
ภาพจาก Instagram annmitchai_official
ข่าวคราวเงียบหายไปพักใหญ่ สำหรับนางเอกลิเกดัง แอน มิตรชัย ที่ก่อนหน้านี้ได้โกอินเตอร์เข้าสู่วงการ Bollywood และมีผลงานในวงการบันเทิงที่อินเดีย ก่อนจะมีข่าวเกี่ยวกับอาการป่วย และห่างหายไปจากหน้าสื่อ จนหลายคนบ่นคิดถึง เป็นห่วง และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ล่าสุด แอน มิตรชัย ได้มาเปิดใจในรายการ เจาะใจ วันที่ 28 มิถุนายน 2568 ทางช่อง 9 กด 30 เปิดใจถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา กับเส้นทางการทำงานใน Bollywood และอาการป่วยหนักด้วยโรค SLE ของเจ้าตัว จนต้องหยุดงานทุกอย่าง โดยเล่าว่า ช่วงก่อนโควิด เป็นตอนเปิดตัวอัลบั้มที่มุมไบ ตนมีอาการภูมิแพ้เรื้อรัง ต้องใช้สเตียรอยด์ เพื่อช่วยให้มีเสียง ช่วงนั้นทั้งกินทั้งฉีด เพราะมีงานอะไรหลายอย่าง
ทาง ผจก. ก็จะเห็นอาการของแอน ที่มือบวม เท้าบวม หายใจไม่ออก ตาแห้ง บางทีคอนแทคเลนส์หลุดออกมาเลย เป็นอาการที่เราสะสมมาตลอด ร่างกายมันกำลังส่งสัญญาณบอกเราตลอดว่าพักบ้างนะ เราก็ไม่ได้พัก แล้วยังไปกระตุ้นมันด้วยสเตียรอยด์อีก มันก็เลยระเบิด ค่อนข้างจะโคม่า ผจก. เห็นสภาพก็บอกว่าคิดว่าทำงานไม่ได้ กลับไปก่อนไหม แล้วรักษาตัวก่อน

ภาพจาก JSL Global Media
ช่วงที่ใช้ยาช่วย ประมาณ 3 ปี ก่อนจะหนัก ด้วยบางงานเขาจองไว้ข้ามปี บางรายการบอก ผจก. ว่าขอเลื่อนได้ไหม เพราะไม่มีเสียงเลย พอเลื่อนจนไม่ไหวแล้ว ก็ต้องไปออก แบบขอใช้สเตียรอยด์ เพราะไม่มีเสียงเลย พอใช้บ่อย ๆ ก็มีเอฟเฟกต์ จากนั้นร่างกายเริ่มไม่เหมือนเดิม ภูมิก็ต่ำลงเรื่อย ๆ เริ่มรู้ว่าเป็นภูมิแพ้เรื้อรัง มันเรื้อรังมานานแล้ว
หมอก็พยายามบอกเรา แต่แอนก็คิดว่าทำไปก่อน เพราะตอนนั้นมันเป็นโอกาสที่ไม่ใช่ว่ามันจะผ่านมาในชีวิตเราได้บ่อย ๆ เพราะว่าอัลบั้มก็เพิ่งเปิด งานคอนเสิร์ตก็ล็อกไว้แล้ว จะต้องไปงานให้เขา 10 งาน คือมันถูกบุ๊กไว้ทุกอย่างหมดแล้ว แล้วมันเหมือนฟ้าถล่มลงมาต่อหน้าเรา ต้องแคนเซิลงาน คือมันกำลังเป็นไปได้ด้วยดี แต่ว่าร่างกายเรามันไม่ไปกับเราแล้ว ถึงใจเราจะสู้แต่ว่าร่างกายมันไม่สู้ด้วย มันพยายามบอกเราหลายครั้งว่าพักก่อน แต่ก็ฝืนมันจนวันหนึ่งมันทำให้ไม่ได้
ที่ผ่านมาเราก็ทำงานเต็มที่มาตลอด ตั้งแต่อาชีพลิเกตั้งแต่ 5 ขวบ แสดงลิเกทุกวัน แต่เราไม่เคยรู้สึกเป็นทุกข์ เพราะเรารักในอาชีพของเรา เลยกลายเป็นความรักที่เราทั้งรักทั้งทำลายตัวเอง ด้วยการที่เราไม่ได้พักเลย มีกำลังเท่าไรใส่เท่านั้น ตอนไปอินเดียก็ทรหดเหลือเกิน มันเลยมีความเครียดที่เราต้องไปบุกเบิก กดดัน แต่เราไม่รู้ตัว เพราะตอนนั้นเราต้องไปแข่งกับเขา

