

- ครอบครัวนี้อยู่มาวันหนึ่งตัดสินใจย้ายจากเมืองไทยไปอยู่อเมริกา เกิดเหตุการณ์อะไรถึงไปทั้งครอบครัว ?
เจจินตัย : เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เรื่องแรกคือโควิด
บี : ตอนนั้นลูกเรียนออนไลน์อย่างเดียวอยู่บ้านมากกว่า 6 เดือน มันนานจังเลยสงสารลูก
เจจินตัย : พออยู่ในออนไลน์เขาไม่มีสมาธิที่จะเรียนออนไลน์ เพื่อนที่อยู่อเมริกาก็เลยแนะนำว่าไม่ลองให้มาเรียนที่อเมริกา เพราะที่อเมริกามันผ่านช่วงพีคของโควิดมาแล้ว เด็ก ๆ ที่เรียนที่นั่นสามารถไปโรงเรียนได้แล้ว แต่ที่ไทยกำลังพีคเลย เราก็คุยกันว่าเราจะไปลงทุนทำอะไรได้บ้าง เราเคยทำร้านอาหารอยู่แล้วงั้นเราไปลงทุนที่นั่นเราสามารถใช้วีซ่า E-2 ลูกก็จะไปเรียนที่นั่นได้ ก็เลยตัดสินใจไป
- เริ่มแรกเลยคือการศึกษาของพลอยเจก่อน ?
เจจินตัย : ใช่ เขาไม่สามารถที่จะอยู่กับจอได้ เขาไม่มีสมาธิที่จะเรียนออนไลน์ได้ จากเรียนออนไลน์เป็นออกนอกบ้านไม่ได้แล้ว ห้างปิด สวนสาธารณะปิด เราไม่มีกิจกรรมอะไร แล้วงานก็ถูกระงับไปเรื่อย ๆ
- ตอนนั้นอยากไปไหม ?
พลอยเจ : อยากไปค่ะ หนูอยากไปเจอเพื่อนหนูแล้วก็อยากขึ้นเครื่องบิน
- ณ วันที่จะไปกะว่ารันยาวแล้ว ?
บี : ใช่ค่ะ ต้องยาวเลย เพราะเหมือนเราทิ้งทุกอย่างที่นี่แล้ว เราตัดสินใจแล้วว่าเราทิ้งทุกอย่างที่นี่เพื่อลูกได้ไปเรียนที่นู่น เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่มาก
- ณ ตอนที่เราจะไปเราฝันว่าจะเป็นยังไง แล้วพอไปถึงมันเป็นอย่างที่เราฝันไหม ?
บี : คือก่อนที่เราจะไปอยู่จริง ๆ เราก็ลองไปอยู่สักเดือนหนึ่ง อารมณ์เหมือนไปเที่ยวไปลองอยู่
เจเจินตัย : ไปเซอร์เวย์ก่อนแล้วก็ไปดูว่าเราจะอยู่อย่างนี้นะ โรงเรียนจะเป็นอย่างนี้ แต่เราไปสั้นประมาณเดือนหนึ่ง
บี : ตอนไปเซอร์เวย์เราอยู่ได้นะ คือยังไงมันก็ไม่เหมือนอยู่จริงเนอะ แต่เราไม่รู้ว่ายังไง แต่พอเราไปอยู่จริงมันไม่เหมือนเลย มันแย่มาก ๆ นะ ความที่เราต้องปรับตัวหลาย ๆ อย่าง ทั้งตัวเราเองด้วย ทั้งลูกด้วย สิ่งแวดล้อม สังคม

- ตอนไปตอนแรกบ้านยังไม่มี ต้องไปแชร์เขาอยู่ด้วย ?
เจเจินตัย : ใช่ แต่ว่าแชร์ในองค์กรเพราะว่าร้านอาหารจะมีหลายสาขา เรามีอยู่สองสาขาที่เราไปลงทุนใหม่ ตรงนั้นเป็นสำนักงานใหญ่แล้วเราก็แชร์กับพาร์ตเนอร์ก็คือไปอยู่รวมก่อน ซื้อบ้านที่โน่นไม่ง่ายมันต้องมีพอยต์ มีเครดิตสกอร์ ไม่สามารถที่จะเอาเงินสดไปซื้อ ไม่ได้
- แล้วที่ปรับตัวหนักสุดคือพลอยเจ ?
พลอยเจ : เขาบอกว่าเป็นเด็กไทยเขาก็เลยไม่เล่นด้วย เริ่มมาผลักหนู แล้วก็เหมือนมาแกล้ง หนูก็อยู่เฉย ๆ
บี : เหมือนบูลลี่เอเชีย
- คุณพ่อคุณแม่ก็ไปโรงเรียนไปคุยกับคุณครูแต่ก็ไม่เกิดผล ?
