มุมมองชีวิตคิดบวก แบบฉบับ พิง ลำพระเพลิง



พิง ลำพระเพลิง

พิง ลำพระเพลิง

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการ The Idol คนบันดาลใจ

          พิง ลำพระเพลิง เป็นผู้ชายที่หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ทั้งในฐานะผู้กำกับ นักแสดง คนเขียนบท ซึ่งผลงานของเขามักจะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่โดดเด่น บ่งบอกความเป็นตัวตนของเขา ที่ทั้งแหวกแนว และไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้... ส่วนการก้าวเดินตามความฝันของเขาจนมีชื่อเสียงในขณะนี้ เขาบอกว่าทุกก้าวย่างของเขามีแต่อุปสรรค ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด แต่เขาก็สู้ไม่ท้อและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เมื่อวันใดที่โอกาสมาถึง ... เขาก็จะได้เดินหน้าและรีบคว้ามันอย่างไม่ลังเล

          "มนุษย์เรากระพริบตามากกว่า สองหมื่นห้าพันครั้งต่อวัน แต่โอกาสมันมาแต่พริบตาเดียว เลยอยากจะบอกทุกคนว่า ถ้าไม่ร้อนเงินมากจนเกินไปนัก ให้เลือกโอกาสเถอะ เพราะโอกาสมันยิ่งใหญ่กว่าเงินมาก" พิง ลำพระเพลิง

          จากคำกล่าวข้างต้น เป็นที่ยืนยันแน่ชัดว่า ผู้กำกับฝีมือเยี่ยมคนนี้ เขาเชื่อในโอกาสมากกว่าเงินตรา บางครั้งได้เงินมาแต่ไม่สร้างโอกาส ก็อาจจะทำให้เราพลาดสิ่งดี ๆ หลายต่อหลายอย่างในชีวิตก็เป็นได้ ... ส่วนในวันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอนำแง่คิดและมุมมองในการดำเนินชีวิตของ "พิง ลำพระเพลิง" จากรายการ The idol คนบันดาลใจ (ดิไอดอล คนบันดาลใจ) มาฝากกัน เพื่อเป็นแรงขับ แรงฮึด ในการลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สำหรับคนที่ท้อถอย และผิดหวังในขณะนี้...

พิง ลำพระเพลิง

          เท้าความถึงชีวิตวัยเด็กของ พิง ลำพะเพลิง นั้น เขากล่าวว่า เขามาจากครอบครัวที่แตกแยก ครอบครัวไม่ค่อยสนใจเขาสักเท่าไหร่ แถมยังมีปมด้อยเรื่องหน้าตา ทั้งตัวเตี้ย หน้าแย่ เลยพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับ ด้วยการทำทุกอย่างให้ทุกคนหันมามอง เช่น ตอนเด็ก ๆ ก็จะเรียกร้องความสนใจ แบบเพื่อนร้องเพลงชาติจบหมดแล้ว เขาก็จะพยายามร้องให้จบช้ากว่าเพื่อน เพื่อจะได้ดูเด่น เป็นต้น 

          พอโตขึ้นมาหน่อยก็รู้ว่า การเรียกร้องความสนใจแบบนั้นมันไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อปิดปมด้อยของตัวเอง ... สมัยเรียนระดับอุดมศึกษา ตนเรียนที่เพาะช่าง เรียนออกแบบโฆษณา เป็นรุ่นพี่ของ โน้ส อุดม แต้พานิช 2 ปี ซึ่งการที่ได้รู้จักกับ โน้ส ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เพราะโน้สเปิดมุมมองอะไรใหม่ ๆ และเป็นคนที่เริ่มต้นให้เขาจับปากกาเขียนงาน

          "โน้สมันจะเขียนไดอารี่ของมันทุกวัน เราก็อยากรู้ว่ามันเขียนอะไรหนักหนาก็เลยแอบอ่าน เลยรู้ว่ามันเป็นคนที่เขียนหนังสือดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ส่วนงานเขียนของตนนั้น ถ้าบอกว่าเริ่มต้นจากมันคงไม่ผิดนัก แต่สไตล์การเขียนนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพ็อกเก็ตบุ๊คที่สอดแทรกเรื่องราวตลก ๆ ของนักเขียนสำนักพิมพ์ ศิษย์สะดือ และไปยานใหญ่" พิง ลำพระเพลิง กล่าว 

