- คนคนนี้โผล่หน้ามาให้ภรรยาตนรำคาญใจเป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว ทั้งที่ไม่รู้จักกัน แต่เรื่องมันร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2565 ที่มีตัวละครคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาคือแฟนของเขา ซึ่งทำงานอยู่ในวงหนึ่ง ทำให้มีป้ายห้อยคอที่สามารถบุกเข้ามาหลังเวทีไหนก็ได้ตามอำเภอใจ
- ในช่วงปี 2565 ขณะที่ตนเล่นดนตรีอยู่บนเวที 2 คนนี้ก็จะแวะมาโฉบผ่านหน้าภรรยาตน บางครั้งก็มาสร้างสถานการณ์ มานั่งร้องไห้ใกล้ ๆ ภรรยาตน โดยที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเป็นการส่วนตัว ซึ่งภรรยาตนก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้ว่ามันไม่น่าจะปลอดภัย แต่ก็ไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากให้ตนเป็นข่าว ก็เลยใช้วิธีหลบเลี่ยงเอา
- ภรรยาตนบอกผู้จัดงานว่าขอไม่รับงานร่วมกับวงนี้ไปก่อน คิดว่าจะจบได้โดยไม่มีการปะทะกัน จนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 มีงานหนึ่งเป็นเฟสติวัล มีอีกเรื่องเกิดขึ้น เราเพิ่งรู้ไม่กี่วันก่อนหน้าว่าต้องเล่นกับวงนี้ แล้วแคนเซิลไม่ทัน เลยต้องไป ก็คิดว่าไม่น่าเป็นอะไร
- พอไปถึงก็พบว่ามีคนมาดูต้นทาง มีพยานรู้เห็นเป็นคนในวงเรา ว่า 2 คนนี้มานั่งดักรอหน้าห้องพักศิลปินของพวกเราเป็นชั่วโมงแล้ว พอเรามาถึง 2 คนนั้นก็บุกเข้ามา ชี้ตัวภรรยาตน พูดจากล่าวหา หาเรื่อง มีคนอัดคลิปวิดีโอไว้ ไม่ทราบจากทางไหนบ้าง จากนั้นก็ไปบอกคนในวงการเพลงว่าบังเอิญเจอกับภรรยาตนหลังเวที แล้วจู่ ๆ ภรรยาตนก็ไปคุกคามเขาโดยไม่มีสาเหตุ

ภาพจาก SarutaTa
- คนที่ได้ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าไม่เมกเซ้นส์ก็ติดต่อเรามา แต่ภรรยาตนก็ยังไม่เอาเรื่อง ไม่เอาความ แก้ปัญหาโดยการใช้การ์ด ก่อนมางานมีการ์ดลาดตระเวนว่ามี 2 คนนี้มาไหม ปรากฏว่าเจอบ้าง ไม่นานหลังจากนั้น 2 คนนี้ก็ลาออกจากวงนั้นไป ตนก็ได้ไปขอโทษหัวหน้าวงนั้น ว่าที่ผ่านมาเราร่วมงานกันไม่ได้ เพราะ 2 คนนั้นมาปั่นป่วนเรา ทำให้เราทำงานไม่ได้ ตอนนี้เราทำงานด้วยกันได้แล้ว
- หัวหน้าวงนั้นก็เข้าใจ แล้วก็ช่วยให้ข้อมูลว่า 2 คนนั้นเป็นใคร มาจากไหน ก็ถามว่าเขาเป็นสไตลิสต์ของวงตามที่อ้างหรือเปล่า เขาก็บอกว่าเปล่า เป็นแค่แฟนของทีมงาน
- ผ่านไปไม่นาน 2 คนนี้ย้ายไปอยู่กับวงดนตรีหนึ่ง ซึ่งอยู่มานานจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่วันแรกที่เรารู้ เราก็ขอไม่ทำงานร่วมกับวงดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย ไม่อยากปะทะ ไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากเป็นข่าว
- ก็คิดว่าจะจบได้ จนถึง 21 ตุลาคม 2566 เดินเข้ามางาน ก็เจอจำเลยคนนี้ดักรออยู่ ภรรยาก็พาตนเลี่ยงไปซ่อนตัวในห้องพักอีกฝั่งหนึ่ง จนถึงเวลาสแตนด์บายโชว์ก็เปิดประตูไปเจอคนนี้ยืนรออยู่ มองด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย ชูมือถือขึ้นมา แล้วก็ไปบอกคนอื่นเหมือนเดิมว่าบังเอิญเจอกันหลังเวที แล้วภรรยาตนไปคุกคามเขาโดยไม่มีเหตุผล