เจเจินตัย : เขาก็รับเรื่องไว้ ก็เป็นการติดต่อยาก จะไปเจอครูก็ต้องมีอีเมลเป็นการนัดหมายล่วงหน้า ไม่สามารถจะเดินไปแบบที่ไทยว่าคุณครูครับเรามีปัญหาอันนี้แล้วเคลียร์กันได้เลย
- โดนแกล้งอะไรบ้างพลอยเจ ?
พลอยเจ : บางทีเขาก็เอากระดาษมาแปะกระเป๋าหนู เริ่มทำเกินไป แล้วหนูก็ร้องไห้หนูก็ไม่ชอบ เป็นอยู่ประมาณเดือนหนึ่ง
- พ่อแม่ทำยังไง ?
เจเจินตัย : ได้แต่ไปเจอครู อีเมลนัดเจอ พอนัดเจอก็บอกว่ามีปัญหาแบบนี้เขาก็บอกว่าจะดูให้ เขาบอกว่าแรกอย่างนี้แหละ เวลาเด็กทุกคนมาก็ปรับตัวแบบนี้แหละอาจจะยังไม่ชินกับที่นี่
- ชีวิตคู่ก็ยากเหลือเกิน ไม่พูดกันเกือบครึ่งปี ?
เจเจินตัย : กดดันหลาย ๆ อย่าง มันเหมือนอยู่กันแค่ 3 คน อยู่ที่นี่ยังช่วยเหลือกันได้ มีเพื่อนผม เราเครียดเรื่องลูก เรื่องงาน เรื่องวัฒนธรรม เรื่องสภาพแวดล้อมที่มันเปลี่ยนหมดเลย มันก็เลยตึงกันไปแล้วก็ไม่ได้คุย
- อยู่ ๆ ก็ตื่นเช้ามาวันนี้ไม่คุยกันดีกว่า ก็ไม่คุยกันยาว 6 เดือน ?
เจเจินตัย : เรารู้อยู่แล้วว่ามันมีอะไรที่มันกดดันเราอยู่บ้าง มันหลาย ๆ อย่างมาก ที่มันรู้สึกว่าไม่คุยกันดีกว่า
- เป็นเพราะความเครียดไหมก่อนที่เราจะไปเราวาดฝันคิดว่าจะเป็นแบบหนึ่ง ?
บี : ใช่ค่ะ พอไปถึงแล้วมันไม่เหมือนเลย
เจเจินตัย : ชีวิตจริงมันคนละเรื่องหมดเลย มันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดพลิกแพลง มันเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องมันเกิดขึ้น แต่ก็เป็นประสบการณ์
- 6 เดือนพูดกันให้น้อยที่สุด ทำยังไง ?
เจเจินตัย : จะเหลือแค่การสนทนาเกี่ยวกับลูก ไม่ใช่ไม่พูดกันเลย
บี : เหลือแค่สนทนาว่าใครจะดูลูกยังไง ใครจะไปรับไปส่ง เพราะว่าต้องสลับกันตลอดเพราะความที่ทำงานหนักกันทั้งคู่อยู่ที่โน่นต้องช่วยกันทำงาน ซื้ออะไร ลูกกินข้าวอะไร แค่นั้น

- ก็เกือบจะพังเหมือนกันนะ ?
เจจินตัย : เกือบครับ ผมไม่เคยร้าวรานนานขนาดนั้นเลย
- พลอยเจรู้ไหมว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่คุยกัน ?
พลอยเจ : รู้ค่ะ
- พลอยเจทำยังไงให้คุณพ่อคุณแม่คุยกัน ?
พลอยเจ : หนูก็เอามือพ่อกับมือแม่มาจับกันค่ะ หนูบอกว่าให้หม่ามี้บอกไปเลิฟยูแดดดี๊ ให้แดดดี๊บอกไอเลิฟยูหม่ามี้
บี : เขาจะคอยมาถามว่าหม่ามี้รักแดดดี๊ไหม เขาจะพยายามเป็นกาวตลอด หรือบางทีเจอผู้ชาย หม่ามี้คนนี้หล่อไหม เราก็บอกว่าหล่อ เขาก็จะโกรธเรามาก หล่อได้ยังไงหม่ามี้ แดดดี๊หล่อกว่าตั้งเยอะ เขาก็จะเป็นกาวใจอยากให้รักกัน
- พลอยเจรู้ได้ยังไงว่าทำแบบนี้แล้วหม่ามี้กับแดดดี๊จะดีกัน ?
พลอยเจ : หนูทำได้ที่หนูจะทำได้ที่สุดเพื่อให้หม่ามี้กับแดดดี๊มารักกันค่ะ
เจเจินตัย : เราก็เลยทบทวนตัวเองใหม่เพราะว่าผมกับบีก็แยกแยะแหละ สุดท้ายก็ต้องประคองเพราะว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดคือลูก เราก็ลดกำแพงลง เข้าไปกอดไม่ต้องพูดอะไรเลย ทำตัวใหม่ ไม่มีมาคุยกันนะไม่ต้องความรู้สึกมันชัดมาก
- การกลับมาครั้งนี้มันทำให้เรารู้สึกว่ารักและแน่นแฟ้นกว่าเดิมไหม ?
