ช่วงแรกของชีวิตนี้ 0-15 มีอะไรที่เป็นโมเมนต์ที่จดจำทั้งบวกและลบ ?
เวลาเป็นเด็กแล้วต้องย้ายไปหลาย ๆ ประเทศ มันเป็นยังไง สนุกไหม ?
วู้ดดี้ : มันมีความตื่นเต้นว่าเราจะมีเพื่อนใหม่แล้วนะ จะมีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต จะมีโอกาสใหม่ ๆ เข้ามา นั่นก็คือครั้งแรกที่มองว่าเราชอบโอกาสมาก ต้องย้ายทุก 4 ปีจะต้องมีการโยกย้าย พ่อแม่คืออยากทำอะไรก็ให้ทำ
ถ้าพูดถึงในวัยเด็กมาก ๆ ก็คือตอนนั้น Demi Moore, Bruce Willis เขาสร้างค่ายยุวชนขึ้นมาก็จะประกอบไปด้วย นักแสดง ศิลปินรุ่นเด็ก ที่อาจจะไม่สามารถเข้าถึงการสอนที่มันราคาสูง ตอนนั้นเราเข้าไปสมัครอยู่ในค่ายของเขาในตอนเด็ก เลยได้เรียนรู้จาก Bruce และ Demi Moore ในช่วงหนึ่งของชีวิตในวัย 10 กว่าขวบ
เป็นการเตรียมพร้อมทุกอย่างที่จะเป็นนักแสดงในแบบที่พูดได้ทุกภาษา ?
วู้ดดี้ : ฝันของวู้ดดี้ก็คือเป็น ธงไชย แมคอินไตย จะเป็นพี่เบิร์ด ในภาพมีแค่นี้ ไม่มีอะไรนอกจากนั้น ตอนที่อยู่อเมริกากับการที่ฟังเพลง หาดทรายสายลมสองเรา ในหัวตอนนั้นคือเราจะเป็นพี่เบิร์ดและอะไรที่มันใกล้เคียง ในวันนั้นมันมีละครเวทีเป็น Musical ใกล้เคียงกับสิ่งที่พี่เบิร์ดทำ ก็ไปสมัครตอนอยู่นิวยอร์ก อะไรก็ตามที่มันเกี่ยวกับการแสดง การร้องเพลง ชีวิตมันคิดว่ามีแค่นี้
สุดท้ายก็อกหักตรงที่ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ฝัน สมัครเข้าไปจะไปเล่นละคร Broadway กำลังจะได้เล่นแล้ว พ่อแม่ก็บอกว่ากลับมาอยู่เมืองไทย ฝันที่เราอยากจะเป็นศิลปินนักร้องนักแสดงที่ Broadway ตอนนี้เราก็กำลังจะกลายเป็นคนไทยคนหนึ่ง ใช่คำนี้เพราะว่าตอนนั้นเราไม่รู้จักว่าเมืองไทยคืออะไร มันช็อกไง กลับมาแล้วจะเป็นอะไรเหรอในเมืองไทยเป็นข้าราชการแบบพ่อที่เงินเดือนก็ไม่ได้สูง เพราะเรารู้ว่ากลับไปแล้วมันจะใช้ชีวิตอยู่ตึกแถว บ้านอยู่นางเลิ้ง ถึงแม้ว่าจะเรียนโรงเรียนนานาชาติ แต่ซัมเมอร์ก็ไปโรงเรียนวัด นั่งรถเมล์ไปโรงเรียน นั่งมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียน พี่เดินกับน้องชาย 2 คน ชีวิตพี่ไม่ได้มาจากความรวยอะไรเลยทั้งสิ้น
ตอนนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการและแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ในวัยเด็กเป็นยังไงถูกล้อเลียนหรือเปล่า ?