ภาพจาก SarutaTa
- วันนั้นเราเริ่มเช็กว่าก่อนหน้าคิดว่าไม่มีวงนั้นอยู่ น่าจะไปเล่นได้ ก็สงสัยว่าเขามาได้ยังไง ก็ขอผู้จัดการงาน เขาส่งรายชื่อทีมงานมา ก็ไม่มีชื่อ 2 คนนี้ ถามวงก่อนหน้าว่ารู้จักไหม เขาบอกว่ารู้ แต่เขาไม่ได้มากับเรา ก็แปลว่าไม่ได้บังเอิญเจอแน่นอน เขามาเพื่อรอดักเรา แต่ก็ไม่ได้เอาความ
- จนวันที่ 28 ตุลาคม 2566 สองคนนี้ไปนั่งดักรอผู้บริหารเจ้าของค่ายเพลงค่ายใหญ่ของไทย ไปร้องไห้เล่าว่าไปงานคอนเสิร์ตต่าง ๆ แล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย ถูกภรรยาตนคุกคาม ผู้ใหญ่ท่านก็รับฟัง ให้คำปรึกษา แต่รู้สึกว่าไม่เมกเซ้นส์ เลยติดต่อพวกตนมา พอได้ฟังความจากเรา ท่านก็รู้สึกว่าพวกเราเดือดร้อน
- ปีต่อมาท่านก็เสียสละเวลาและเสี่ยงอะไรต่าง ๆ ไปขึ้นศาลให้เรา เป็นพยานว่า 2 คนนี้มาทำลายชื่อเสียงภรรยาตน ไม่อยากให้ตนทำงานต่อหรือเปล่า
- ต่อมาตนได้ตัดสินใจโทร. หานักร้องนำของวงที่อีกฝ่ายสังกัดอยู่ ขอโทษที่ร่วมงานกันไม่ได้ ตราบใดที่ทั้ง 2 คนยังอยู่ในวง ระหว่างการสนทนาก็รู้สึกได้ว่าถูกอัดเสียงอยู่ตลอด นั่นแปลว่า 2 คนนั้นไปบอกเขาก่อนแล้วว่าภรรยาตนไปคุกคามเขา แล้วเขาก็เชื่อ

ภาพจาก SarutaTa
- อยากถามว่าภรรยาตนจะไปคุกคามเขาก่อนได้อย่างไร เมื่อทุกครั้งที่เกิดเหตุ เกิดที่หน้าห้องพักศิลปินของตน เกิดตอนตนกำลังจะเดินขึ้นโชว์ และทุกครั้งเราเช็กแล้วว่าไม่มีพวกคุณ เราไปไหนมาไหนตามงาน เราต้องใช้การ์ด 2 คน แต่เขาเดินไปไหนมาไหนก็ได้สบายใจ
- สุดท้ายแล้วแต่ใครจะเชื่อแบบไหนก็ได้ แต่ในเมื่อมันไม่มีความปลอดภัยและไม่มีใครช่วยเราได้ เราก็ต้องไปพึ่งศาล ไม่งั้น 2 คนนี้จะไปวาดภาพว่าภรรยาของตนเป็นอะไรก็ได้เลย มีหลักฐานมากมายที่คนในวงการเพลงส่งมาให้พวกเรา ว่าเขาไป DM ไปเล่าให้ทุกคนฟัง แล้วมีคนส่งมา มองว่ามันไม่เมกเซ้นส์ บอกว่าอีบ้านี่มันเป็นอะไร โรคประสาทกำเริบเหรอ ก็ตัดสินใจให้ศาลตัดสินว่าภรรยาตนเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า
- เราก็ปรึกษากันในปี 2567 แล้วเรื่องที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น เมื่อพ่อของจำเลยท่านหนึ่งเป็นทหารยศพลตรีจากพิษณุโลกมาขึ้นศาลแทนลูกเขา แล้วแบกเอกสารปึกใหญ่เกี่ยวกับยศ ผลงาน เครื่องราชฯ บอกว่าเขากำลังจะบรรจุเป็นองครักษ์ ขอให้ตนกับภรรยาถอนฟ้องลูกของเขาซะ ไม่งั้นตนจะโดนคดีทางการเมือง นี่คือเรื่องในศาล
- นอกศาลนายพลท่านนี้ก็เคยขับรถไปที่บ้านแม่ของตน แม่ถามว่าคุณเป็นใคร ชื่ออะไร เขาไม่ตอบ บอกว่าเป็นแฟนคลับ ถามบ้านแม่ราคาเท่าไหร่ เอาของมาให้แล้วถ่ายรูปแม่ตนเก็บไว้ ภรรยาของนายพลท่านนี้ก็เคยมาดูคอนเสิร์ตตน ปะปนในกรุ๊ป Open chat คอยทักไปถามแฟนคลับตนว่าวันไหนไปไหน
- จนกระทั่งวันหนึ่งที่คดีในศาลเดือดสุด ๆ ตนถึงได้ทักแอดมินไปว่าปิด Open chat ไปเลย จากนั้นก็ไม่ทำตารางงานเหมือนศิลปินท่านอื่นอีกเลยจนวันนี้ เพราะไม่รู้ครอบครัวนี้จะบุกมาเมื่อไร

