กว่าจะมีทุกสิ่งทุกวันนี้ เราต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง
ญดา : ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว คุณพ่อคุณแม่แยกทางกันตั้งแต่เราอายุสามขวบ ตอนนั้นเริ่มจำความได้แล้ว แต่เราก็ยังไม่เข้าใจเพราะด้วยความที่เราเป็นเด็ก เราแค่รับรู้อย่างเดียวว่าเราต้องย้ายโรงเรียน ย้ายที่อยู่อาศัย เราก็ไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มันคืออะไร เท่าที่จำความได้ เราต้องผ่านความยากลำบากพอสมควร
แม่พลอย : ก็จากที่เค้าอยู่โรงเรียนดี ๆ ครอบครัวคุณพ่อก็ดูแล ทำให้เขาไม่ลำบาก แต่ทั้งหมดมันคือเป็นเรื่องส่วนตัวและการตัดสินใจของผู้ใหญ่ เราก็เลยตัดสินใจพาเค้าไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งตอนนั้นเราได้เลี้ยงลูกเรา ใช้คำว่าลำบากได้เปลืองมาก ลำบากมาก และเนื่องจากเราเลี้ยงคนเดียว เราต้องเข้มงวดมาก ซึ่งถ้าเค้าโตแล้วไม่ดี ต่อไปเค้าจะเป็นยังไง พยามกดดันตัวเองและกดดันเขาทั้งสองคน เข้มงวดถึงขั้นไม่ให้ไปเล่นบ้านใคร แล้วถ้าจะไปเล่นบ้านเพื่อนจริง ๆ จะมีกฎ 3 ข้อ หนึ่งห้ามเอาเรื่องในบ้านไปเล่าให้ใคร ๆ ฟัง ห้ามเอาเรื่องนอกบ้านมาเล่าให้แม่ฟัง และห้ามไปหยิบของเขา ก่อนที่จะออกไปเล่นต้องยืนท่องให้ครบ 3 ข้อนี้ก่อน แต่ตอนหลังเค้าก็ไม่ไปแล้ว เพราะขี้เกียจท่อง (หัวเราะ)
ญดา : ดีมากเลยตั้งแต่ที่แม่สอนในวันนั้น มันทำให้เราเป็นเราในวันนี้ ทำให้เรามีระเบียบวินัย
จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการ ?
แม่พลอย : หลังจากที่เราแยกทางกับคุณพ่อเค้าไปแล้ว และอาม่าหรือคุณย่าของญดา เค้าเริ่มป่วย ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม อยากให้น้องมาเยี่ยม ก็เลยให้มาเยี่ยม เผอิญเจอคนที่อยู่ในซอยบ้านเดียวกับอาม่า เค้าเป็นเอ็กซ์ตร้า เค้าก็บอกว่าน้องหน้าตาน่ารัก พาไปโมเดลลิ่งถ่ายรูปไว้ จากนั้นเราก็พาลูกเรามาแคส ตีรถจากสุพรรณมากรุงเทพ
ญดา : แคสไปประมาณ 13 งาน แล้วถ้ามันไม่มีประโยคนี้ออกมาจากคุณแม่ มันอาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้นจะได้งาน
