กลายเป็นที่ฮือฮาใน TikTok จากการไลฟ์ทุกวัน จนมีแฟน ๆ เข้าไปถามไถ่ สำหรับแม่หมอ "เจมี่ บูเฮอร์" ที่นอกจากให้คำปรึกษาในการใช้ชีวิตแล้ว ยังมีการดูดวงให้กับผู้ที่สนใจ
แต่ล่าสุด เจ้าตัวยืนยันผ่านการคุยแซ่บโชว์ ทางช่อง One 31 ว่าตนเองไม่ใช่ผู้วิเศษ ส่วนเงินที่หลายคนฝากมา ก็ได้ทำหน้าที่เป็นสะพานบุญเอาไปต่อยอดบริจาคในสถานที่ต่าง ๆ พร้อมอัปเดตอาการล่าสุดหลังพบก้อนเนื้อที่หน้าอก ยอมรับว่าได้สั่งเสียกับญาติไว้แล้ว ถ้าจะต้องมีงานศพ ขอเป็นธีมสีชมพู
เริ่มเรื่องแรกเลย เห็นว่าเจอเหตุการณ์ระทึก ?
เจมี่ บูเฮอร์ - คือเราคลำที่หน้าอก แล้วมันเหมือนมีก้อน ซึ่งทั้งสองข้างมันไม่เหมือนกัน รับรู้ได้จากการคลำ ตอนแรกก็ปลอบใจตัวเองว่ามันคงไม่เป็นอะไรหรอก แต่สักพักมันเริ่มไม่สบายใจ แต่รู้สึกว่ามันไม่มีก้อนที่หน้าอกข้างขวา ตัดสินใจว่าจะไปหาคุณหมอ
ซึ่งพอเราไปพบคุณหมอ สีหน้าคุณหมอไม่ค่อยดี ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นก้อนเนื้อที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร ซึ่งพอเราได้ยินขนาดนี้ คิดอย่างเดียวว่าคือมะเร็ง และระหว่างที่รอผลจากซีทีสแกน ตอนนั้นเรารู้สึกว่าชีวิตเราดิ่งสุด แต่ผลมันยังไม่ออกนะ และใน 4 วันที่รอผล คือเราก็สั่งเสียที่บ้าน ว่าถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ งานศพเราจะเป็นแบบไหน ห้ามใส่สีดำ เพราะมันจะดูเศร้า ให้ใส่สีชมพู อย่าแห่เหมือนงานศพทั่วไป อยากให้มีกลองยาว สนุกสนาน แต่กลับกันเราก็เศร้า เราก็กลัวเหมือนกัน แต่พอผลออกมา ไม่ใช่ซีสต์ ไม่ใช่มะเร็ง แต่เป็นผลจากซิลิโคลนรั่ว
การที่ซิลิโคลนรั่ว มันอันตรายในระดับไหน ?
เจมี่ บูเฮอร์ - คือในร่างกายของเรา มันไม่ควรมีอะไรแปลกปลอมเข้าไป มันจะทำให้ร่างกายเรามีพังผืด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรปล่อยไว้ ถ้าเรารู้ปุ๊บ ควรจะผ่าออกไปทันที ซึ่งคุณหมอบอกว่ามันเริ่มรั่วมาประมาณ 4-5 ปีแล้ว ใหญ่เท่าฝ่ามือ
ปกติซิลิโคนมันหนามาก แต่มันอาจจะมีรูรั่วเล็ก ๆ ซึ่งเกิดได้หนึ่งในร้อย มันเป็นการซึมออกมาทีละนิด แต่ถ้าปล่อยไว้นาน พังผืดมันก็จะกลายเป็นเนื้อหน้าอก มันอาจจะยากขึ้นในการผ่าตัดออก การผ่าตัดเอาอันเก่าออก แล้วเอาอันใหม่เข้ามา ซึ่งมันขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของหมอ
แต่เห็นว่าการผ่าตัดครั้งนี้ เราก็จัดใหญ่จัดเต็ม ?
ขอย้อนกลับไปตอนเข้าวงการแรก ๆ เริ่มจากการที่เราฝันอยากจะเป็นดาราตั้งแต่เด็ก ?
และผลงานชิ้นไหนที่ทำให้ ถนนโล่ง เพื่อไปดู ?
แม้ตอนนั้นเราดังมาก แต่เราก็มีกฎว่ารับละครทีละหนึ่งเรื่อง ?
แต่อยู่ดีก็อิ่มตัวกับการเล่นละคร ?
ตอนนั้นอายุ 18 ซึ่งตอนนั้น เราชอบกินไก่กับข้าวเหนียวมาก อีกอย่างตอนนั้น บทที่เราได้รับมันก็เป็นไดอะล็อคเดิม ๆ เพราะเราคิดว่าเราอยากจะมีชีวิตด้านอื่นด้วย ซึ่งเพื่อนเรามีชีวิตปกติ แต่เราไม่มีอะไรเลย ชีวิตอยู่แค่กองถ่าย จากนั้นเราก็เดินสายไปทำบุญ หาเงินทำผ้าป่า มันก็เป็นความสุขอีกแบบนึง มันทำให้เรามีความสุขจากการทำบุญ
ชีวิตมันเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ?