พิง ลำพระเพลิง

          จากนั้น พิง ลำพระเพลิง ก็มีโอกาสไปทำฝ่ายอาร์ต ภาพประกอบหนังสือของสำนักพิมพ์ดังกล่าว แล้วก็เห็นมีคนเขียนเรื่องสั้นส่งเข้ามาลงหนังสือ เขาเลยเขียนส่งบ้าง เมื่อ บก. อ่านก็ชื่นชอบ และบอกว่าให้เขียนอีก 8 เรื่อง เพราะจะได้ตีพิมพ์เป็นพ็อกเก็ตบุ๊ค ซึ่งจุดนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเลย โดยเขาใช้ชื่อพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มแรกว่า "แกงไก่ล้างโลก" แถมยังขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอีกด้วย

          และด้วยความที่ว่า เป็นคนคลุกคลีอยู่ในวงการหนังสือ เลยรู้ว่าต้นทุนและการผลิตนั้นมันน้อยมาก 10% จากการขายนั้น มันน้อยไปสำหรับเขา เขาเลยออกมาตั้งสำนักพิมพ์เอง เขียนเอง ทำอาร์ตไดเรกเตอร์เองทั้งหมด ใช้ชื่อว่า พิลาลัย ตอนแรกเขาก็คิดว่าสำนักพิมพ์ดังกล่าวจะไปได้สวย เพราะตามร้านต่าง ๆ สั่งหนังสือหลายรอบ เลยต้องตีพิมพ์หลายครั้ง สรุปสุดท้ายหลังจากนั้น 6 เดือน เขาก็เจ๋ง เพราะหนังสือตีกลับ และเป็นหนี้ติดตัวอยู่ 5 แสนบาท 

          เมื่อเป็นหนี้ก้อนโต ถ้าหากอยู่ในประเทศไทยต่อไป คงจะหาเงินใช้หนี้ได้ลำบาก พิง ลำพระเพลิง จึงจูงมือภรรยาบินไปต่างประเทศ เพื่อหางานทำ ตอนเช้ารับจ้างล้างจาน ตอนบ่ายเขียนบท วาดสตอรี่บอร์ด ตกกลางคืนก็พิมพ์บท และในที่สุดเขาก็เขียนเสร็จ โดยบทภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาเขียนมีชื่อเรื่องว่า "พรุ่งนี้ก็สายสะดือ" เมื่อเขียนบทเสร็จ เขาก็ตัดสินใจพาภรรยากลับประเทศไทย ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะหมดหนี้ไปเอง 

พิง ลำพระเพลิง

          พอมาถึงประเทศไทย พิง ลำพระเพลิง ก็ตั้งหลักได้ประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นก็เดินทางไปยัง บริษัทไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ นำบทภาพยนตร์ไปเสนอ ซึ่งเขาก็ชื่นชอบบท และต้องการซื้อบทภาพยนตร์ดังกล่าว แต่ไม่ให้ พิง ลำพระเพลิง เป็นผู้กำกับ เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ ด้าน พิง ลำพระเพลิง ก็ไม่ยอมขาย และยืนยันว่า ถ้าไม่ได้กำกับเองก็ไม่ขายบท และเดินทางกลับบ้านด้วยกระดาษปึกนั้นอย่างผิดหวัง 

          ช่วงนั้น พิง ลำพระเพลิง เลยต้องกลับไปตั้งต้นใหม่ เดินทางไปสัตหีบเพื่อทำงานเก็บเงิน โดยการกรอกขนมปังปี๊บ และทำวุ้นขาย ซึ่งมันก็พออยู่รอดได้ แต่เขาก็ขอตามหาฝันอีกครั้ง ด้วยการเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อที่จะเป็นผู้กำกับ ... เริ่มแรกเขาก็ได้มีโอกาสเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ โดยเขาบอกว่า ชื่อตำแหน่งอาจจะฟังดูหรูหรา แต่จริง ๆ แล้วเขามีหน้าที่กันรถเข้าออกไม่ให้รบกวนการถ่ายทำเท่านั้น แต่ทั้งนี้เขาก็เชื่อว่า ต้องมีสักวันที่เขาต้องได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับตัวนั้นอย่างแน่นอน

