ออง ซาน ซูจี ในแบบฉบับของ มิเชล โหย่ว










เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก youtube.com โพสต์โดย CiNNtv1 , รายการวูดดี้เกิดมาคุย

             เชื่อว่าในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ หากจะหาใครสักคนหนึ่งที่เลือกต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ ยอมสละได้แม้กระทั่งความสุขส่วนตัวและเวลาในครอบครัวแล้วล่ะก็ ย่อมต้องมีชื่อของสตรีผู้อุทิศตนเพื่อประชาธิปไตยและสันติภาพ สตรีผู้เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจซึ่งทั่วโลกต่างสรรเสริญในพลังศรัทธาและความกล้าหาญของเธอเช่นเดียวกับประชาชนกว่าสิบล้านคนในพม่าที่ต่างแซ่ซ้องให้กับชื่อของสตรีผู้มีชื่อว่า "ออง ซาน ซูจี"

             ข่าวของออง ซาน ซูจี เป็นที่สนใจของประชาคมโลกอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อผู้กำกับชื่อดังอย่าง ลุค แบร์ซ็อง ได้เผยแพร่ตัวอย่างภาพยนตร์อัตชีวประวัติของนางออง ซาน ซูจี สตรีผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ผู้ที่ยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศพม่า ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย รวมถึงเสียงชื่นชมนักแสดงนำของเรื่องซึ่งถ่ายทอดบทบาทของนางออง ซาน ซูจี ได้ลึกซึ้งและแยบคายราวกับเป็นคน ๆ เดียวกัน และด้วยเหตุผลนั่นเองทำให้ มิเชล โหย่ว ถูกเชิญมาเป็นแขกรับเชิญพิเศษในรายการ วู้ดดี้เกิดมาคุย ที่เพิ่งออกอากาศไปในคืนวันอาทิตย์ที่่ผ่านมา

             หยาง จื่อฉยง หรือ มิเชล โหย่ว เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนที่ไปโด่งดังในวงการภาพยนตร์ฮ่องกง และได้มีโอกาสก้าวเข้าไปในวงการฮอลลีวู้ด โดยครั้งแรกที่มิเชล โหย่ว ปรากฏตัวในรายการ เธอล่องเรือเดินเล่นในสวนกับวู้ดดี้ ด้วยท่าทางสบาย ๆ ก่อนจะถูกถามถึงการมาเยือนประเทศไทย ซึ่งมิเชลก็ตอบคำถามอย่างเป็นกันเองว่า เธอมาเมืองไทยหลายครั้งแล้วเพราะเป็นคนมาเลเซีย เป็นเพื่อนบ้านกันจึงง่ายมากที่จะเดินมาเมืองไทย เคยไปทั้งกรุงเทพฯ หัวหิน และภูเก็ต มาคราวนี้ได้มีโอกาสเข้าไปทางภาคเหนือ ตอนไปก็มีคนจำได้ว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่รำคาญอะไร ถ้ามีคนรู้จัก แสดงว่าพวกเขาช่วยให้มีงานทำต่อ เวลามีคนทักทายก็รู้สึกดีมาก มีเพื่อนทุกหนทุกแห่ง ดีใจที่มีคนยิ้มให้ และถ้ามีโอกาสมาถ่ายหนังอีกอยากไปที่ไกล ๆ บ้าง

             ด้วยอิริยาบถการตอบคำถามที่ดูสบายและเป็นกันเอง ทำให้วู้ดดี้ อดถามไม่ได้ว่า มิเชล โหย่ว มีท่าทางไม่หยิ่งเหมือนนักแสดงคนอื่น ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะแล้วบอกว่า เธอมีครอบครัวที่ช่วยทำให้ติดดินอยู่ตลอดเวลา เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ทำในสิ่งที่รัก แต่ที่สุดยอดมากคือ คนอื่นเองก็รักในสิ่งที่เราทำด้วย แล้วแบบนี้จะให้หยิ่งไปเพื่ออะไร นอกจากนี้ เธอยังเล่าให้ฟังถึงการใช้ชีวิตธรรมดาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาอีกว่า...

