x close

แย้ นนทพร เผยศัลยกรรมทุกขั้นตอน แบบเจาะลึก!


แย้ นนทพร


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการวีไอพี โพสต์โดย คุณ DuangAesthetic สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม, Instagram yae_uunws

            ในวงการพริตตี้นั้น หากเอ่ยถึงชื่อ "แย้ นนทพร ธีระวัฒนสุข" หนุ่ม ๆ หลายคนคงจะคุ้นหู บ้างก็เคยเห็นหน้าเห็นตากันมาบ้าง หรือบางคนอาจจะเป็นแฟนคลับของเธอก็เป็นได้ เพราะสาวแย้ เป็นถึงพริตตี้ระดับท็อปของเมืองไทย ไม่ว่างานไหน ๆ ก็จะเห็นเธอมาอวดโฉม ยิ้มหวาน สู้กล้อง พรีเซ็นต์สินค้าอยู่เสมอ ๆ ... แต่กว่าที่สาวแย้จะมายืนเป็นพริตตี้แถวหน้าของวงการได้ เธอต้องผ่านการศัลยกรรมมากว่า 5 ครั้ง ฉีดโบท็อกซ์มากว่า 10 ครั้ง ซึ่งการเจ็บตัวของเธอนั้นก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม เพราะการศัลยกรรมเรียกได้ว่าเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเธอเลยทีเดียว โดยในวันนี้เราขอนำเรื่องราวการศัลยกรรมของสาวแย้ นนทพร ในรายการวีไอพี (17 กันยายน) มาให้ได้ชมกัน เราไปดูกันซิว่า กว่าจะสวยติดระดับท็อปขนาดนี้ เธอทำศัลยกรรมส่วนไหนมาแล้วบ้าง...

            เริ่มต้นรายการด้วยการนำภาพก่อนที่สาวแย้จะทำศัลยกรรมมาให้ชมกัน แต่ก่อนทำศัลยกรรมต้องบอกเลยว่า เธอมีใบหน้าที่สวยใสตามธรรมชาติอยู่แล้ว โดยสาวแย้ออกตัวก่อนเลยว่า ภาพที่เห็นนี้เป็นภาพตอนปี 2550 ซึ่งเธอได้เลือกจากพันกว่ารูปเอามาให้ชมกัน จริง ๆ แล้ว เธอมีใบหน้าที่บานมาก และตาก็หมวย ๆ จมูกแบน ๆ ดูไร้มิติ ส่วนปากบนใหญ่เกินไป สมัยก่อนเวลาถ่ายรูป ตนต้องจิกปากบนเพื่อให้ยิ้มแล้วดูปากเป็นกระจับได้รูป

แย้ นนทพร

            แต่ก่อนที่จะพิธีกรจะดำเนินรายการต่อ ก็ขอถามสาวแย้ถึงที่มาที่ไปของชื่อเล่น อย่าง "แย้" เพราะคิดว่าคงไม่มีพ่อแม่คนไหนตั้งชื่อลูกชื่อนี้ตั้งแต่เห็นหน้าแวบแรก โดยสาวแย้ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า จริง ๆ แล้ว ตนชื่อนนท์ มาจากนนทชัย (พิธีกรอึ้ง) สาวแย้หัวเราะแล้วก็กล่าวต่อว่า จริง ๆ ตนชื่อ นนทพร ไม่มีชื่อเล่น ที่บ้านก็เรียกนนท์ ๆ มาตลอด ต่อมาสมัยที่ตนเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ที่ ม.ศิลปากร ตอนรับน้อง รุ่นพี่เขาสั่งให้ตนทำอะไร ตนก็เต้นสะบัด ทำเต็มที่แบบสุด ๆ ชนิดไม่กลัวเขิน กลัวอาย จนได้ฉายาว่า "แย้" เพราะตนเต้นแล้วท่าทางเหมือนแย้มาก ๆ จากนั้นพอเวลาที่ต้องเขียนป้ายชื่อ ก็เลยเขียนชื่อ แย้ เพราะอยากจะมีชื่อเล่นมานาน แล้วชื่อนี้ก็ถูกโฉลกกับตนมาก ๆ ด้วย
 
