

- ตอนนี้มีทำอะไรบ้าง ?
พิม : ตอนนี้ก็มีเล่นละครเป็นหลัก แล้วก็ออกบูธขายน้ำเลมอน ชานมนานาชาติ มีชาไทย ชาพม่า ชาอินเดีย ชาอู่หลง ชาเอิร์ลเกรย์ คือเราชอบคิดอยู่แล้ว บวกกับเคยขายชานมไต้หวันมาก่อนตั้งแต่ก่อนโควิด แล้วก็เลิกทำเพราะพิษโควิด แต่ตอนนี้ก็เลยมาพัฒนาเอาชาอันนั้น ชาอันนี้มามิกซ์กันก็เลยกลายเป็นชานมนานาชาติ ซึ่งมันก็อร่อยมาก
- ทำไมอยู่ ๆ ถึงผันตัวเองมาเป็นแม่ค้า ?
พิม : จุดเปลี่ยนก็คือ ก่อนหน้านี้งานละครมันค่อย ๆ ซาลง แล้วน้องสาวก็เจอปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เขามีหนี้สิน เราก็ต้องไปซัพพอร์ต และมันเป็นจังหวะที่เป็นปีชงพอดี มันก็เกิดเรื่องราว เราเป็นพรีเซ็นเตอร์มา 20 ปี อยู่ดี ๆ เศรษฐกิจมันเปลี่ยนเขาก็เลยยกเลิกสัญญา แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต้องซัพพอร์ตน้อง เรามีบูธฟรี บูธดาราเยอะ ก็เลยเอาผลิตภัณฑ์ของน้องมาขายด้วยกัน ช่วงนั้นหนักมาก แม่ก็เสียในปีนั้นด้วย ก็เลยจริงจังเริ่มคิดสูตรขึ้นมา
- วงการบันเทิงก็มีผลกระทบกับดาราหลายคน อย่างของพิมเองสาเหตุของงานละครน้อยลงมันเกี่ยวข้องไหม ?
พิม : เกี่ยวข้องมาก ๆ เมื่อก่อนพิมจะงานเยอะ เปิดไปช่องไหนก็เห็น แต่พอมาช่วงหลังอย่างที่รู้กัน ผู้จัดก็น้อยลง เนื่องจากว่าเศรษฐกิจ การซื้อโฆษณาก็น้อยลง ก็เลยหยุดผลิตไปเยอะ แต่ก็ยังดีที่เรายังมีงานที่เขาจ้างเราอยู่ แล้วก็มีเวลาว่างมากขึ้น
ก่อนหน้านี้พีคที่สุดต่อปีรับกี่เรื่อง ?
พิม : ประมาณ 10 เรื่องได้ คือบทพิมไม่ได้ดำเนินเรื่องทั้งหมด มันก็เลยพอมีเวลาที่จะแบ่งได้ แล้วก็โชคดีไม่ค่อยมีปัญหาแบบคิวชนกัน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นอยู่หลายปี จนมาช่วง 2 ปีหลังนี่ที่มันซา ๆ ลง อย่างน่าตกใจ เพื่อนบางคนเรียกว่านอนอยู่บ้านแล้ว ไม่มีงานจ้าง
- แล้วอย่างปีนี้มีละครกี่เรื่อง ?
พิม : ตอนนี้มีอยู่ 2 เรื่องค่ะ กำลังถ่ายทำอยู่ 7 วัน ก็ต้องขอบคุณความโชคดีของเราที่เรายังมีงานอยู่ ช่วงเวลาที่เราว่างมาก ๆ ถามว่าเรามีภาระที่ต้องคิดมากไหม มันก็ไม่ได้มีเหมือนคนอื่น เพราะว่าเราไม่ได้มีหนี้สิน แต่ว่าเวลาที่เราอยู่บ้านว่าง ๆ มันรู้สึกว่าตัวเราไม่มีค่า จนเรามาคิดว่าเราจะเอาเวลาตรงนี้ไปทำอะไรให้มีค่ามากขึ้น ก็เลยได้คิดค้นสูตรที่เราชอบ

- พอเป็นดาราไปขายของ ก็ต้องมีคนเมาท์ว่าตกอับ กับข่าวแบบนี้เวลาเราได้เห็นเรารู้สึกยังไงบ้าง ?