วู้ดดี้ : คุณต้องเข้าใจเราก่อนว่าการที่เป็น LGBTQ ตื่นมาทุกวันมันจะคิดเลยว่าโลกจะยอมรับเราได้ไหม ตื่นมาแล้ว ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือทำไมคุณต้องเป็นอย่างงี้ พ่อแม่จะยอมรับเราได้เลยไหม เหมือนมะเร็งก้อนหนึ่งอยู่ในร่างกาย ที่คุณไม่รู้จะเอาออกได้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดว่าท่านยอมรับไม่ได้ มันอยู่ในนั้นจนตายนะ พ่อแม่จะรับได้ไหม เราก็เลยหาอะไรมากลบปมตรงนั้น โดยการไปหาความสามารถพิเศษ ไปหาความเก่ง ไปหาการศึกษา ไปหาการเรียน ไปหาตัวตน ไปหาการแสดง ไปหาทุกอย่าง เพื่อจะเติมให้ตัวเองได้คุณค่า
ช่วงนั้นที่กลับมาเมืองไทยเห็นอะไรทำได้ก็ทำไปเลย เพราะเรายังไม่ได้เปิดตัวกับพ่อแม่ สุดท้ายมันก็เป็นบวกสำหรับเรา เชื่อว่าทุกอย่างดีเสมอ เพราะในวันนั้นเราก็ไม่มีปัญญาพอ เพราะว่าอาจจะไม่มี TikTok ที่จะมาบอกว่าให้บอกพ่อแม่ไปเลย แล้วไม่มีไอดอลที่ออกมาพูดบอกว่าการเป็นอย่างงี้ การเป็นเกย์เป็นเรื่องปกติ ผมเป็นคนที่สุดโต่ง ทำอะไรผมสุด ดังนั้นความรู้สึกจะสุดเช่นเดียวกัน ผมไม่มีกลางๆ นี่คือนิสัยของวู้ดดี้
กลับมาอายุช่วงปี 2546 ยุคไหนยุค 90 ?
วู้ดดี้ : ตอนนั้นกลับมาแล้วก็เห็นว่าฝันที่จะเป็นนักแสดง หรือฝันว่าจะเป็น VJ ใน MTV สมัยก่อน เราก็เห็นว่า VJ มันดีแล้วเท่ดี แล้วไม่คิดว่าสิ่งที่เรา manifest อยู่ในวันนั้น มันจะมาเป็นจริงเพราะว่าอีกไม่นานพอเราเรียนจบปั๊บ MTV ก็มาไทยแลนด์ แล้วเราก็ไปสมัครปรากฏว่าก็ได้เข้า MTV เป็น VJ รุ่นหนึ่งเลย เราก็เรียนหนังสือให้จบ เรียนเศรษฐศาสตร์ เพราะว่าพ่อเรียนเศรษฐศาสตร์ ก็เป็นหน้าที่ของชีวิต แล้วเดี๋ยวมันจะ connect เอง
แล้วก็ได้โฉบไปทำละครเวทีกับ พี่บอย ถกลเกียรติ ซึ่งเป็นละครเวทีเรื่องแรก ก่อนที่เขามีรัชดาลัยเรื่องวิมานเมือง เล่นเป็นตัวร้ายของเรื่อง เข้าฉากแค่ 5 นาที แล้วก็ตาย ตอนนั้นผมตัดสินใจว่า คงไม่ใช่นักแสดงแล้วล่ะ ไปเบื้องหลังดีกว่า เพราะจากที่เป็นดีเจวันนั้นแฮปปี้มีความสุข วันที่พี่ฉอดแบบบอกว่า ยินดีด้วยคนรักยูมาก แล้วคนก็เกลียดยูมากด้วย
ทำไมถึงรัก ทำไมถึงเกลียด ?
ช่วงแบบวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อ 15-30 มันมีอะไรลบ ๆ ไหม ?
ถ้าวันนี้เป็นสื่อ ๆ นั้นจะบอกพวกเราว่าอะไร ?
จำโมเมนต์วันนั้นได้ไหม วันที่เดินเข้าไปพูดบรรยากาศเป็นยังไง ?
แล้วคุณพ่อ ?
ช่วงที่ 3 ของชีวิตอายุเท่าไหร่ ?
