
วิน ธาวิน เยาวพลกุล
ธาวิน หมดสัญญาเจ็ดสี ส่อแววย้ายช่องตาม ป๋อ (ไทยรัฐ)
เปิดใจพระเอกหน้าหวาน วิน ธาวิน เยาวพลกุล ลูกรักเจ็ดสีน้องชาย นาวิน ต้าร์ ถึงมุมมองงานและความรักก่อนที่จะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต...
เรียกว่าเป็นพระเอกเจ้าประจำคนหนึ่งของวิกเจ็ดสี สำหรับ ธาวิน เยาวพลกุล น้องชายของ นาวิน ต้าร์ พระเอกชื่อดังที่รู้จักกันดี ท่ามกลางกระแสดาราย้ายช่อง แท้จริงแล้วนอกจาก ป๋อ ณัฐวุฒิ ยังมี ธาวิน อีกคนหนึ่งที่ใกล้หมดสัญญาเจ็ดสี และอยู่ในช่วงการตัดสินใจ ไทยรัฐออนไลน์ เลยจัดพื้นที่มาอัพเดทของ ธาวิน ซะหน่อย เพื่อไม่ให้ข่าวสารของธาวินเงียบไป นอกจากเรื่องสัญญาช่องแล้วเพื่อไม่ให้เสียเวลาเลยอัพเดทเรื่องหัวใจมาให้แฟนละครได้ดี๊ด๊ากันบ้างตามประสา
ดูพี่ต้าร์เป็นตัวอย่างแล้วเรื่องชีวิตคู่ ตัวเองเมื่อไหร่จะได้คิวเปิดตัว
วิน ธาวิน : ไม่เคยคิดเลยครับ คิดแต่ว่าใช่คงรู้ จริง ๆ ไม่ได้ปิด
ถ้ามีใครที่เราคิดว่าใช่จะพาไปหาพ่อแม่หรือเปล่า
วิน ธาวิน : วินไม่ค่อยเป็นคนที่ซีเรียส พ่อแม่ก็ไม่ได้บอกว่าพอมีสาวต้องพาไปให้ดู ลูกชอบใครพ่อแม่ก็ชอบด้วยอยู่แล้วไม่มีปัญหาอะไร วินก็ไม่ค่อยสนใจปล่อยไปเรื่อย ๆ
สร้างความพร้อมของตัวเองถึงระดับไหนแล้ว 1-5
วิน ธาวิน : เอาแค่ขั้นสองก็แล้วกันเพราะว่าวินรู้สึกว่าวุฒิภาวะวินต้องโตมากกว่านี้ก่อนและก็คิดว่าความพร้อมการงานก็ยังไม่ค่อยมั่นคง ตัววินมองว่างานวงการเป็นงานค่อนข้างน้ำขึ้นให้รีบตักเป็นคำที่ต้องใช้ในวงการ เราก็ไม่รู้ว่าน้ำมันจะลงเมื่อไหร่ เลยรู้สึกว่าอนาคตของเรายังไม่แน่นอน ดาราก็เลยมักจะทำธุรกิจ เพื่อที่จะรองรับเวลาที่เราไม่มีงานแล้ว จะได้มีรายได้อีกทางหนึ่ง
ตอนนี้การเป็นดาราถือว่าเป็นอาชีพเลยไหม
วิน ธาวิน : มันขึ้นอยู่กับคนมองมากกว่าอย่างวินตอนแรกมองว่าเป็นงานอดิเรกช่วงที่เรียน พอเรียนจบมามันกลายเป็นงานหลักเราก็มองว่าอาชีพดารามันเป็นอาชีพได้ มันก็ขึ้นอยู่กับเลือกว่าเราอยากจะทำอะไร เราก็มาสองทางด้วยกึ่ง ๆ เรียนมาก็จบมาจับพลัดจับพลูได้เล่นละคร ผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าถามว่าจะทำไปตลอดไหมคิดว่าไม่ตลอดแต่จะเลิกเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้
แสดงว่าตอนนั้นโอกาสที่เราคว้าไว้เป็นโอกาสพิเศษ