             "เวลากลับบ้านที่อิโปห์(ประเทศ มาเลเซีย) ฉันลากแตะ นุ่งขาสั้น เข้าศูนย์อาหารแผงลอย ฉันว่าปัญหาอยู่ที่ว่า เราจะรับมือยังไง ถ้ามัวห่วงว่า ใคร ๆ กำลังจ้องมองเรา แล้วเราต้องวางท่าแบบนี้ เราก็ต้องอยู่กับมัน รู้สึกเหมือนอยู่ในตู้กระจก แต่ฉันไม่ใช่ ฉันเดินเร็ว ฉันรู้ว่า ฉันจะทำอะไร ฉันก็ทำของฉันไป เวลามีคนเข้ามาทักก็ทักตอบ มันก็ดีนะ" 

             และเมื่อถูกถามถึงการเป็นคนเชื้อสายจีนที่เติบโตในมาเลเซียว่ารู้สึกเป็นคนนอกหรือถูกกีดกันบ้างไหมนั้น มิเชล ก็ให้คำตอบที่น่าสนใจว่า มาเลเซียเป็นสังคมพหุชาติพันธ์ เธอไม่เคยคิดว่าใครเป็นคนในหรือคนนอก เธอไม่เคยรู้สึกแตกต่างด้วยเชื่อว่าเธอเป็นพลเมืองของโลกนี้ไม่ใช่พลเมืองมาเลเซียอย่างเดียว

             แม้ว่ามิเชล โหย่ว จะเป็นคนมาเลเซียและเคยคว้าตำแหน่งมิสมาเลเซียมาครอง แต่ด้วยความสวยของเธอทำให้แมวมองสะดุดตาจนได้มาถ่ายโฆษณาชิ้นแรกกับราชานักบู๊อย่างเฉินหลง และการได้ทำงานในฮ่องกงนี่เองถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเข้าสู่วงการภาพยนตร์บู๊อีกหลายเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้เธอโด่งดังและเป็นที่จดจำของคนไทยนั้นคงจะเป็นฉากบู๊ระห่ำเสี่ยงตายในภาพยนตร์ "วิ่งสู้ฟัด 3" ที่เธอแสดงบทบู๊แบบเล่นจริง เจ็บจริง และหลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นราชินีนักบู๊รับบทเสี่ยงตายอีกหลายเรื่องด้วยกัน จึงทำให้หลายคนคิดว่าเส้นทางของเธอนั้นต้องยากลำบากแน่ ๆ แต่เธอกลับคำตอบเพียงว่า เธอไม่ได้ต่อสู้อะไรเลย เพราะไม่เคยคิดฝันจะเป็นนักแสดงมาก่อน

             "ไม่มีแผนอะไรเลยเกี่ยวกับการแสดง เพียงแค่คิดว่าอยากเป็นนักบัลเล่ต์ อยากจะเปิดโรงเรียนสอนบัลเล่ต์ในมาเลเซีย และกำลังจะไปทางนั้นอยู่แล้ว แต่วันหนึ่งมีคนมาชวนไปถ่ายโฆษณาที่ฮ่องกง ก็เลยตกลงไป พอได้เล่นโฆษณาคู่กับเฉินหลงก็ได้เซ็นสัญญาเล่นหนังกับค่ายดีแอนด์บี ถือว่าโชคดีมากที่ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ไม่ต้องง้อผู้สร้างภาพยนตร์ โอกาสลอยมาหาเอง" มิเชล โหย่ว เล่า






             ส่วนจุดพลิกผันที่ทำให้ มิเชล โหย่ว ได้ร่วมงานกับวงการฮอลลีวู้ดนั้น เป็นตอนที่ได้รับเลือกมารับบทสาวบอนด์ ในภาพยนตร์ James Bond : Tomorrow Never Dies ประกบกับ เพียร์ซ บรอสแนน ความสวยแบบเอเชียของเธอได้เปิดเผยสู่สายตาผู้ชมทั้งโลก จนทำให้นิตยสาร people ยกย่องให้เธอเป็นนักแสดงเอเชียคนแรกที่ติดอันดับผู้หญิงที่สวยตลอดกาล อีกทั้งความสามารถด้านศิลปะป้องกันตัว ภาษาอังกฤษ และบุคลิกดีเยี่ยม ทำให้เธอได้รวมแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดอีกหลายต่อหลายเรื่อง ...เห็นแบบนี้ดูเหมือนชีวิตของเธอจะยุ่งมาก กระนั้นเธอก็ยังแบ่งเวลาให้ชีวิตได้อย่างลงตัว ทั้งทำงานในฮ่องกงและอเมริกา กลับไปหาครอบครัวที่มาเลเซีย รวมถึงการใช้ชีวิตคู่ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส กับ ฌอง โทดท์ ประธานสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ(FIA) ซึ่งคบหากันนานถึง 8 ปี



             ทั้งนี้ เมื่อถูกถามว่ากลับไปมาเลเซียบ่อยแค่ไหน มิเชล ตอบว่า ว่างเมื่อไหร่ต้องกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ทุกครั้ง เพราะเคยมีเพื่อนคนหนึ่งบอกไว้ว่า จะต้องกลับไปเยี่ยมพ่อแม่บ่อย ๆ เพราะเขาเคยละเลยเรื่องนี้จนในที่สุดก็สายเกินไป อีกทั้งเธอยังเล่าด้วยว่าพ่อแม่ของเธอไม่เคยถามถึงชีวิตการเป็นดาราเลยสักครั้ง