พิม : พิมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย คิดว่าบางคนก็อาจจะอยากรู้จริง ๆ ว่าทำไมดาราถึงมาขายของ เพราะในมุมความคิดของสมัยก่อนดาราเป็นอะไรที่อยู่สูง สวย ๆ รวยเป็นไฮโซ การมาทำอาชีพแม่ค้าเขาจะมองว่าทำไมคนนี้ตกลงมา ถามว่าเรื่องเงินไม่ควรเป็นตัววัดว่าทำอาชีพอะไร หรือไม่ควรทำอาชีพอะไร ทุกคนมีอาชีพที่สุจริต แล้วรักที่จะทำ พิมว่าไม่ผิดที่จะทำ
- เคยคิดจะผันตัวเองจากวงการ แล้วไปทำธุรกิจเต็มตัว ไปลุยกับธุรกิจชาเต็มตัวไหม ?
พิม : พิมว่าพิมเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง มันเป็นอาชีพที่ทุกครั้งที่มากองมันมีความสุขมาก ๆ แต่ถ้าวันหนึ่งที่มันดรอปลงแล้ว คิดว่าต้องมีอาชีพ 2-3 สำรองไว้ เราด้วยความที่เราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการเงินสักเท่าไหร่ ก็เอาที่เราแฮปปี้ และทำแล้วมีความสุข ตอนนี้มันมีเวลาว่างเยอะมากที่เราจะคิดว่าเราจะทำอะไรต่อไปที่มันมีความสุข แล้วก็สามารถหล่อเลี้ยงตัวเองได้
- นอกจากเป็นแม่ค้าขายชาแล้ว ตอนนี้ยังเป็นแม่ค้าอสังหาด้วย ล่าสุดประกาศขายคอนโดตัวเองก่อนเลยที่เคยอยู่ ?
พิม : คือพิมซื้อคอนโดนานแล้ว อยู่มา 5 ปีแล้ว ย้ายที่อยู่ มาซื้อที่ใหม่ ที่เก่าก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำอะไรเพราะไม่มีคนอยู่ ปล่อยเช่าก็กลัวโทรมก็เลยขายดีกว่า เผื่อเอาเงินก้อนนั้นมาทำอย่างอื่นได้ ไปลงทุนในคอนโดที่อื่นได้
- พอประกาศขายคอนโดก็โดนอีก ติดขัดอะไรหรือเปล่าทำไมต้องรีบขาย ?
พิม : ก็ยังโชคดีที่พิมไม่ติดขัดแบบนั้น เรียกว่าโตขึ้นมาลำบากมาก แทบไม่มีบ้านให้อยู่ เพราะว่าพ่อทำธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็โดนยึดทุกอย่าง เราก็ต้องดูแลน้อง ดูแลทุกคนในครอบครัว ตั้งแต่ยังไม่จบมหาลัย ก็เลยเป็นสาวแกร่ง เป็นนักสู้ ไม่อยากมีหนี้ พยายามโปะทุกอย่าง จนตอนนี้ที่ใหม่ก็โปะแล้ว ที่เก่าก็ไม่มีหนี้ เลยรู้สึกว่าความไม่มีหนี้มันเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดแล้ว
- เห็นบอกว่าพิมกลัวการเป็นหนี้มาก เหมือนเป็นแพนิกถ้าต้องซื้อสิ่งใดที่ต้องเป็นหนี้ คือกังวลมาก ?
พิม : ใช่พิมอาจจะเว่อร์ไปนิดหนึ่ง สมมติถ้าพิมจะซื้อบ้านสักหนึ่งหลังราคา 5 พัน พิมจำเป็นต้องมีเงินก่อน งานในวงการมันไม่แน่นอน ถ้าเกิดวันหนึ่งเรามีเงินไม่พอที่จะใช้หนี้ กลัวจะโดนยึด
- ไม่ว่าพิมจะซื้ออะไรสักอย่าง ต้องมีเงินเต็มก้อนก่อน ถึงแม้จะเป็นการผ่อนก็ตามถูกไหม ?
พิม : ใช่ ถ้าเรามีไม่พอเราก็ไม่ต้องรีบซื้อ
- แต่มันไม่ถึงกับเครียดใช่ไหม ที่เราต้องหาให้ถึงก้อนนี้ก่อนแล้วเราค่อยใช้ได้ ?
