x close

Dangerous Fashion : แฟชั่น...อันตราย!

แฟขั่น



Dangerous Fashion : แฟชั่น...อันตราย! (Lisa)

         สาวๆ บางคนอาจถือหลักว่า "ถ้าไม่เจ็บก็ไม่สวย" แต่มันไม่ใช่อาการบาดเจ็บชั่วประเดี๋ยวประด๋าวน่ะสิ หากรักสวยจนไม่ระวังตัวเอง ก็อาจทำให้พิการแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้นะ!

         ถ้าพูดถึงอันตรายจากแฟชั่น เรามักจะนึกถึงการตกส้นสูงหรือส้นตึก แต่ความจริงแล้วแฟชั่นอาจทำร้ายสุขภาพเราได้ในระยะยาวมากกว่า ที่คิด ดร.ชาเซีย คาห์น จาก Loyola Primary Care Center เปิดเผยว่า เราจ่ายให้แฟชั่นมากกว่าแค่เงิน และยังรวมถึงร่างกายที่เสื่อมลงไปทีละน้อย และแฟชั่นบางอย่างก็อาจอันตรายมากถ้าเราไม่ป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ ได้แก่

กระเป๋าถือโอเวอร์ไซส์

         ตัวการสำคัญที่ทำให้คุณบ่นเรื่องปวดหลังและปวดคอ เพราะมันสร้างแรงกดให้หัวไหล่และคอ และกฎข้อแรกก็มีอยู่ว่า อย่าถือกระเป๋าที่หนักเกิน 5 กก. เด็ดขาด!

         ว่าแล้วก็จงเอากระเป๋าของคุณไปชั่งน้ำหนักเสีย เพราะ 5 กก. อาจจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำสำหรับสาวทำงานที่เป็นคุณแม่และต้องแบกทุกอย่างตั้งแต่เน็ตบุ๊กไปจนถึงขวดนม

         ดร.คาห์นแนะนำให้สาวๆ ใช้กระเป๋าหนีบใบเล็กๆ ที่ทำจากวัสดุเบา หรือไม่ก็ใช้เป้สะพายหลังซึ่งมีการกระจายน้ำหนักเท่ากันทั่วหลังและไหล่หากคุณไม่สามารถพรากจากกระเป๋าโอเวอร์ไซส์ได้ คุณก็ควรจะออกกำลังตรงช่วงหลัง คอ และไหล่ นอกจากนี้ยังควรจะเปลี่ยนข้างสะพายกระเป๋าบ่อย ๆ ด้วย

         นอกจากการบาดเจ็บกล้ามเนื้อแล้ว กระเป๋าใบใหญ่ยังมักจะเต็มไปด้วยแบคทีเรียอันตราย เช่น อี. โคไล และStaphylococcus Aureus (เชื้อที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษหรืออุจจาระร่วง) เพราะผู้หญิงมักจะถือกระเป๋าแล้วเอาไปวางไว้ทุกที่ ซึ่งบางทีก็มีแบคทีเรียอันตรายด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงควรเช็ดหรือซักกระเป๋าบ่อย ๆ

เครื่องประดับที่ทำจากนิกเกิล

         อาการไวต่อนิกเกิลที่ผสมในเครื่องประดับอาจทำให้ผิวของคุณแพ้จนเกิดเป็นผื่นแดงคัน นี่คือปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่มักจะเรียกกันว่า "ผื่นแพ้สัมผัส" ซึ่งแม้แพทย์ผิวหนังจะช่วยรักษาอาการได้ แต่ก็มักจะรักษาได้เฉพาะระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

         ดังนั้น คนที่แพ้นิกเกิลจึงควรใช้เครื่องประดับที่เคลือบเอาไว้ด้วยพัลลาเดียมเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับนิกเกิลโดยตรงหรืออีกตัวเลือกหนึ่งก็คือ ใส่เฉพาะเครื่องประดับจากสเตนเลสแพลทินัม หรือทองแท้เท่านั้น

เล็บอะคริลิก

         แม้ผู้หญิงบางคนจะติดเล็บปลอมเพื่อปิดบังเล็บที่ไม่น่าดู แต่เทรนด์เล็บปลอมก็มาพร้อมกับความเสี่ยงเมื่อเล็บอะคริลิกติดกับเล็บตามธรรมชาติของเรา หากเกิดอาการบาดเจ็บขึ้น เล็บจริงอาจหลุดจาก Nail Bed พร้อมกับเล็บอะคริลิกเลยก็ได้

         ดร.คาห์นชี้ว่า "เล็บอะคริลิกทำให้เชื้อราและแบคทีเรียเข้าไปในเล็บและทำให้เกิดอาการอักเสบได้ ซึ่งคุณควรจะดูแลเล็บจริงโดยการทามอยสเจอไรเซอร์และยาทาเล็บบำรุงดีกว่า"

รองเท้าส้นสูง

         จริงอยู่ที่รองเท้าส้นสูงถือเป็นเครื่องแบบของหญิงสาวในสมัยนี้ แต่การใส่ส้นสูงเป็นระยะเวลานานหรือใส่บ่อยๆ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาที่หลัง เท้า หรือข้อเท้าเรื้อรังได้ เพราะส้นสูงทำให้เกิดแรงกดดันอย่างไม่จำเป็นที่เนินปลายเท้า ซึ่งนำไปสู่ภาวะนิ้วหัวแม่เท้าเอียง (Bunion) เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ รวมถึงอาการบาดเจ็บที่เท้า หลัง และข้อเท้าด้วย นอกจากนี้ ยังอาจทำให้กล้ามเนื้อน่องหดลง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาที่เข่า สาวๆ ที่อยากใส่ส้นสูงจึงควรใส่เฉพาะเวลาที่จำเป็นจริงๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาว โดยมีวิธีเลือกดังนี้คือ

