x close

ทะนุถนอมเรียวเท้า ให้คงอ่อนเยาว์



ทะนุถนอมเรียวเท้า ให้คงอ่อนเยาว์ (Lisa)

          ที่อินเดียมีความเชื่อเก่าแก่อยู่อย่าง หนุ่มใดต้องการชนะใจหญิงที่หมายปอง ให้ไปทำพิธีบางอย่างบนรอยเท้าของเธอ รอยเท้าก็เช่นเดียวกับรอยพิมพ์เจ้าของดุจรูปรอยวิญญาณของกันและกัน

แต่น่าแปลก ผู้หญิงมักละเลยการดูแลเท้า

          ผู้คนทั่วทวีปอินเดียยังเชื่อว่า เท้าได้พลังงานจากพื้นดิน เช่นเดียวกับรากของต้นที่ดูดพลังชีวิตจากดิน ความเชื่อเช่นนี้มีมานานกว่าห้าพันปี จึงก่อให้เกิดวัฒนธรรมเดินเท้าเปล่าตั้งแต่นั้น และดูเหมือนการเดินเท้าเปล่าจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันไม่ใช่เฉพาะในอินเดียเท่านั้น แต่แทบจะทั่วทั้งในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

         "คนเอเชียชอบเดินเท้าเปล่าในบ้าน เป็นปัจจัยหนึ่งในหลายปัจจัยที่ทำให้ส้นเท้าแตกและหยาบกร้าน" เภสัชกรอภิรดี ขจรขรรคเพชร กล่าว เธอเป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์และฝึกอบรมของครีมถนอมเท้า Ellgy Plus "จากการสำรวจในมาเลเชียโดยการสอบถามประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงมีปัญหาส้นเท้าแตก"

          "การเดินเท้าเปล่า เป็นการเปิดเท้าให้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมและมลภาวะโดยตรง แม้แต่พื้นบ้าน โดยเฉพาะพื้นซิเมนต์จะดูดความชื้นเข้าหาตัว ผิวเท้าสูญเสียความชุ่มชื้นขณะเดินไปโดยเราไม่รู้ตัว" เธออธิบาย "หรือสาวออฟฟิศ ที่ไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ทำงานในห้องแอร์ ใส่รองเท้าเปิดส้น อากาศในห้องแอร์มีความชื้นสัมพันธ์ต่ำมาก" และคุณอาจไม่รู้ว่า ความชื้นสัมพันธ์ในตึกติดแอร์บางแห่งต่ำกว่าความชื้นในทะเลทราย ผิวจึงต้องสูญเสียความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา "ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ผิวเท้ายังต้องรับน้ำหนักตัวเราด้วยการกดกระแทกตลอดเวลาทั้งวัน" และนั่นเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ส้นเท้าแตกในทัศนะของเธอ

          ขณะที่แพทย์ผิวหนัง รศ.พรทิพย์ หุยประเสริฐ แห่งคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่ากรรมพันธุ์มีส่วนพอ ๆ กับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป เมื่อผู้หญิงใช้ชีวิตอยู่ในห้องแอร์แทบทั้งวัน

          "ผิวจะแห้งหรือมัน เป็นกรรมพันธุ์ หมอเองก็เท้าแตก" คุณหมอพูดยิ้ม ๆ ดูไม่ใช่ปัญหาโลกแตกอะไร เธอบอกว่า ผิวหน้ามีต่อมไขมันคอยผลิตน้ำมันออกมาปกป้องผิวไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้น "แต่ฝ่ามือฝ่าเท้าไม่มีขน ไม่มีต่อมไขมัน มีแต่ต่อมเหงื่อ"

          ผิวเท้าจึงเป็นส่วนที่สูญเสียความชุ่มชื้นง่ายสุด แต่ได้รับการดูแลน้อยสุด อย่างน้อยก็ง่ายกว่าผิวส่วนอื่นที่มีต่อมไขมันช่วยผลิตน้ำมันเคลือบผิว

          "และยังเกิดกระแสบริโภคนิยม ใช้โน่นใช้นี่ สะอาดมาก บางคนล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ล้างเท้าวันละไม่รู้กี่ครั้ง ย่ำนั่นย่ำนี่ มีคราบสกปรก ล้างบ่อย เท้าก็เลยยิ่งแห้ง" คุณหมอพรทิพย์พูกึ่งบ่น