            ส่วนปัจจุบัน สาวแย้ได้ทำงานหลายอย่าง เรียกว่าขยันมาก ๆ เลยทีเดียว โดยเธอเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้เธออายุ 25 ปี และกำลังเรียนปริญญาโท MBA มหาวิทยาลัยแสตมป์ฟอร์ด ซึ่งงานพริตตี้เธอไม่ได้ทำมาพักหนึ่งแล้ว แต่มารับงานพวกถ่ายแบบ ถ่ายซีรีส์ และเป็นเลขาฯ ของคุณหมอ ให้คำแนะนำเพื่อน ๆ ที่ต้องการศัลยกรรม อีกทั้งยังไปแชร์เรื่องราวการใช้ผลิตภัณฑ์แบบเล่าสู่กันฟังในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ส่วนสมัยก่อนตอนที่ตนเป็นพริตตี้ ก็เรียกได้ว่ามีงานเข้ามามากมาย งานหนึ่งจ้างประมาณ 3 - 5 พันบาท และบางวันก็มีถึง 3 งาน ถือได้ว่าเป็นพริตตี้ที่ค่อนข้างฮอตในสมัยนั้นมาก ๆ

แย้ นนทพร

            ย้อนกลับมาถึงเส้นทางการศัลยกรรมของสาวแย้กันบ้าง โดยเธอเล่าให้ฟังว่า ตนเป็นเด็กต่างจังหวัด เรียนคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ จ.นครปฐม พอช่วงปี 2 ตนได้มาเที่ยวผับกับเพื่อน ๆ ที่ย่านเอกมัย ตนก็ตื่นตะลึงในความสวยของสาวชาวกรุง (หัวเราะ) เพราะแต่ละคนขาวสวยดั้งโด่งกันหมด ตนเลยคิดว่า ทำไมตนไม่สวยแบบนี้บ้าง และตนก็อยากจะเก่ง และสวยมาก ๆ ในคนเดียวกัน เลยเริ่มคิดที่จะศัลยกรรมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

            จุดแรกบนใบหน้าที่สาวแย้คิดว่าเป็นจุดบกพร่องและต้องการแก้ไขเป็นอันดับแรก นั่นก็คือ จมูก โดยสาวแย้ บอกว่า จมูกมันเป็นสิ่งที่ตนขาดมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เลยอยากจะทำจุดนี้ก่อน แต่ทั้งนี้ในสมัยก่อนสถาบันศัลยกรรมความงามนั้น ยังมีไม่ค่อยเยอะเท่าไร พอดีตนรู้จักกับพี่คนหนึ่งในสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเขาแนะนำให้ไปทำ ส่วนที่บ้านตนก็ปรึกษาเรื่องการทำจมูกมาตลอด แต่เขาไม่อนุญาต ตนก็เลยตัดสินใจแอบไปทำเองไม่ให้เขารู้ ถ้าถามว่า ตอนนั้นตนเพิ่งเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ทำไมถึงมีเงินไปทำศัลยกรรม อันนี้ตนต้องขอบคุณคุณแม่ ที่เอาเงินไปลงทุนตลาดหลักทรัพย์ เลยทำให้ตนมีเงินเก็บพอสมควร

            สาวแย้ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ทำเสร็จ ตนชอบมาก พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะจมูกดูสวยโด่งเป็นธรรมชาติ และพอทำเสร็จก็ได้งานเข้ามาเลย เป็นนางเอกโฆษณาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งมีคนแคสเยอะมาก แต่ตนไปแคสครั้งแรก แล้วก็ผ่านเลย สำหรับการทำศัลยกรรมในครั้งนี้ ก็มีคนเข้ามาจีบบ้าง แต่ทั้งนี้ก่อนที่ตนจะทำก็มีมาจีบอยู่แล้ว (หัวเราะ) ซึ่งการทำศัลยกรรมของตน ไม่ได้ทำเพื่อให้คนมาจีบ แต่ทำเพื่อเสริมความมั่นใจให้ตนเองมากกว่า

            หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความที่ว่าเทรนด์มันเปลี่ยนไป แล้วเพื่อน ๆ แต่ละคนเวลาไปทำจมูกก็ขอหมอแบบโด่งเวอร์ ๆ ส่วนพอกลับมาดูตนเองแล้ว ตนคิดว่ามันยังโด่งไม่พอ เลยตัดสินใจทำอีก โดยเพิ่มปลายจมูกให้ยาวขึ้น และการเพิ่มครั้งนี้ จากหน้าแบ๊ว ๆ หวาน ๆ ก็เปลี่ยนเป็นหน้าตาเซ็กซี่ไปเลย และงานถ่ายแบบแนว ๆ เซ็กซี่ก็เข้ามา นอกจากนี้ เมื่อหน้าตาตนเซ็กซี่แล้ว แต่รูปร่างตนนั้น เรียกว่าแบนเหมือนไม้กระดาน ตนเลยตัดสินใจไปทำหน้าอก โดยเลือกการผ่าตัดยัดซิลิโคนเข้าที่รักแร้ และบอกหมอว่าขอให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่เนื้อของตนจะรับไหว แต่ทั้งนี้ด้วยพ่อแม่ให้มาน้อย ขนาดเสริมเต็มที่แล้ว ยังได้เพียงแค่ไซส์ 32C