ภาพจาก SarutaTa
- จำเลยท่านนี้ คนต้นเรื่องที่ปั่นทุกอย่าง ก็ติดตามตนมา 10 กว่าปี ไม่ใช่แค่สถานที่เล่น แต่ปั๊มน้ำมันที่เราแวะ สนามบินที่เราไป หน้าโรงแรมที่เราพัก หนักสุดคือมานั่งข้าง ๆ กันบนเครื่องบิน
- ระหว่างที่ทำการฟ้องร้อง ตนลองตรวจสอบก็พบว่ามีการล็อกที่นั่งไว้จริง ๆ จากเพื่อนของเขาสมัยมหาวิทยาลัย ที่เป็นกราวนด์ของสายการบินนั้น หลังจากนั้นตนขอโทษแฟนเพลงภาคเหนือ ใต้ อีสาน ขอไม่รับงานที่ต้องขึ้นเครื่องบินในประเทศอีกเลย
- ระหว่างฟ้องร้องกันตนก็ยังรับงานอยู่บ้าง โดยมีการ์ด 2 คนตระเวนคอยดูแล มีงานหนึ่งเมื่อเดือนธันวาคม มีผู้ชายคนหนึ่งมาดูแล้วชูมือถือขึ้นเป็นรูปจำเลย จากนั้นตนเลยขอไม่รับงานก่อนจนกว่าศาลจะคุ้มครองพวกเรา
- ที่น่ากลัวที่สุด ภรรยาตนถูกแฮก IG พอรู้ตัวก็เข้าไปเช็กดูว่ามีการทำอะไรบ้าง ก็พบว่าเขาเอา IG ภรรยาตนไปบล็อกคนมากมายที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต แล้วพอภรรยาตนกด unblock ทีละคน เข้าไปถามว่าเป็นใครมาจากไหน จนรู้ว่าทุกคนเกี่ยวข้องกับจำเลยคนนั้นหมดเลย รวมถึงสามีเก่าเขาด้วย
- ถึงจะน่ากลัวขนาดนั้น ภรรยาตนก็สู้ต่อ จนวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 เธอชนะคดีได้ ด้วยการรับสารภาพของจำเลยเอง เพราะยอมจำนนต่อหลักฐานในชั้นสืบพยาน มีการยกมือไหว้ขอโทษภรรยาตน บอกว่าขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา แล้วจะไม่ยุ่งกับภรรยาตนอีก
- จำเลยมีการขอลดราคาค่าชดใช้ เพราะบอกว่าเขาจ่ายไม่ไหว ภรรยาตนก็ลดให้เลย 10 เท่า ขออย่างเดียว ช่วยออกจากศาลแล้วพูดแบบนี้นะ ไปบอกคนที่คุณหลอกเป็นเครื่องมือว่าคุณโกหก เรื่องที่คุณว่าไม่จริง แล้วเลิกมายุ่งกับภรรยาตนได้แล้ว เขาก็ตกลง โดยเฉพาะกับแฟนคุณ เหมือนถูกกีดกันไม่ให้มาเห็นความจริง เหมือนรีบชิงสารภาพเพื่อไม่ให้เห็นว่าความจริงเป็นยังไง คือจำเลยอีกคนดูมีอาการเกลียดชังภรรยาตนมาก เหมือนจะฆ่าตายให้ได้ โดยที่ตนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่รู้จักกัน เขาก็บอกว่าได้
- หลังจบจากศาลมา 2 สัปดาห์ โดยแขวนด่าเหมือนเดิม โดยแก๊งเดิม ลงรูปคู่บอกอุบาทว์ พอเดือนตุลาคมว่าผัวเมียโรคจิต บ้านวิกลคนประหลาด ว่าง ๆ จูงมือไปหาจิตแพทย์บ้างนะ ก็เลยทักไปถามว่าคุณโกรธเกลียดผมเรื่องอะไร คุณทราบเรื่องในศาลไหม เขาบล็อก IG ตนไปเลย
- ตนติดต่อไปที่พยานฝั่งจำเลยที่เขาส่งชื่อจะมาขึ้นศาลในอีกวัน แต่จำเลยชิงสารภาพก่อน ถามเขาว่าจำเลยพูดอะไรกับคุณ เขาบอกว่าคดีจบแล้ว ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องมาแล้ว แล้วก็หายไปเลย
- ตนติดต่อไปที่วงดนตรีที่คนนั้นสังกัดอยู่ เขาก็ยังปิดประตูใส่ตนเหมือนเดิมว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จริง ๆ ตนคิดว่าคุณถูกลากมาเกี่ยวตั้งแต่เพื่อนของคุณหลอกให้คุณมาอัดเสียงแล้ว แล้วป้ายห้อยคอที่คุณให้เขาในทุก ๆ วันก็คือตั๋วฟรีที่ให้ 2 คนนี้มาคุกคามภรรยาตนซ้ำ ๆ จะว่าไม่เกี่ยวก็แล้วแต่จะมอง