          "ส้นเท้าพอแห้งแตกเป็นร่อง สิ่งสกปรกจะเข้าไปอยู่ตามร่อง ก็ต้องล้าง ทั้งขัดทั้งถู ก็ดูสะอาดชั่วคราว แต่นั่นเป็นการรบกวนผิวอย่างยิ่ง ผิวจะซ่อมแซมตนเองก็ทำไม่ได้ ความชุ่มชื้นยิ่งระเหยไปใหญ่ ผิวที่แย่อยู่แล้วแตกอยู่ก็แตกยิ่งขึ้น"

          ที่สำคัญ ผิวยิ่งได้รับขัดถูแรง ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน กลไกป้องกันตนเองตามธรรมชาติ จะกระตุ้นให้ผิวเท้าหยาบขึ้น แข็งขึ้น แทนที่จะนุ่มละมุนอย่างผิวเด็ก การขัดผิวเท้ารุนแรงด้วยหินภูเขาไฟ หรือใช้มีดปาดผิวด้าน ๆ ตามส้นเท้าที่บางคนชอบทำกันไม่เพียงเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จะยิ่งกระตุ้นให้ผิวด้านและหนากว่าเดิมในภายหลัง

ปกป้องผิวเท้าคุณเช่นไร

          เริ่มจากปกป้องเท้าอย่าให้สูญเสียความชุ่มชื้นโดยไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการล้างเท้า หรือย่ำน้ำโดยไม่จำเป็น เลี่ยงการเดินเท้าเปล่า ใส่รองเท้าผ้าขณะอยู่ในบ้าน เพื่อลดการเสียดสีกับพื้นแข็ง การใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าหุ้มส้นเสมอก็มีส่วนลดปัญหาส้นเท้าแตก

          "ผู้ที่มีปัญหาเท้าแตก แนะนำให้ใส่รองเท้าหุ้มส้นสักพักอาการก็จะดีขึ้น หรือไม่ก็ใส่สลับกับรองเท้าเปิดส้นก็ยังดี" คุณหมอพรทิพย์เน้น “กรณีที่ส้นเท้าแตกมาก ๆ เป็นร่อง เวลาเดินเจ็บจริง ๆ แนะนำให้ปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง  คนไข้ได้ยินเราแนะนำเช่นนั้น ตอนแรกก็ผงะค่ะ แต่พอเจ็บมาก ๆ ก็ลองทำดู แล้วกลับมาบอก "จริงๆ ด้วยหมอ"

          "จริง ๆ แล้วกาวตราช้าง ต่อไปเขาจะพัฒนามาปิดแผลผ่าตัด มีการพัฒนาแล้ว กำลังทำอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อไรจะออกมาใช้ได้จริง ๆ"

          "เมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ เราก็จะไปรบกวนผิวไม่ได้ และผิวก็จะมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา ผิวมีการสร้างและผลัดเซลล์ใหม่ตลอดเวลา เขาก็จะสร้าง...สร้าง และค่อย ๆ ผลัดเซลล์หลุดออกไป กาวตราช้างก็จะหลุดออกไป แต่มีข้อแม้ว่าใช้ได้กับคนที่ไม่แพ้กาวตราช้าง คราวนี้คุณจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองไม่แพ้ ถ้าทาไปแล้วไม่มีอาการอะไร ก็แสดงว่าไม่แพ้"

          การปิดผิวส้นเท้าที่แตกด้วยพลาสเตอร์ใสอย่างยี่ห้อ "Opsite" หรือ "Tegaderm" ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่คุณหมอพรทิพย์กำลังลอง พลาสเตอร์กลุ่มนี้ราคาค่อนข้างแพง หาซื้อได้ตามร้านขายยาชั้นนำ หรือที่ร้านสุขภาพบู๊ทส์

          การปิดพลาสเตอร์จะช่วยลดการรบกวนผิวจากภายนอก ทั้งช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้น ผิวจะได้มีโอกาสซ่อมแซมตนเอง