ภาพจาก JSL Global Media
สุดท้ายเรามารักษาที่ไทย คุณหมอสั่งเลยว่าต้องหยุดใช้เสียง 1 ปี เขาให้ดูกล้องเลย เส้นเสียงมันใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าไม่หยุดจะต้องผ่ากล่องเสียง ซึ่งมันก็จะทำให้ไม่สามารถกลับมาใช้เสียงแบบเดิมได้อีกเลย ก็ต้องหยุด ต้องยอม เพราะว่าทำอะไรไม่ได้แล้วในตอนนั้น ต้องพัก
ส่วนอาการอื่น ๆ มันมาหมดเลย วันดีคืนดีจะเป็นผื่นขึ้น นอนไม่ได้ หายใจไม่ออก กรดไหลย้อน มันจะเกิดขึ้นทุกครั้งเวลาที่เราเครียด แล้วกรดไหลย้อนขึ้นมากัดกล่องเสียง ไมเกรนก็กำเริบ พอแพทย์บอกให้พัก ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโลกทลายต่อหน้าเรา ฉันก็คงไม่ได้ทำงาน คงต้องพักจริง ๆ แล้วมันมาแย่ตอนพัก เพราะสภาพจิตใจเราที่พอทำงานไม่ได้ มันเสียดาย มันเสียใจตลอด รู้สึกว่าเราไร้ค่า ทำให้แย่ลงไปอีก จากนั้นน้ำหนักก็ขึ้นเอา ๆ ไปแตะ 80 เรียบร้อย
เราเคยอยู่กับธรรมะมาตลอด พอมานึกพิจารณาแล้ว ทำไมเราพักมันไม่ได้ พอมาพิจารณาว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่ผ่านไปไม่ได้ก็คือ ใจ ก็รักษาตัวมาเกือบ 4 ปี มีไปรักษาตัวที่บ้านแฟนในตอนนั้นที่เยอรมนี ไปพัก น้ำหนักทำยังไงก็ไม่ลง ไม่ให้ใครเห็นเลย ไม่อยากเห็นตัวเองในกระจกด้วย คือมันทั้งอ้วนทั้งบวม

ภาพจาก JSL Global Media
แต่โชคดีที่ได้รู้จักกับกัลยาณมิตรที่ดี คือคุณแพร และคุณอ้อย ที่เป็น SLE เหมือนกัน แล้วก็คัดสรรทุกอย่างในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการกิน ออกกำลังกาย จากนั้นมาไม่ได้ออกทีวี แต่เรามีโอกาสได้ไปทำสารคดีที่พุทธคยาด้วยกัน ปรึกษาปัญหาธรรมะ ทำบุญ สุขภาพ แล้วก็ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำรับประทานอาหาร และเริ่มเข้าสู่การดูแลสุขภาพอย่างเต็มสูบ ใช้ธรรมชาติบำบัด มีการทำ Water Fasting เดือนละ 3 วัน แต่ถ้าจะทำต้องปรึกษาแพทย์ก่อน
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไปจุดธูปบอกครูบาอาจารย์ บนบานศาลกล่าวบอกว่า ถ้าหนูรอดไปได้ หนูก็จะอุทิศชีวิตให้กับพระธรรม ทำงานถวายชีวิตให้กับพระพุทธเจ้า งั้นหนูก็ไม่ทำเบื้องหน้าแล้ว เดี๋ยวหนูไปทำเบื้องหลังแทน จากนั้นพอปล่อยวาง น้ำหนักมันก็ลงเรื่อย ๆ ลงมา 10 กว่า กก. ในปีนั้น ทั้งหมดก็ประมาณ 4-5 ปี คือถ้าทำงานแล้วชีวิตเราต้องหาไม่ เราก็อาจจะต้องหยุด เพราะบางสิ่งบางอย่างมันอาจจะไม่ได้มาพร้อมกัน แต่แอนก็คิดว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิต เราจะทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์กว่าเดิมก็ยังได้
วันนี้เป็นคนใหม่ที่ระมัดระวังเรื่องสุขภาพมาก ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่ไม่ประมาท มันประมาทไม่ได้เลย เพราะว่าโรคนี้มันไม่ได้ 100% มันไม่ได้หายขาด เพียงแต่มันคุมให้สงบไว้ได้ ด้วยการดูแลตัวเอง ด้วยการเจริญภาวนา