            และหนนี้นี่เองที่บ้านของสาวแย้ จับได้ว่าเธอไปทำศัลยกรรมมา เนื่องจากเธอเดินพยุงหน้าอกแบบหนีบ ๆ เข้าบ้านนั่นเอง โดยเธอกล่าวว่า ตอนที่ยังไม่ทำหน้าอกนั้น เธอก็ใส่ชุดนักศึกษาแบบพอดีตัว แต่คราวนี้เมื่อทำแล้วต้องเปลี่ยนชุดใหม่หมดเลย เพราะยัดไม่เข้า และพอกลับบ้านมาทีก็กังวล เพราะมันจะดูใหญ่โดดเด้งเกินไป เลยพยายามเอาแขนหนีบระหว่างตัว เดินหลังค่อมเข้าบ้าน งานนี้พ่อแม่เลยจับได้โดยปริยาย (หัวเราะ) แต่ทั้งนี้พ่อแม่ของเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะจะให้เอาออกก็คงเรื่องใหญ่

            สาวแย้ กล่าวต่อว่า พอทำหน้าอก กับจมูก งานก็เข้ามาอีกมากมาย และจุดนี้นี่เองที่ทำให้เธอได้ทำงานพริตตี้เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นงานของบริษัทปูนแห่งหนึ่ง โดยได้ค่าตัววันละ 2,500 บาท ทำทั้งหมด 6 วัน ถือว่าเป็นเงินที่เยอะมากสำหรับตนในช่วงวัยเรียน ก็เลยรีบรับและก็ได้งานพริตตี้มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นอกจากนี้ ตนก็ยังได้งานถ่ายแบบพอร์ตเทรตของพี่ ๆ ตากล้องที่จ้างพริตตี้ไปลองกล้องด้วย

แย้ นนทพร

            แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ สาวแย้ก็อยากจะแก้ส่วนที่บกพร่องของตัวเองอีก โดยไปทำลักยิ้มเพิ่มเพราะอยากหน้าหวาน และแก้หนังตาบนเพื่อให้ยิ้มออกมาตาไม่หยี ดูไม่เป็นอาซิ่ม แต่ด้วยรูปหน้าของเธอไม่เหมาะกับการทำตาสองชั้น เธอเลยขอให้หมอทำแบบไม่ต้องเยอะเท่าไร ต่อมาต้นปีเธอได้โมดิฟายใหม่ทั้งหน้า เรียกได้ว่าเปลี่ยนโฉมให้สวยเป๊ะสุด ๆ เลยทีเดียว โดยเธอได้ไปแต่งจมูกใหม่ ด้วยการเอากระดูกอ่อนหลังหูมาใส่ปลายจมูกให้โค้งกลมมนสวยแบบธรรมชาติ อีกทั้งยังไปทำปากบนให้บางลงอีก

            ทั้งนี้ สาวแย้ กล่าวต่อว่า ส่วนราคาที่ทำทั้งหมดนั้น ก็ประมาณแสนกว่าบาท แต่เธอทำฟรี!! เพราะคุณหมอที่เป็นศัลยแพทย์ให้เธอนั้น เป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจของเธอนั่นเอง โดยคุณหมอนพรัตน์ รัตนวราห กล่าวว่า แนวทางการทำปากบางนั้น ต้องดูที่องค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อย่างบางคนเหงือกเยอะถ้าทำแล้วยิ้มเห็นเหงือก ตนก็จะไม่ทำให้ เป็นต้น

            ถามทางด้านสาวแย้ว่า ทำศัลยกรรมเยอะขนาดนี้ คิดว่าตัวเองเสพติดการทำศัลยกรรมหรือไม่ เจ้าตัวกล่าวว่า ตนไม่คิดว่าตนติด เพราะถ้าเสพติดเราก็คงต้องส่องกระจกบ่อย ๆ และคิดว่าอยากจะทำนู่น ทำนี่เพิ่มเติม แต่ตอนนี้ตนพอใจแล้ว ถึงแม้อยากจะทำคางเพิ่ม แต่คุณหมอห้ามไว้บอกว่าหน้าตนสมส่วนแล้ว

แย้ นนทพร

            ขณะที่คุณหมอ กล่าวต่อว่า โดยรวมใบหน้าของแย้นั้น ถือว่าดี เพราะได้รูป หน้าผาก จมูก และคาง เป็น 1:3 เรียกได้ว่าบาลานซ์แล้ว ส่วนการเสพติดศัลยกรรมนั้น เป็นโรคอย่างหนึ่งที่มีชื่อทางการแพทย์เลย ซึ่งโรคนี้เกิดจากความคิดของคนไข้ที่ทำเท่าไรก็ยังไม่พอใจสักที สวยขนาดไหนก็ยังไม่เพอร์เฟคท์ โดยแพทย์ทุกคนก็จะต้องสังเกตคนไข้และระวังในเรื่องนี้