             "พวกท่านไม่เคยมองฉันว่าเป็นดารา แต่เห็นฉันที่เป็นฉัน พวกเขารู้ว่าฉันทำอะไร แต่ก่อนมันก็ลำบากเพราะฉันเล่นหนัง ฉันเคยกระโดดจากกำแพงแล้วหัวทิ่มลงมา ตอนนั้นฉันคิดว่าหลังหักแล้ว ต้องเข้าโรงพยาบาล นอนรอผลตรวจ MRI พอเปิดทีวีดูก็เจอข่าวมิเชล โหย่วได้รับบาดเจ็บจากการแสดง สิ่งแรกที่ฉันต้องรีบทำคือโทรหาแม่ บอกว่ามันเป็นข่าวใช้โปรโมทหนัง ซึ่งเหตุผลที่ไม่ยอมบอกความจริง เพราะกลัวว่าหากบอกไป พ่อแม่จะต้องมาหา มายืนจ้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ซึ่งฉันไม่คิดว่าควรให้พวกท่านเป็นแบบนั้น"



             และเธอยังได้เล่าถึงเส้นทางการเป็นนักแสดงเอเชียที่มีชื่อเสียงในวงการฮอลลีวู้ดด้วยว่า เป็นเรื่องที่ลำบากมาก วงการฮอลลีวู้ดเป็นวงการที่มีการแข่งขันสูงมาก ตัวนักแสดงต้องเหมาะสมกับบทที่เขียนขึ้น ซึ่งเหตุผลที่คนเอเชียเป็นเพียงส่วนประกอบเล็ก ๆ ทำให้คนเอเชียต้องใช้ฝีไม้ลายมือเล่าเรื่องของตัวเองแล้วรอจนกระทั่งบทบาทของนักแสดงเอเชียจะเกิดในฮอลลีวู้ด เช่นเดียวกับที่ผู้กำกับอย่างอังลี สร้างภาพยนตร์ Crouching Tiger, Hidden Drago ออกมาเขย่าวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดจนคว้ารางวัลออสการ์ไปถึง 4 สาขา โดย มิเชล โหย่วเองก็ยังไม่คิดว่าภาพยนตร์ที่สร้างจากความฝันของอังลี ที่อยากนำโลกวิทยายุทธ์เข้ามาสู่โลกความเป็นจริงจะมีผลตอบรับถึงขนาดนี้

             แต่สำหรับเรื่อง The Lady สำหรับเธอแล้วมันเป็นตัวแทนของแรงบันดาลใจ เป็นบุคคลที่ควรถือเป็นแบบอย่างในฐานมนุษย์ที่ดีงาม ผู้มองเห็นความเดือดร้อนของคนอื่นมาก่อนตัวเองหรือครอบครัว โดยเริ่มแรกที่จะได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Lady มิเชล โหย่วเผยให้ฟังว่า หลังจากได้ข่าวว่ามีคนจะสร้างภาพยนตร์อัตชีวประวัติของนางออง ซาน ซูจี เธอก็โทรไปหาตัวแทนในอเมริกาให้ช่วยสืบเรื่องนี้ถึงรู้ว่า ทางผู้กำกับลุค แบซ็อง ก็ตามหาตัวเธออยู่เช่นกัน และระหว่างที่รอบทเธอก็ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอองซานซูจีอย่างจริงจัง









             "อันดับแรกฉันดูและฟังก่อน หมายถึงวิดีโอข่าวที่มีเธอ ดูให้มากที่สุดเพราะเราต้องจับอิริยาบทของเธอให้ได้ แบบว่า เวลาเธอนั่ง รู้มั้ยเธอไม่เคยไขว่ห้างเลย เมื่อได้อ่านประวัติเธอว่าโตมาอย่างไร เราก็นึกภาพเธอแล้วเปรียบเทียบข้อมูลในหัวกับภาพที่เห็น สายตาเราจะจับจ้องอย่างเจาะจง แล้วเมื่อดูภาพของผู้หญิงคนนี้ สิ่งที่ได้เห็นก็คือ อารมณ์ของเธอ ปฏิกิริยาของเธอขณะนั่งฟัง สิ่งที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เวลาเข้าฉากเราต้องถ่ายทอดบุคลิกของเธอก่อน จากนั้นก็สวมวิญญาณด้วยสิ่งที่อยู่ในใจเธอ ฉันดูเทปข่าวเธอตั้งสองร้อยชั่วโมง ดูแล้วดูอีก เพื่อจะฟังเธอพูด บางครั้งฉันก็ดูโดยไม่ฟังเพื่อจะจับอะไรอีกอย่าง...เราต้องซึมซับเข้าไปเพราะเมื่อคุณซึมซับแล้ว คุณจะแยกไม่ออกว่า ตอนนี้จะเป็นอองซานซูจี ตอนนี้ไม่ใช่ เวลาทำงานเราต้องสวมบทเป็นบุคคลนั่น ต้องมีสมาธิแน่วแน่ วินัยก็สำคัญสำหรับการเล่นบทนั้น"