เจเจินตัย : รักครับ รักเลยครับ เมื่อไหร่มันก็มีแค่เรา 3 คนที่ไปเจอประสบการณ์ครั้งนี้ ไม่มีใครรู้ดีเท่าเราสองคน ไม่รู้จะคุยกับใครแล้วเข้าใจเท่ากับเราสองคน มันแน่นแฟ้น เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลย เมื่อก่อนจะเป็นคนที่อะไรก็ได้ง่าย ๆ ให้อภัยได้ ตอนนี้ก็คือไม่ใช่ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ มันทำให้เราถูกต้องในทุกเรื่องอย่าไปอ่อนแอจนเกินไป มันไม่มีจริงในความหวังดีที่เราคิด
บี : มันสอนอะไรเราเยอะมาก เช่น ตอนบีไปเราเป็นผู้หญิงเนอะ เรารู้สึกเจ็บปวดมากเลย เหมือนเราย้ายครอบครัวมา เอาลูกมา ต้องประคองลูก ตัวเองก็ร้าวรานเหมือนกัน ในขณะที่ลูกเราต้องทำเหมือนไม่เป็นอะไร เขาก็รู้ยังไงก็ปิดเขาไม่มิดเพราะเขาโตแล้ว มันเป็นความเจ็บปวดที่ทรมาน ทั้งที่ตอนอยู่ไทยเราไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ครอบครัวเราปกติมาก มันคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง สุดท้ายผ่านมาแล้วมันทำให้เราเรียนรู้นะ สุดท้ายแล้วเป็นครอบครัวกันเราต้องฟังกันเยอะ ๆ เราต้องคุยกัน เราจะเห็นคนอื่น มองคนอื่น หรือแม้กระทั่งอะไรก็แล้วแต่อย่างน้อยเขาก็เรียนรู้ว่าครอบครัวสำคัญที่สุด

- 2 ปี ผ่านอุปสรรคเยอะแยะมากมาย 2 ปีที่อยู่ โมเมนต์ที่กลับไทยดีกว่า มีไหม ?
เจเจินตัย : คิดครับ แต่รู้สึกว่ากำลังเรียนรู้ กำลังทำทุกอย่างเองเป็นแล้ว กำลังรู้โลเคชั่นต่าง ๆ เราก็บู๊กันหมดไปทำใบขับขี่เอง ทำไอดีเปิดบัญชี ทุกอย่างที่เป็นธุรกรรมเราพยายามที่จะศึกษาเองเพื่อที่ให้เข้าใจได้ไว ตอนที่ไม่กลับมาเพราะรู้สึกว่าถ้ากลับมามันจะขาดช่วง เราก็เลยลากเต็มสองปีโดยที่ไม่กลับไทยเลย เราเข้าใจระบบการใช้ชีวิตแล้ว ได้เวลากลับมาซัมเมอร์แล้ว เขาปิดเทอมใหญ่ก็กลับมาหาแม่กัน
- จะกลับมาอยู่เลยหรือจะกลับมาแค่ซัมเมอร์เฉย ๆ ?
เจเจินตัย : ตอนแรกตั้งใจมาซัมเมอร์เฉย ๆ สุดท้ายแม่ผมได้ยินจากน้องมาเรื่อย ๆ ว่าไม่สบาย บีก็มีแม่คนเดียว เราก็มาตัดสินใจกันว่าเอายังไงดี ถ้าไปรอบนี้อย่างที่บอกมันต้องไปยาว เราเป็นพาร์ตเนอร์กับหุ้นส่วนอื่น ๆ ตั้งใจว่าเราอยากจะมีร้านมีธุรกิจของเราแบบ 100% ซึ่งขั้นต่ำในการอยู่ต้องมี 5 ปี ต้องตัดสินใจคิดว่าเอายังไงดี พอมาถามพลอยเจ พลอยเจไม่อยากไปแล้วอยากอยู่นี่ งั้นก็จบเลย
บี : พอกลับมาเจอครอบครัว เจอคุณยาย คุณย่า เขาคงอบอุ่น เขาคงมีความสุข มีเพื่อนที่นี่ ไม่อยากกลับไปแล้ว
- พลอยเจเพราะอะไรถึงไม่อยากกลับไปที่โน่น ?
พลอยเจ : หนูไม่อยากโดนเพื่อนแกล้งค่ะ
- เลยตัดสินใจบินกลับอเมริกาแล้วเคลียร์ทุกอย่าง ?
เจเจินตัย : ไม่ได้กลับเลย เพื่อนเขาส่งของมาชิปปิ้งมา อลังการเยอะแยะไปหมด