- อยากบอกว่ามันไม่ใช่เรามโนอะไร ศาลมีคำสั่งแล้วว่าเราเจอกันไม่ได้ ถ้า 2 คนนั้นยังทำพฤติกรรมเช่นเดิม บุกมาหลังเวทีอีก มาเจอภรรยาตนอีก ศาลมีคำสั่งจำคุกทันที 15 วัน โดยไม่ต้องสืบสวนแล้วตั้งคดีใหม่ เมื่อวันนั้นมาถึงถ้าเขาใส่ป้ายห้อยคอชื่อวงคุณ คุณก็จะต้องเกี่ยว เราต่างหากที่ไม่อยากให้คุณเกี่ยว
- ตนติดต่อไปที่ผู้บริหารค่ายของวงดนตรีดังกล่าว เขาบอกว่าภรรยาตนไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นผู้ชนะในคดี เพราะเราสู้กันไม่ถึงชั้นที่มีคำพิพากษา แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเราไปศาลกันทำไม เมื่อคนที่ถูกกระทำมาเป็นโจทก์ฟ้อง แนบเอกสาร หลักฐาน 500 หน้า ฝั่งจำเลยมา 1 แผ่น เขียน 2 บรรทัด ชิงรับสารภาพ แล้วออกไปบอกคนอื่นว่าไม่ต้องห่วง เคลียร์ได้แล้ว คดีจบแล้ว แต่ภรรยาตนที่ถูกกระทำแล้วสู้มาตลอดเป็นปี ๆ ออกไปบอกไม่ได้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะโดนฟ้องมา ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด
- สถานการณ์ข้างนอกศาลแทบไม่ต่างจากก่อนไปศาลเลย เพิ่มเติมคือคำขู่ของนายพลท่านนั้น ตนจึงขอใช้เวทีแห่งนี้ประกาศบอกทุกคนว่าคนคนนั้น ที่ปั่นเรื่องราวเข้าใจผิด สร้างความเกลียดชังเกี่ยวกับภรรยาตน เขายอมแพ้ไปแล้วในศาล ตนไม่รู้ว่าเขาบอกคุณว่าอะไร แต่เขารับสารภาพในศาลไปแล้ว และสัญญาว่าจะออกไปแก้ให้ แล้วทุก ๆ วันที่ 30 ของเดือน เขาชำระผ่อนค่าเสียหายให้ภรรยาของตนอยู่
- เดือนที่แล้วเขาผ่อนช้าไป 26 นาที ภรรยาตนสามารถไปที่กรมบังคับคดีแล้วบอกให้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดในชีวิตของคนคนนี้ได้เลยในนาทีนี้เลย แต่เขาก็ยังไม่ทำ เขาให้โอกาสคุณเสมอ ดังนั้น คนที่จะโพสต์ด่าตนและภรรยาตน คนที่จะบุกรุกเข้ามาหาเรื่องภรรยาตนหลังเวที จงทบทวนตัวเองให้ดี เพราะเราจะไม่เจรจาอีกแล้ว
- ฝากไปถึงท่านนายพล ตนเข้าใจท่านดี นับถือท่านที่ท่านปกป้องครอบครัวของท่าน ตนก็ทำเช่นนั้นอยู่ แต่จะดีกว่านี้ไหม ถ้าหากว่าแทนที่จะรักลูกของท่านด้วยการมาขึ้นศาลแทน ไปบุกรุกบ้านแม่ตน ท่านรักลูกของท่านด้วยการดูแลเขาอยู่ในบ้าน ไม่ให้มาหาเรื่องภรรยาตน ไม่ให้ใส่ร้ายใส่ความภรรยาตนอีก คดีที่ท่านข่มขู่ตน ไว้ถ้าท่านยิงมาก็คงต้องสู้กันไป ถึงวันนั้นตนคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเปิดศึกในสื่อ แล้วทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นใคร
- สุดท้ายขอขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนตนและครอบครัวมาตลอด 20 ปี และขอให้ปรบมือให้ภรรยาตนที่พยายามสู้มาตลอดดีกว่า ตนดีใจที่ในที่สุดก็ได้ปกป้องนิว ตนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนหรือครอบครัวหลังจากวันนี้หรือเปล่า แต่ขอบอกไว้เลยว่า "ถ้ามีอะไรกับคนในครอบครัวผมหรือผม ชีวิตนี้ผมมีศัตรูคนเดียว"