วิน ธาวิน : ไม่รู้สึกว่าชีวิตเรามีหลายทางเลือก ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกไปทางไหนแต่วินก็เชื่อส่วนหนึ่งว่าตรงจุดนี้วินตัดสินใจถูกไหม ก็คิดว่าถูกเพราะว่าตัวเราก็โตขึ้นเยอะจากการทำงานและก็ได้ประสบการณ์ ได้เจอคน ได้ทำอะไรที่หลายอย่างที่คิดว่าตัวเราจะทำไม่ได้ ถ้าเก็บเงินได้ซักก้อนหนึ่งก็จะทำธุรกิจอะไรสักอย่างได้ดี ๆ แต่วินก็ไม่เสียใจถ้าวันนั้นวินไม่ตัดสินใจไม่เลือกล่นละคร ตอนนี้เราเลือกมาแล้วเราก็มองเห็นข้อดีว่าเราเลือกมาเพราะว่ามีข้อดีตั้งหลายอย่าง เราก็ไม่ได้มองถึงข้อเสียที่ผ่านมามองไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นแต่ถ้าถึงวันก่อนหน้านั้นวันที่เลือกจะมาเป็นนักแสดงเต็มตัววินก็คงมองแบบเดียวกันว่าคงคิดถูกแล้วน่ะที่เราไม่ทำเพราะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ในเมื่อมันผ่านมาแล้วคุณก็คิดในแง่ดีให้มันมีความสุขดีกว่า แทนที่จะมองว่าเราเสียอะไรไปบ้าง ชีวิตก็จะมีแต่เสียกับเสีย
ชีวิตเราทุกอย่างที่เข้ามาให้มองว่าสดใสสบาย ๆ ในแบบของตัวเอง
วิน ธาวิน : คือพอเริ่มอายุมากขึ้นหน่อย ก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นใคร คนอื่นจะมองเราอย่างไร มันขึ้นอยู่กับว่าเรามองยังไงมากกว่าเราตัดสินยังไง การที่เรามีชื่อเสียงมาก มีเงินทองมาก มีฐานะทางสังคมที่ดีเป็นใหญ่เป็นโตมันเป็นทางเลือกที่ดีไหม เรามองมันยังไง สุดท้ายแล้วคนเราก็มองไม่เหมือนกันบางคนชอบที่จะเป็นนักร้อง ชอบที่จะเป็นนักแสดง ชอบที่จะเป็นนักธุรกิจ แตกต่างกัน ส่วนตัววินมันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนชอบอะไรเพราะฉะนั้นความสุขของแต่ละคนก็ออกมาไม่เหมือนกัน พอโตขึ้นก็มาคิดว่าความสุขของเราคืออะไรล่ะ เราก็เลยพยายามมองโลกให้มีความสุขไงครับ ตัววินอยากจะไปเรียนเมืองนอกแต่ส่วนหนึ่งก็เป็นห่วงงานด้วย ถ้าเราไปเมืองนอกกลับมาก็คงไม่ได้มาเล่นละครแล้วมั้งถ้าอย่างนั้นมันก็หายไป แต่ถ้าในเมืองไทยมันก็ทำงานไปด้วยได้เรียนตอนกลางคืนหรือเสาร์อาทิตย์
ถ้าเรียนโทจะเรียนสาขาไหน
วิน ธาวิน : อยากเรียนด้านบริหาร ส่วนใหญ่เค้าต้องมีประสบการณ์ 2 ปีแต่วินไม่มี ก็อาจจะไปเรียน แมเนจเม้นท์แทนก็ได้เหมือนกัน
คุยกับพี่ต้าร์บ้างไหมเค้าแนะนำบางหรือเปล่า