         1. สลับใส่รองเท้าส้นสูงที่มีความสูงต่างกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เอ็นร้อยหวายหดและเกร็งตัว

         2. เลือกส้นที่มีความหนาและมั่นคง

         3. หากใส่แล้วรู้สึกไม่บาลานซ์ อย่าใส่เด็ดขาด

         4. เลือกรองเท้าที่ให้พื้นที่แก่นิ้วหัวแม่โป้ง

         5. อย่าใส่รองเท้าที่รู้สึกไม่พอดีเด็ดขาด คุณควรเลือกซื้อรองเท้าตอนบ่ายซึ่งเท้าจะบวมแล้ว เพ่อให้ได้ไซส์ที่ถูกต้อง

Expert’s  Corner

ระวัง "หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท"

         ถ้ายังไม่เชื่อสนิทใจว่าแฟชั่นอาจทำให้คุณบาดเจ็บได้จริงๆ เราไปคุยกับ นพ.วีรยุทธ ชยาภินันท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกและข้อ ร.พ.สมิติเวช สุขุมวิท

แฟชั่นของสาวๆ สมัยนี้ทำอะไรกับเราได้บ้าง?

         ถ้าเราสะพายกระเป๋าใบใหญ่หรือใส่รองเท้าส้นสูงบ่อยๆ สิ่งที่ตามมาคือ ประเด็นแรกจะมีอาการปวดไหล่ ปวดสะบักเรื้อรัง และอาจมีปัญหาที่เนื้อเยื่อพังผืดของกล้ามเนื้อหัวไหล่และกล้ามเนื้อสะบัก ซึ่งจะทำให้เกิดความเจ็บปวดเรื้อรังต่อไปเรื่อย ๆ ประเด็นที่สองคือ มันจะโหลดมาที่หลัง และทำให้กล้ามเนื้อหลังรับน้ำหนักมากขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของหลังแอ่นมาข้างหน้าจนทำให้หลังทำงานหนักมากขึ้น ก็จะทำให้มีการปวดหลังเรื้อรังควบคู่กับปวดเอวเรื้อรัง แล้วถ้ายังใส่รองเท้าส้นสูงหรือแบกของหนักอยู่เรื่อย ๆ ก็อาจจะมีโอกาสทำให้หมอนรองกระดูกส้นหลังปลิ้นไปกดเส้นประสาทหลัง กลายเป็นโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท

         ซึ่งถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นมาจะมีอาการปวดหลังและปวดร้าวไปตามเส้นประสาท จนลามไปที่ชาและน่องหรือการทำงานของกล้ามเนื้อขา ข้อเท้า นิ้วหัวแม่เท้า เปลี่ยนไปเป็นอัมพาต ทำให้ท่าเดินผิดปกติ ถ้ารักษาไม่ทันก็อาจทุพลภาพถาวร ประเด็นที่สามคือโหลดต่อกล้ามเนื้อน่อง เพราะเหมือนกับเราเขย่งเท้าเดินตลอดเวลา ทำให้น้ำหนักตัวที่กดทับลงมาเบี่ยงเบนไป คือแอ่นไปข้างหน้า คุณก็จะมีอาการปวดเท้าเรื้อรัง ปวดกล้ามเนื้อน่องเรื้อรัง ปวดเข่าเรื้อรัง แต่ในกรณีที่ใส่ส้นสูงแล้วมีแรงกระแทกกับข้อเข่า ก็อาจทำให้เข่าเสื่อมเร็วกว่าปกติ

  เมื่อไหร่ที่ควรจะพบแพทย์?

         อาการบาดเจ็บที่ควรจะสังเกตว่าเป็นโรคพวกนี้ก็คือ อาการบาดเจ็บทางกาย คือปวดในอวัยวะที่รับน้ำหนัก ไม่ว่าจะเป็นบ่า คอ ไหล่ กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า น่อง และเท้า ส่วนอาการทางจิต ถ้ามันมีอาการเรื้อรังมากขึ้น เราจะหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย สมาธิสั้น และมีผลสืบเนื่องถึงการหลับหรือนอนปกติ ทำให้นอนหลับไม่ลึกพอ ร่างกายจึงไม่ได้พักผ่อนพอตื่นก็รู้สึกง่วงตลอด คิดอะไรช้า สมาธิเสีย การทำงานผิดพลาด เจ้านายว่าความเครียดก็สะสม นอนไม่หลับพักผ่อนน้อยจนเป็นวงจรอุบาทว์อีก ส่วนใหญ่เขาจะมาหาหมอกันด้วยสาเหตุสองอย่างนี้ล่ะครับ

การดูแลรักษาทำอย่างไร?

         เราก็ต้องไปแก่ที่สาเหตุ ซึ่งเหตุที่ทำให้เราเป็นก็แค่กระเป๋าใบใหญ่และรองเท้าส้นสูง มันกลายเป็นเทรนด์ที่ผิดและทำให้เกิดปัญหาในอนาคต ซึ่งการรักษาก็แค่ปรับเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตใส่ส้นสูงเฉพาะในช่วงเวลาที่เหมาะสมใส่ในระยะเวลาสั้นๆ และเวลาที่ไม่ใส่เราก็ต้องถนอมกล้ามเนื้อของเรา โดยการออกกำลังกายด้วย



เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ






ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือ Lisa Vol.12 No.34 7 กันยายน 2554

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Dangerous Fashion : แฟชั่น...อันตราย! อัปเดตล่าสุด 4 ตุลาคม 2554 เวลา 15:33:02
TOP