            อย่างไรก็ตาม นอกจากในวันนี้ จะมีเรื่องราวการทำศัลยกรรมพลิกชีวิตของสาวแย้มาแชร์ให้ได้ทราบกันแล้ว คุณหมอยังมีเรื่องราวอุทาหรณ์ของ น้องส้ม วรประภา อ่อนประไพ ที่ฉีดฟิลเลอร์โดยหมอกระเป๋าจนทำให้เธอเกือบเสียโฉม

แย้ นนทพร

            โดยน้องส้ม ได้เล่าเรื่องราวให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้เป็นพริตตี้มาเหมือนกัน ก็ได้เจอพี่แย้ตามงานบ้าง ส่วนการฉีดฟิลเลอร์ในครั้งนี้ เป็นเพราะพี่ ๆ พริตตี้เขาชวนไปฉีด ตนอยากจมูกสวยก็เลยตามไปฉีดกับเขาบ้าง ซึ่งจ่ายไปเข็มละ 2 พันบาท ทั้งนี้ หมอที่มาฉีดเขาจิ้มเข็มเข้าไปที่ปลายจมูก และสันจมูก จากนั้นก็ปั้น ๆ จนได้รูป เรียกได้ว่าตอนแรกสวยถูกใจมาก ๆ แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี จมูกของตนก็เริ่มโตขึ้น ๆ ซิลิโคนมันไหลลงมาที่ปลายจมูก และเวลายิ้มมันก็จะดูเหมือนคนจมูกบาน

            ส่วนคุณหมอ กล่าวถึงเคสของน้องส้มว่า ถือได้ว่ายังเป็นเคสที่พอแก้ได้ แต่ก็ต้องสูญเสียเนื้อบางส่วนไป เพราะฟิลเลอร์ที่ฉีดนั้น อาจจะมาจากน้ำมัน ซิลิโคนเหลว หรืออะไรก็ตาม ไปเกาะตัวเป็นผังผืด ทำให้เม็ดเลือดขาวกัดกิน และไหลเข้ามารวมกันตรงปลาย ซึ่งบางคนก็ไหลขึ้นหน้าผาก บางคนฉีดคางก็ไหลลงคอ เป็นต้น

แย้ นนทพร

แย้ นนทพร

            สำหรับการแก้ไขจมูกให้น้องส้มนั้น คุณหมอ บอกว่า บางคนอาจแก้แล้วไม่โชคดีเหมือนน้องส้มก็ได้ ส่วนตอนแก้นั้น ตนฉีดยาชาตามปกติ และค่อย ๆ เอาสารแปลกปลอมออกมาซึ่งก้อนใหญ่เป็นยวงเลย และต้องค่อย ๆ เลาะผังผืดออก แต่ทั้งนี้ เนื้อบางส่วนก็หายไป ตนต้องใส่ซิลิโคนเพิ่มเพื่อทดแทนรูปจมูกให้กลับมาสวยเหมือนเดิม หรือสวยตามสั่ง

            อย่างไรก็ดี คุณหมอกล่าวต่อว่า สำหรับการทำศัลยกรรมนั้น แพทย์ทุกคนจะต้องเรียนเรื่องโครงสร้างหน้าของแต่ละคน ว่าโครงสร้างที่สวยงามเป็นอย่างไร กว้างเท่าไร องศาเท่าไรถึงจะสวย หากคนไข้บางคนฝืนอยากได้โด่งเพิ่ม หรือคางยาวเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่เนื้อไม่พอ โครงสร้างไม่ได้ แพทย์ทุกคนก็ไม่ทำให้อย่างแน่นอน

            ท้ายนี้ คุณหมอขอฝากเตือนไปยังคนที่คิดจะทำศัลยกรรมว่า ทุกอย่างมันเกิดข้อผิดพลาดได้เสมอ และทุกคนใช่ว่าจะทำได้สวย จึงไม่อยากให้คาดหวังเยอะ และอยากให้ศึกษาข้อมูลมาอย่างดี และขอให้ทุกคนที่คิดจะฉีดฟิลเลอร์โดยหมอกระเป๋า ให้ล้มเลิกความคิดนี้เสีย เพราะมีแต่ผลเสียตามมา และอาจจะแก้ไม่ได้ทำให้เสียโฉมถาวร พลิกชีวิตไปอย่างไม่คาดคิดก็เป็นได้









เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แย้ นนทพร เผยศัลยกรรมทุกขั้นตอน แบบเจาะลึก! อัปเดตล่าสุด 20 มกราคม 2559 เวลา 11:12:43 21,038 อ่าน
TOP