วิน ธาวิน : ไม่หรอกครับแล้วแต่คนอยากจะไปมากกว่า อย่างพี่ตาร์ก็เรียนที่อเมริกา พี่สาววินเรียนที่อังกฤษ บ้านวินก็ส่งเสริมให้เรียนโทอยู่แล้วเพราะว่าอยากให้ไปเรียนแต่ตัววินก็ยังทำงานในวงการมีละครมีงานที่ต่อเนื่องก็เลยไม่ค่อยมีเวลาไปทำอย่างอื่น
ดูท่าทางจะไม่ใช่ในปีสองปีนี้ใช่หรือเปล่า
วิน ธาวิน : ไม่แน่นะครับ เพราะหลายคนจะถามว่าหมดสัญญาภายในปีนี้แต่มีข่าวออกมาว่าอยู่ ๆ จะไปเลย จริง ๆ ยังไม่แน่ไม่นอนครับ
จะใช้ทุนตัวเองหรือทุนแบบพี่ต้าร์
วิน ธาวิน : คือถ้าเรามีโอกาสหาทุนได้เราก็อยากคือตัววินเองก็สามารถส่งตัวเองเรียนได้ในระดับหนึ่งแต่ถ้าทั้งหมดเลยคงต้องใช้เงินเยอะเหมือนกัน แต่ถ้าเราไปรบกวนเงินคุณพ่อคุณแม่เค้าก็มีเงินส่งเหมือนกันแต่ด้วยความที่เราทำงานเองเราก็ไม่อยากไปรบกวนเงินท่านเรียน แต่ถ้ามีทุนแล้วความสามารถเราถึงก็น่าขอ
สัญญาที่เหลืออีกปีหนึ่งผู้ใหญ่เตรียมเรียกคุยหรือยัง
วิน ธาวิน : จริง ๆ ก็มีเรียกเข้าไปคุยแล้ว เรื่องต่อสัญญากับทางช่อง 7 คือใครที่เหลือปีนึงจะหมดก็เรียกเข้าไปคุยครับ จริง ๆ ก็ได้คุยแล้ว ก็คุยเรื่องการทำงานที่ผ่านมาเป็นยังไง ตัววินก็ยังไม่ได้ให้คำตอบชัดเจนว่าจะต่อไหมขอเวลาตัดสินใจขอไปคิดก่อน
อีกครึ่งปี เรารู้สึกว่าเราจะมองงานละครที่ช่องจะมีให้หรือเปล่า
วิน ธาวิน : คือตัววินตั้งต้นการทำงานในวงการเกิดจากที่ว่าเราทำไปด้วยเรียนไปด้วยแต่วินเลือกเรียนมาก่อนอันดับ 1 อันดับ 2 เป็นการทำงาน งานนี้วินคิดว่าเป็นงานอดิเรกที่ทำตอนที่วินไม่ได้เรียน แต่เรื่องเรียนวินก็ไม่ให้เสีย แต่พอมาเรียนจบมามันไม่ใช่อย่างนั้นครับ พอเรียนจบมามันกลับไม่ใช่อย่างนั้นมาทำงานเต็ม ๆ เลย 100 % มันเป็นจุดที่วินมาคิดว่านี้คือชีวิตที่วินต้องการหรือ วินชอบไหม ก็ต้องมาตัดสินใจว่าอยากทำอาชีพนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แล้วอนาคตเราจะเป็นอย่างไงหรือว่าลองเรียนดู ไปหางานทำ อนาคตยังไม่แน่ไม่นอน วินว่าเป็นความสับสนในตัวเองมากกว่า
มีช่องอื่นมาทาบทามให้มาเล่นละครหรือเปล่า
วิน ธาวิน : ยังไม่มีครับ
เป็นเพราะละครเราได้เล่นหลายบทบาทหรือเปล่าจึงทำให้เรายังตัดสินใจไม่ได้
วิน ธาวิน : ไม่ใช่หรอกครับ วินว่าอย่างที่บอกว่ามันเป็นปัญหาจากตัวเราเองก็ได้ ว่าอยากทำอะไรตอนนี้ วินก็มาทำหน้าที่เป็นนักแสดงเต็มที่แล้ว อยากจะหาอย่างอื่นทำบ้าง
เป็นงานประจำหรือเปล่า
วิน ธาวิน : ถ้าหางานประจำทำก็คงเล่นละครไม่ได้แล้ว อยากจะหาอาชีพอื่นเสริมทำมากกว่า