แม่พลอย : อย่างครั้งแรกเราเข้าใจว่ามาแคสแล้วได้เลย แล้วพอมันไม่ได้ มันทำให้เราเฟล และในวันที่เราไปแคส ก็เจอเด็กที่เค้าเคยออกทีวีแล้ว แล้วเราก็เลยมองหน้าลูก เรารู้ว่าลูกเราอยากทำ แต่ก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกเขา เรามีคำพูดอยู่ในใจ แต่เราไม่อยากบอกลูก เพราะการที่เข้ามาอยู่ในวงการนี้ ทุกอย่างมันต้องมีต้นทุน ทุกอย่างมันมีความพยายาม ซึ่งลูกเรามี แต่พอมันมีองค์ประกอบต่าง ๆ อีกหลายอย่างหรือศักยภาพทางร่างกายก็เป็นรอง
ญดา : 13 งานติดต่อกัน มันก็ผิดหวัง ไม่ได้ซักงาน แต่หนูมีเทคนิค การที่เราไม่ได้โฆษณานั้น เรากลับบ้านไป เซิร์ชดูโฆษณาแบรนด์นั้น ฝึกซ้อม เค้าทำแอ็คติ้งกันยังไง และมีวันนึงถ้าไม่มีประโยคนี้จากคุณแม่ หนูคงไม่เป็นหนูในทุกวันนี้ แม่พูดว่า ‘นี่เป็นการแคสงานครั้งสุดท้ายของหนูแล้ว ถ้าหนูไม่ได้อีก แม่จะไม่พามาแล้ว’ ซึ่งพอเราได้ยินประโยคนี้เราร้องไห้เลย หนูร้องไห้แข่งกับฝนที่ตกลงมา รู้สึกเสียใจมากที่คุณแม่จะไม่พาเรามาแล้ว
หลังจากที่คุณแม่พูดประโยคนั้นออกมา จากนั้นเราทำยังไง ?
ญดา : เหมือนเราคิดสู้ขึ้นมา มากกว่าปกติ มีความมั่นใจว่า มันต้องได้ เป็นการให้ความหวังตัวเอง สรุปวันนั้นก็แคสผ่าน 3 งานเลย
แม่พลอย : สิ่งที่เราพูดกับลูกวันนั้น อย่างที่บอกว่าทุกอย่างมันมีต้นทุน เราเลี้ยงลูกค่อนข้างลำบาก ในการมาทุกครั้งมันมีค่าใช้จ่าย การที่เราพาลูกมา เราต้องทิ้งงานตัวเอง ซึ่งแสงมันริบหรี่มาก เราก็บอกลูกว่าวันนี้มา เราทำให้เต็มที่ แต่ถ้ามันยังไม่ได้ เราพักก่อนเนอะ รอให้ลูกโตกว่านี้ แล้วเราค่อยมาเริ่มใหม่
ญดา : วันนั้นที่เราได้สามงาน เราดีใจมาก หนูเป็นคนไม่ยอมแพ้ ชอบอะไรที่มันท้าทาย
ชีวิตเปลี่ยนไปยังไงบ้าง ?
ในส่วนของเรื่องความรัก คุณแม่จะเป็นคนเปิดไพ่เช็กให้ก่อน ?
แม่พลอย : ด้วยอายุของน้องเค้าเอง ก็ไม่ติดเรื่องการมีความรัก ในเรื่องของหน้าไพ่ และการทำงานในวงการ มันเป็นเหมือนเส้นขนาน มันต้องเลือกระหว่างความรักกับการทำงาน
ญดา : ก็คือก่อนหน้านี้ไม่เคยมีแฟน (และตอนนี้ล่ะ ?) ยังเป็นสีขาวอยู่
คือเราไม่ได้ชอบผู้ชาย เราชอบผู้หญิง ถือว่าเป็นการเปิดตัวที่แรกเลยไหม ?
แต่ว่าจะใจฟูเวลาเข้าฉากกับผู้หญิงเหรอ
การที่เราชอบผู้หญิง ผู้หญิงคนนั้นต้องลักษณะเป็นยังไง
สเปกคนในวงการ ที่เราชอบเป็นแบบไหน ?
ญดา : คุณแม่รู้ค่ะ
แม่พลอย : เค้าชอบอิ้งค์ วรันธร ตอนแรกเราก็สงสัย ไม่เห็นเค้าชอบดาราผู้ชายเลย ซึ่งในส่วนของเรา ก็แล้วแต่เค้าเลย มีสิ่งเดียวที่แม่จะไม่บังคับ ก็คือเรื่องความรัก