พิม : ไม่รีบเลยค่ะ ไม่เครียด เพราะว่าเราสะสมมาเรื่อย ๆ จนมาจุดหนึ่งที่เราอยากขยาย ซึ่งมันก็พร้อมที่จะมีตั้งแต่ตอนนั้น แต่ที่เราหนักก็คือต้องดูแลทุกคน

- เห็นว่าปีที่แล้วมีปัญหาเรื่องสุขภาพที่มันเกิดขึ้น ?
พิม : ใช่ ๆ เกี่ยวกับมดลูก คือมดลูกมันมีซีสต์อยู่นานแล้ว คุณหมอบอกว่าต้องกินยาควบคุม ก็เป็นฮอร์โมนอะไรแบบนี้ เพื่อไม่ให้มันโตขึ้น แล้วทีนี้มันอ้วน พอออกกล้องแล้วมันทำงานยาก ก็เลยขอคุณหมอหยุดยา แล้วไปเช็กอัปทุก 6 เดือน แต่พอผ่านไป 6 เดือน มันโตไวมาก โตไวขนาดแบบมดลูกมันบิดตัวจนหมอบอกตัดทิ้งเถอะ คือมันปวดท้องหนักทุกครั้ง แต่เวลาที่เราเทกฮอร์โมนมันจะไม่มีประจำเดือน มันเลยไม่มีการปวดท้อง คุณหมอเลยส่งไป MRI เพราะตรวจเลือดแล้วมันมีเชื้อมะเร็งอยู่นิดหน่อย ซึ่งมันก็เสี่ยงมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นคอนเฟิร์มว่าเป็นมะเร็ง แค่พบว่ามันมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้
- ณ ปัจจุบันตัดออกไปแล้ว ?
พิม : ตัดไปแล้วทั้งยวง ยกเว้นรังไข่ไว้ปล่อยฮอร์โมน เราจะได้ไม่ต้องเทกฮอร์โมน ก็สบายมากเลย
- ทุกวันนี้ทำพินัยกรรมแล้ว ?
พิม : ใช่ ทำสักพักแล้ว พิมต้องวางแผนว่าสิ่งที่เรามี ที่เราสร้างไว้ใครจะได้บ้าง มีน้องสาวต้องได้ละ แฟนต้องได้ละถ้าเราเป็นอะไรไป แล้วน้องแฟนคลับที่รักกัน ดูแลเราเนี่ยก็ต้องแบ่งให้เขา เพราะเราอยู่กันเหมือนพี่น้อง
- ทำไมเราต้องวางแผน มีอะไรที่เรากังวลใจและยังไม่ได้พูดออกมาบ้างไหม ?
พิม : ถ้าพิมไม่วางแผนทุกอย่างก็จะเป็นชื่อคนใดคนหนึ่ง ตอนนั้นแม่ยังไม่เสีย แล้วถ้าแม่เป็นอะไรไป มันต้องกระจายไปเป็นของใครบ้าง แล้วน้องจะเหลืออะไร อันดับแรก ๆ เป็นห่วงน้องมากที่สุด เพราะว่าทุกคนเขาเอาตัวรอดได้ อย่างแฟนไม่ต้องห่วงเขาอยู่แล้ว เพราะเขามีต้นทุนดี ก็มีน้องสาวนี่แหละ
ที่น่ารักที่สุดคือมีชื่อแฟนคลับด้วย ?
พิม : เพราะช่วงที่ผ่านมาเขาอยู่กับเราตลอดตอนที่เราไม่มีแฟน ไปไหนไปกัน ดูแลให้ใจเต็มร้อย เมื่อก่อนคนเดียว แต่ตอนนี้เริ่มมากขึ้นแล้ว เดี๋ยวเขียนใหม่ คือพิมเป็นคนที่ใครอยู่ข้างแล้วเห็นเขาลำบาก ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อยากสร้างอาชีพให้เขาได้มีเงินทุน เพราะมันสำคัญมาก คนขยันถ้ามันไม่มีทุนเขาก็ไปต่อไม่ได้
- สนิทขนาดไหนกับแฟนคลับที่เราถึงขั้นแบ่งพินัยกรรมให้ ?
พิม : เรียกว่าอยู่กับเราตลอด เวลาเราเรียกใช้อะไรเขายินดีด้วยซ้ำ ไม่อิดออดด้วย