เล็งไว้หรือยังว่าจะเป็นแนวไหน
วิน ธาวิน : ยังครับแต่วินมีร้านส่วนตัวเป็นบริษัทดำน้ำกับพี่ชายก็ชอบกีฬาดำน้ำอยู่แล้วพี่ชายมีบริษัทก็ชวนเรามาหุ้นด้วยก็เลยหุ้นด้วย ก็ดีครับได้ดำน้ำไปด้วย
มีหุ้นแค่กับพี่ชายหรือเปล่า
วิน ธาวิน : ไม่ครับมีเพื่อนหลายคนหุ้นด้วย 7-8 คน
เป็นคนในวงการหรือเปล่า
วิน ธาวิน : ไม่ครับเป็นพี่ ๆ เพื่อนพี่ชาย ร้านบริษัทดำน้ำเปิดมาได้ 7-8 ปีแล้ว แต่ตัวเราเพงจะเข้าไปทำเพราะว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องกีฬา พี่ชายเค้าเห็นว่าสนใจก็เลยลองให้เข้ามาทำยังไม่เริ่มอะไรมากมาย เพราะว่าไม่มีเวลาด้วย รุกฆาตก็เพิ่งจบไป และก็ถ่ายละครด้วย
เป็นสาเหตุที่ทำให้อยากเรียนบริหารด้วยหรือเปล่า
วิน ธาวิน : ใช่ คนเรียนวิศวะจบมาก็เหมือนเป็นช่าง ทำโน้นทำนี้ได้ แต่ยังไม่ถึงกับว่าจะไปดูแลคนอื่นได้ ไปบริหารได้ เป็นเจ้านายได้ วินว่าไปได้หลายทาง
ผลงานตอนนี้
วิน ธาวิน : งานอีเวนต์ก็มีเรื่อย ๆ ครับ
ตัวเรามองยังไงว่าที่เล่นละครถ่ายไปออกไป อยากจะหาโอกาสถ่ายละครที่เป็นสต๊อกบ้างไหม
วิน ธาวิน : วินว่าไม่น่ะเป็นโอกาสมากกว่าละครสต๊อกมันก็ดีค่อย ๆ ถ่ายไปเรื่อย ๆ และก็ออนแอร์ทีเดียวไม่เหนื่อย พอออนแอร์แล้วเราก็สามารถไปรับงานอื่นได้ ละครออนแอร์ก็มีข้อดี คือถ่ายรวดเดียวแล้วก็จบเลย แล้วก็สดด้วย
ได้เงินเร็วด้วย
วิน ธาวิน : ก็มีส่วน เล่นละครไปออนไปเราก็สามารถดูฟีดแบ็กคนได้ ว่าชอบไม่ชอบน่ะเราก็มีอะไรที่แก้ไขได้แต่ละครสต๊อกมันแก้ไขไม่ได้ สุขภาพก็แย่ด้วย ถ่ายหามรุ่งหามค่ำไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่กลับบ้านก็นอนแป๊บเดียวก็ออกไปแล้ว แต่เป็นช่วงเวลาไม่นาน ละครเรื่องหนึ่งเดือนครึ่ง แต่ถ้าถามส่วนตัววินชอบละครสต๊อกมากกว่า ก็อย่างที่บอกว่ามีข้อดีข้อเสียต่างกัน
แสดงว่าเราถนัดกับละครสต๊อกมากกว่าเพราะทำให้เราเหนื่อยต่างจากละครที่ถ่ายไปออกไป
วิน ธาวิน : เหนื่อยครับทุกคนเหนื่อยไม่ใช่เราคนเดียวนักแสดงทุกคนอย่างเรื่องรุกฆาตทุกคนเหนื่อย ทีมงานก็เหนื่อยด้วย บางทีเรากลับบ้านแล้วทีมงานยังทำงานอยู่เลย ถามว่าทำให้เราเหนื่อยไหม แน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเล่นไปแล้วละครออกไปแล้วดี เราก็มีกำลังใจอยากจะทำงานมากขึ้น คอยให้เรากระตุ้นให้เราสู้ ๆ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก![]()