             นอกจากเรื่องบทบาทการแสดงแล้วเมื่อถูกถามถึงการเข้าพบกับนางออง ซานซูจีเป็นครั้งแรก มิเชลโหย่วก็บอกถึงความรู้สึกที่มีว่า... "รู้มั้ยฉันยืนรออยู่ตรงนั้น แล้วหันไปเห็นเธอมายืนอยู่ใกล้ๆ แล้วเธอก็กอดฉันเต็มๆ คนเอเชียเรามักจะรักษาระยะห่าง แค่จับมือหรือไหว้แต่ฉันอยู่ในโลกตะวันตกมานาน เป็นธรรมดามากถ้าฉันจะรี่เข้าไปกอดคุณแต่ฉันก็อยากดูดีมีมารยาทด้วยแบบว่าเข้าขนบธรรมเนียมที่แตกต่างแต่เธอก็กอดกอดเต็มๆด้วย แล้วเธอก็พูดกับฉันว่า ยินดีต้อนรับ และที่ประทับใจที่สุดคงเป็นตอนที่ เธอขอบคุณที่ฉันเป็นมิตรของเธอ"

             นอกจากนี้ มิเชล โหย่ว ยังถูกถามถึงเรื่องบทบาทสตรีในการสร้างสรรค์โลกปัจจุบัน ซึ่งเธอก็พูดให้ฟังว่า ตอนนี้เธอเป็นทูตสากลเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน สนับสนุนหนังโครงการต่อต้านเอดส์ กองทุนต้านมะเร็งในฮ่องกง สนับสนุน ICM สถาบันรักษาผู้บาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะที่ปารีส และเธอได้ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ว่า

             "ฉันคิดว่าเรื่องเหล่านี้มันสำคัญในฐานะที่ฉันเป็นพลเมือง พลเมืองอย่างเราต้องทำเพื่อสังคม ต้องตอบแทนสังคม เราอยากเห็นคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องมีบทบาทหนุนช่วย ส่วนเรื่องบทบาทสตรีฉันไม่สามารถจำแนกได้ว่า เพศคือสิ่งที่กำหนดบทบาท อาชีพไหนควรให้ผู้ชายทำหรือผู้หญิงทำ ฉันว่าต้องเลือกคนที่เหมาะกับงานที่สุด คนที่รู้งาน สามารถทำงานนั้นได้ ไม่น่าจะจำกัดกันด้วยเพศ วัย หรืออะไรแบบนั้น คุณอาจอายุน้อยแต่นั่นไม่เกี่ยวกับ ความสามารถของคุณ ไม่ต้องเจาะจงว่าคนอายุ 60 ถึงฉลาดกว่า มีประสบการณ์มากกว่า มันน่าจะเป็นอย่างที่เป็นจริง ๆ อย่างที่พิสูจน์ได้"




             จากการรับชมบทสัมภาษณ์ของนักแสดงหญิงชาวเอเชียที่รับบทเป็นนางออง ซาน ซูจีแล้ว หลายคนคงได้เห็นทัศนคติอันดีงามของเธอ และหวังว่าเรื่องราวของเธอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนสร้างสรรค์สังคมที่ดีต่อไป และอย่าลืมตีตั๋วเข้าไปชมภาพยนตร์อัตชีวประวัติอันยิ่งใหญ่ของผู้หญิงที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างไม่ท้อถอย แล้วคุณจะรู้ว่าบทบาทของผู้หญิงสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้มากกว่าที่คิด





ออง ซาน ซูจี ในแบบฉบับของ มิเชล โหย่ว ในวู้ดดี้เกิดมาคุย ตอนที่ 1



ออง ซาน ซูจี ในแบบฉบับของ มิเชล โหย่ว ในวู้ดดี้เกิดมาคุย ตอนที่ 2



ออง ซาน ซูจี ในแบบฉบับของ มิเชล โหย่ว ในวู้ดดี้เกิดมาคุย ตอนที่ 3



ออง ซาน ซูจี ในแบบฉบับของ มิเชล โหย่ว ในวู้ดดี้เกิดมาคุย ตอนที่ 4



ออง ซาน ซูจี ในแบบฉบับของ มิเชล โหย่ว ในวู้ดดี้เกิดมาคุย ตอนที่ 5















เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ออง ซาน ซูจี ในแบบฉบับของ มิเชล โหย่ว โพสต์เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 20:09:37 1,603 อ่าน
TOP
x close