วู้ดดี้ : ช่วง 29-30 คือจุดเริ่มต้น คือไฟที่เราจะมาทำรายการเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง นั่นคือจุดเริ่มต้นเลยนะรายการไฮโซบ้านนอก รายการ Variety แรกของประเทศ ไทย ที่จับ 3 ไฮโซอยู่ต่างจังหวัด กว่าคนจะดูถึงตอนจบ ดราม่าเยอะมากสนั่นเมือง แล้วมันอยู่ใน Prime Time ช่วงละครด้วยตอนนั้น ช่อง 3 นั่นคือช่วงชีวิตที่ผมค้นพบว่าผมเป็น Creator แล้วในวันนั้นเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ในช่อง 9
วันนั้น มีรายการชื่อ The One รายการเกี่ยวกับสัมภาษณ์ที่เป็นที่สุด เอาที่สุดในวันนั้น ทาทา ยัง แต่ไฮไลท์เลยก็คือ นายกทักษิณ ผมติดต่อไปท่าน Say Yes ไปสัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล พูดจาแบบ Real แล้วอะไรต่อไปหลังจากนั้นในชีวิต เรายังอยากคุยอยากเรียนรู้ก็เลยเป็นที่มาของ เกิดมาคุย มันหาดูได้ยากไหม แขกคนนี้ไม่เคยออกรายการ ถูกที่ถูกเวลา มันอยู่ในกระแสคนพูดถึงไหม มันก็เลยจุติ Set Program เลยว่าเพื่อความสำเร็จต้อง Real ต้อง Rare ต้องนั่งไขว่ห้าง แล้วต้องมองแขกแล้วถามคำถามที่ตรงที่สุด ตรง ให้มันบาด เพราะคนจะดู แล้วทุกคนจะพูดถึงกระแสนี้ เป็นช่วงที่ให้ตัวเองเต็ม 10 ไม่มีความกลัว มีแต่ความมั่น มั่นเกินด้วย ซึ่งพลังงานในวันนั้นมันจึงทำให้เราเป็นอันดับ 1 ในทีวี
มันนำพามาซึ่งโอกาสแต่มันพาอะไรบางอย่างมาไหมที่ให้เราได้เรียนรู้ เวลาที่ดังมาก อยู่ในกระแสมาก ?
การย้ายครั้งนี้ไปทำอะไรที่มันตอบโจทย์กับใจตอนนั้น เพราะเป็นรายการที่อยู่มานานมาก ?
วู้ดดี้ : ตอนนั้นได้ไปตกผลึกย้อนกลับไปดูว่าเราเกิดมาทำไม แล้วเกิดมาเพื่ออะไร ? ไม่มีคำตอบในตอนนั้น เพราะอยากได้คำตอบที่ไปต่อได้กับชีวิต เลยตัดสินใจมองกลับไปดู ก้าวต่อไปของเราจะเปลี่ยนประเทศไทย โดยการเริ่มต้นจากตัวเราก่อนทำ Sixpack ดูแลร่างกายเข้ายิม พอจัดร่างของคุณนิสัยใหม่ก็จะมา พลังงานมาทันที
แล้วตอนนั้นก็จิตวิญญาณด้วยว่า บวช จากนั้นตั้งเป้าเลยว่าอะไรไปต่อ จับงานสงกรานต์เอาให้มันเป็น World Class สร้างมันขึ้นมาจากว่างเปล่า สร้างขึ้นมาเลยว่าเป็นเทศกาลที่จะมีดีเจระดับโลกมารวมตัวกัน ทุกคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เราเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ได้ 3 สิ่งที่เกิดขึ้น 1 เห็นเลยว่า S2O งานระดับโลกเราทำได้ คือขึ้นเวที Mr.Thailand การแข่งเพาะกาย และ 3 ก็คือขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่รอลงอาญา คดีที่ผมไปหมิ่นคน ๆ หนึ่ง ซึ่งในวันนี้ได้ถ่ายรูปร่วมกันแล้วก็บอกว่าเราผ่านอะไรกันมาเยอะนะ ขอบคุณกันและกันที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆอย่าง การขึ้นศาลในครั้งนั้น ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าจะพูดอะไร อย่าไปพูดแล้วก็ discredit ใคร ต้องระวัง แล้วการที่เป็นสื่อเราไม่ควรใด ๆ ที่จะใช้พื้นที่ไป discredit ผู้อื่น ทั้งหมดเกิดขึ้นในสัปดาห์เดียวกัน
วันนี้ S2O มีกี่ประเทศ ?
Chapter ต่อไปของ วู้ดดี้ ช่วงนี้ 40 ปีเป็นต้นไป เป็นยังไง ?
วู้ดดี้ : เอาปัจจุบันแล้วกัน มองว่าเราอยู่ในช่วงผ่าน Mid Life เพราะนี้กำลังจะ 50 มันมีคาถาที่พี่ท่องกับทุกเรื่องราวในชีวิต มี 4 พยางค์ก็คือ This too shall pass ท่องไว้เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป กับทุก ๆ เรื่องในชีวิตก็เลยเป็นคาถาวิเศษที่เก็บไว้ในใจตลอดเวลา จนถึงวันนี้ก็ยังใช้มันอยู่ทุกวัน
ทั้งนี้ รับชมรายการย้อนหลังได้ ที่นี่