          ผ่านไปสองปี โอกาสก็วิ่งมาหาเขาอีกครั้ง เมื่อเขานั่งตอกตะปูทำฉากในการถ่ายทำโฆษณาเรื่องหนึ่ง ก็มีคุณหน่อง อรุโณชา ภาณุพันธ์ ได้เดินทางมายังกองถ่าย เมื่อเห็นเขาก็คงคิดว่า เขาเป็นคนทำฉากธรรมดา เลยทักทายพูดคุยกัน โดยคุณหน่องถามว่า เขาทำงานตำแหน่งอะไร เมื่อ พิง ลำพระเพลิง ตอบไปว่า เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ คุณหน่องก็เลยบอกว่าขยันดีนะ จากนั้นก็ถามว่า เขียนบทละครได้ไหม เมื่อเขาได้ยินดังนั้น ก็กล่าวตอบทันทีว่า เขียนได้ เขียนเก่งด้วย จากนั้นคุณหน่องก็ติดต่อมาให้เขียนบทละคร "ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย" ซึ่งอีกสองวันต่อมา ตนก็เขียนเรื่องย่อของละครจนเสร็จ คุณหน่องก็ชอบ และนำไปทำละคร ส่วนละครเรื่องนี้เรตติ้งดีถล่มทลาย

          หลังจากนั้น พิง ลำพระเพลิง งานก็ไหลมาเทมา ได้เขียนบทไปเรื่อย ๆ จนประมาณปีที่ 5 จู่ ๆ ก็มีทีมงานจาก บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ติดต่อมาว่า ให้กำกับละครเรื่อง "ผู้กองยอดรัก" ให้หน่อย เวอร์ชั่น หนุ่ม ศรราม และ ติ๊ก กัญญารัตน์ เป็นพระ-นาง เนื่องจากว่า ติดต่อผู้กำกับไป 9 คน ไม่มีใครตกลงรับกำกับเลย จึงโทรมาหาเขา เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็น้อยใจ แต่วันรุ่งขึ้นก็ออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ เพื่อไปเปิดกองในฐานะผู้กำกับละคร ส่วนเรตติ้งของละครเรื่องนี้คงไม่ต้องพูดถึง ถือได้ว่าดังสุด ๆ ฉุดไม่อยู่ในสมัยนั้น

พิง ลำพระเพลิง

          หลังจากที่กำกับงานละครได้สักพัก เขาก็กลับมาตามหาฝันของตนเองด้วยการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ตอนแรกเขายื่นบท "รักโคตรโคตร" ไปให้เสี่ยเจียง ซึ่งเสี่ยเจี่ยงก็ชอบ แต่บอกให้โน้ส อุดม มาเล่นแทน ตอนนั้นเขาอยากเล่นภาพยนตร์ที่เขาเขียนบทเองมาก จนเอ่ยปากไม่ขอค่าตัว ไม่ขอค่ากำกับ ไม่ขอค่าบท เรียกได้ว่า ทำให้ฟรี ๆ เลย ถ้าถามว่า ทำไมเขาถึงไม่รับค่าตัวแทนการแสดงเองนั้น เขาบอกว่า เขาอยากให้ภาพยนตร์มันถ่ายทอดทุกอย่างออกมาจากตัวเขาเอง และเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ต้องการแล้วด้วย 

          ส่วนก้าวต่อไปของ พิง ลำพระเพลิง เขากำลังจะทำ วันแมนโชว์ โดยเขากล่าวว่าที่ทำก็เพราะอยากทำ ถึงแม้ว่าจะมีคนดูไม่ถึง 20 คนก็ตาม แต่หลังจากงานวันแมนโชว์แล้ว เขาก็จะมาลุยเขียนบทภาพยนตร์ต่อไป 

          พร้อมกันนี้ พิง ลำพระเพลิง ยังทิ้งท้ายไว้ว่า ... เมื่อคนอื่นนั่ง เราต้องยืน เมื่อคนอื่นยื่น เราต้องเดิน เมื่อคนอื่นเดิน เราต้องวิ่ง เพราะโลกนี้มันแข่งขันกันแบบแพ้คัดออก ทุกวันโลกมันหมุนไปข้างหน้า ถ้าเราแพ้ปุ๊บ แล้วมัวแต่นั่งจมอยู่กับความเศร้า มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา 



คลิป  The idol - พิง ลำพระเพลิง


เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
มุมมองชีวิตคิดบวก แบบฉบับ พิง ลำพระเพลิง โพสต์เมื่อ 6 มิถุนายน 2555 เวลา 16:20:57 2,285 อ่าน
TOP
x close