นอกจากเราทำบุญแล้ว เรายังไปเรียนศาสตร์การเป็นหมอดูเพิ่มเติม ?
เจมี่ บูเฮอร์ - เราเดินสายทำบุญแล้ว มันก็มีค่าใช้จ่าย เราก็ต้องหาอาชีพ เพื่อหารายได้ คือเราสามารถดูไพ่ยิปซีได้ เราเริ่มดูตั้งแต่อายุ 14 เริ่มจากตอนเราไปแคสงาน แล้วเราเจอคนที่เขามาดูดวงให้เรา ซึ่งเขาดูแล้วมันแม่น เราก็ไปเริ่มศึกษา เราก็ดูเป็น เราก็เอาไพ่ไปอยู่ในกองถ่าย
มันเคยมีเหตุการณ์ที่เราดูคนในกองถ่าย เรื่องครอบครัวเขา อีกอาทิตย์นึงถัดมาเค้าก็มาถามเราว่าเอาไพ่มาไหม เราก็คิดว่า ไม่อยากดูให้เขาแล้ว เพราะกลัวมันจะเกิดดราม่า ตั้งแต่นั้นมาเราก็เลยหยุดดู จากนั้นอายุ 18 ก็มาดูไพ่ยิปซี แต่พอมาทำอาชีพจริง ๆ จำไม่ได้ว่าอายุ 25 หรือ 26 ไปดูให้คนไทยที่เมืองนอก คนมาดูเยอะมาก ค่าดูไม่ถึง 1,000 บาท สามารถเก็บเงินได้ภายใน 200,000 - 300,000 บาท ภายใน 2 อาทิตย์ ซึ่งใครอยากอยู่กับเราให้ไปตามที่ช่อง TikTok สวีทไลฟ์เลม่อน ของเราได้ ซึ่งการที่บางคนเค้าฝากเงินเรามาทำบุญ เราก็เป็นสะพานบุญต่อยอดไปให้เขา เจมี่ไม่ใช่ผู้วิเศษนะคะ เรียกไอ้ เรียกอี ได้เหมือนเดิมนะคะ (ยิ้ม)
และเห็นว่าไปเจอเรื่องราวลี้ลับ ไปเจอตอนอายุเท่าไหร่ ?
เจมี่ บูเฮอร์ - เรียกว่าเป็นการเจอผี ครั้งแรกตอนอายุ 12 เราไปซัมเมอร์ที่ประเทศอังกฤษ ที่ต่างประเทศถ้าเราไม่มีรถ เราต้องเดิน เราต้องเดินผ่านสุสานซึ่งเป็นถนนยาว ๆ สุสานบ้านเขาจะเป็นแบบสวย ๆ จะตกแต่งเหมือนปราสาท เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันยังไม่เจริญเท่านี้ บรรยากาศมันดูน่าเที่ยว เราก็เลยแวะเดินเข้าไปดู
เราก็อ่านคำจารึกที่ป้ายหลุมศพ เรากำลังเดินอยู่ แต่เรารู้สึกว่ามีคนกระชากเราไปข้างหลัง คือตอนนั้นบรรยากาศท้องฟ้ายังเหมือนเดิม แต่เรารู้สึกว่าทุกอย่างมันดูหดหู่ เรามีความรู้สึกว่ามีผู้หญิง 2 คนอยู่ข้างหลัง เหมือนเราโดนกระชากไปอยู่ในมิติอีกมิติหนึ่ง มันเทามาก แม้อากาศจะเย็น แต่เหงื่อเราไหลมาเป็นเม็ด ๆ ในใจเราคิดว่าเราต้องหาทางออกให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะออกประตูหน้า จากนั้นเราก็ไม่เคยเข้าไปอีกเลย
ซึ่งถามว่าเรามีเซ้นส์ไหม มันก็มีบ้าง แต่เค้าครอบครัวของเราไม่อินกับเรื่องพวกนี้เลย อย่างตอนเด็ก ๆ เราอยู่กลางบ้าน เราก็ชี้ไปหน้าบ้านว่ามีผู้ชายอยู่ตรง ซึ่งถามว่าเราเห็นตั้งแต่เด็กไหมก็น่าจะใช่
ยังอีกเรื่องนึง เราเจอคุณยายหลังค่อม มาในรูปแบบของฝัน คือเรากำลังเดินขึ้นไปบนบันได แล้วเรากำลังเข้าห้อง กำลังจะเข้าถึงขั้นสุดท้าย มีคุณยายคนนึงมาจับแขน เราหันไปมอง แม้จะเป็นบ้านเรา แต่มันจะดูเป็นโทรม ๆ เราก็กระชากมือกลับแล้วก็เดินเข้าห้องไป แล้วเราก็ตื่น