          "ก่อนจะปิด ผิวจะต้องสะอาด แต่ไม่ทาครีม" คุณหมอบอก "อาจทาเบตาดีน แต่ไม่ทาครีม ไม่งั้นปิดไม่อยู่ ปกติใช้ปิดแผลเย็บจากการผ่าตัด แผลถลอก น้ำร้อนลวก จะอยู่ได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง ถ้าเราไม่ไปยุ่ง ไม่ไปแกะออก แผลแตกๆ พอติดปุ๊บ มันจะสบาย"

          นอกจากวิธีดังกล่าว การทาครีมถนอมผิวเท้าทุกวัน เป็นทั้งวิธีป้องกันและรักษาผิวเท้าไม่ให้แตก

เลือกครีมถนอมเท้า

          การทาครีมถนอมเท้าควรทาทั้งเช้าเย็นเช่นเดียวกับการทาครีมบำรุงผิว และทาต่อเนื่องอยู่เช่นนี้เรื่อยไป แม้จะไม่มีปัญหาส้นเท้าแตก

          ผลิตภัณฑ์ปกป้องส้นเท้าแตกอาจแบ่งได้หลายกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะมีซาลิไซลิกแอซิดเป็นส่วนผสมเด่น ส่วนอีกกลุ่มจะมีสารช่วยรักษาความชุ่มชื้นผิวเป็นองค์ประกอบเด่น อย่างพวกยูเรีย กลีเซอรีน กรดไขมัน หรือสารประกอบคาร์โบไฮเดรต ประเภทแซกคาไรด์ไอโซเมอเรต (Saccharide lsomerate) ฯลฯ

          ขณะที่คุณหมอพรทิพย์แนะนำให้ทาขี้ผึ้งซึ่งมีส่วนผสมของซาลิไซลิกแอซิดในตอนกลางคืนและทาครีมบำรุงธรรมดาในตอนกลางวัน

          "การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มซาลิไซลิกแอซิด เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ" เภสัชกรอภิรดีวิจารณ์ "ส้นเท้าที่แห้งและแตก ผิวจะหนาขึ้น การใช้ซาลิไซลกแอซิด จะไปช่วยผลัดผิวให้บางลง พอผิวบางลง ผู้ใช้รู้สึกผิวเท้าดีขึ้น เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ" แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นผิวสูงสุด จะช่วยดูแลผิวให้คงความอ่อนเยาว์ ตั้งแต่ก่อนเกิดปัญหาและช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วด้วย

          เธอยังกล่าวอีกว่า สารให้ความชุ่มชื้นผิวหลาย ๆ ตัวจะทำงานโดยการดูดความชุ่มชื้นจากบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเข้ามาเก็บไว้ในตัว เพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น

          "แต่ถ้าเกิดความชุ่มชื้นในอากาศข้างนอกต่ำ เช่น อากาศในห้องแอร์หรือหน้าหนาว การทำงานของสารกลุ่มนี้ก็จะลดประสิทธิภาพลง ผิดกับสารประกอบประเภทแซกคาไรด์ไอโซเมอเรต จะทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพในทุกสภาวะ เมื่อทดลองเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์การสูญเสียความชุ่มชื้นจะน้อยกว่า"

          ส่วนคุณหมอพรทิพย์เห็นว่า ผลิตภัณฑ์บำรุงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลเส้นผมครีมบำรุงผิว ครีมทาส้นเท้า หรือยา จะเป็นสูตรที่เบสกับซิลิโคน (Silicone Base)

          "ซิลิโคนจะเป็นครีมที่ดีต่อไป แต่ต้องพัฒนาอีกนิด ข้อดีของซิลิโคนคือมีความมันในตัว แต่เราไม่รู้สึกว่ามันเมื่อทา รู้สึกเหมือนซึมหายเข้าไปในผิวทั้งที่จริงยังอยู่ที่นั่น ปกป้องความชุ่มชื้นหรือน้ำให้อยู่ข้างในผิว และความชุ่มชื้นจะออกจากผิวก็ไม่ได้"

          ยังไงผู้หญิงก็ควรมีครีมบำรุงสักขวด ไว้ใช้เป็นส่วนตัวสำหรับเท้าของเธอ






ขอขอบคุณข้อมูลจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ทะนุถนอมเรียวเท้า ให้คงอ่อนเยาว์ อัปเดตล่าสุด 29 กันยายน 2552 เวลา 18:28:53 1,344 อ่าน
TOP