x close

8 พฤติกรรมทำแล้วอ่อนเยาว์ 1-6 ปี



8 พฤติกรรมทำแล้วอ่อนเยาว์ 1-6 ปี
(Health plus)

         แม้ร่างกายจะได้พักผ่อนมาตลอดทั้งคืนแล้ว แต่พอคุณตื่นและลุกจากที่นอน เชื่อหรือไม่ว่ายังมีสิ่งต่างๆ รอบตัวอีกมากมายกำลังจ้องที่จะพรากความอ่อนเยาว์ไปจากคุณ ไม่เว้นแม้กระทั่งอากาศที่คุณกำลังหายใจเข้า-ออกอยู่นี้ หากคุณเป็นหนึ่งในสมาชิกสาว 30+ คลับแล้วล่ะก็ ควรอ่านคอลัมน์นี้อย่างยิ่ง เพราะเราจะพาไปดูกันว่า พฤติกรรมในแต่ละวันส่งผลให้ดูแก่หรืออ่อนกว่าวัยมากเพียงใด และนี่คือ 8 พฤติกรรมที่จะทำให้คุณแลดูอ่อนกว่าวัย

         คำเตือนก่อนอ่าน : มองไปรอบตัวสิว่า คุณนั่งอยู่ในที่ที่ปลอดมลพิษ แสงแดด หรือเสียงรบกวนให้ต้องหงุดหงิดใจหรือเปล่า

ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้เฉลี่ย 3-6 ปี

         1.หลีกเลี่ยงรังสีจากแสงแดด เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไรแสงแดดก็จะตามคุณไปทุกที่และยังทะลวงผ่านชั้นผิวหนังของเราได้เป็นสาเหตุของผิวหมองคล้ำ ริ้วรอย ตีนกา มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น รังสี ยูวี เอ ในปริมาณน้อยก็สามารถทะลุผ่านชั้นหนังแท้ ไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินได้มากและเมลานินนี้จะไปปกป้องผิวจากการถูกทำลายอีกต่อหนึ่ง ส่วนรังสียูวี บี ทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดงได้เป็นส่วนใหญ่ด้วยเหตุนี้ ปริมาณรังสียูวี เอ ที่มาถึงโลกจึงมีมากกว่ารังสียูวี บีมาก รังสี ยูวี เอ ที่สูงนี้เองที่ทำให้เกิดการทำลายโครงสร้างผิว เช่น คอลลาเจนและอีลาสติน เป็นต้น ทำให้เกิดผิวหนังหมองคล้ำ หย่อนยาน เกิดรอยตีนกาหรือที่เรียกว่า แก่ก่อนวัยอันเกิดจากแสงแดด

         Note : จะเลี่ยงแดดได้อย่างไร 1) เลี่ยงออกแดดหลัง 10.00 น.-17.00 น. เพราะยังมีปริมาณแสงยูวีทุกชนิดสูง 2) ควรกันแดดแม้จะออกไปข้างนอกเพียงระยะสั้นๆ ก็ตาม 3) ถ้ากังวลกับริ้วรอยรอบดวงตาควรใส่แว่นกันแดดชนิดที่ขนาดเลนส์ค่อนข้างกว้างเพื่อปกปิดผิวหนังรอบ ดวงตาและก่อนซื้อควรสังเกตที่มีสติ๊กเกอร์ติดคำว่า 100% UV Protection หรือ UV400

         2.ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นประจำ หลายคนยังไม่รู้ว่า ค่า SPF ที่เหมาะกับตนเองควรใช้เท่าไหร่ อันดับแรกเลย ต้องดูที่ไลฟ์สไตล์ อย่างผิวคนไทยควรใช้อย่างน้อย SPF15 ขึ้นไปและเลือกที่มีค่า PA ซึ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันผิวคล้ำหรือแดงจากแสงยูวีเอด้วย หากอยู่ในที่ที่มีแสงแดดจ้า อย่างเช่นทะเล ค่าของ SPF จะสูงประมาณ 40-50 และค่าPA ++ ถึง +++ ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง ทาให้หนากว่าปกติ ใช้เนื้อครีมประมาณ 1 กรัม หรือประมาณ 1 ข้อนิ้วก้อยต่อพื้นที่ผิวทั่วหน้า ควรเลือกครีมกันแดดชนิดที่มีสารสะท้อนแดดออก (Physical Sunscreen)

         Note : ลักษณะสีผิวเดิมของคนในเอเชียจะไม่เหมือนกับสีผิวคนในยุโรป ดังนั้นการเลือกใช้ครีมกันแดดก็จะต่างกัน คนสีผิวขาวผิวหนังจะถูกทำลายโดยแสงแดดได้ง่ายกว่าคนผิวดำ เพราะคนผิวดำมีเม็ดสีเมลานิน ช่วยในการดูดซับแสงได้มากกว่า ผิวหนังจึงถูกทำลายได้ยากกว่า

         3.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเป็นประจำเพื่อผิวอ่อนเยาว์ เมื่ออายุเพิ่มขึ้นสิ่งที่สาวๆ ทุกคนอยากได้คืออยากดูอ่อนกว่าวัย ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ตอบโจทย์ได้ดีต้องมีสารให้ความชุ่มชื้นภายในชั้นผิวหนัง ซึ่งแบ่งได้ 3 ประเภท 1) สารช่วยเพิ่มน้ำในชั้นผิวหนัง ซึ่งในโลชั่นมักใช้สารชนิดนี้อยู่แล้ว เพื่อช่วยให้ชั้นผิวหนังกำพร้าอุ้มน้ำได้ดี เหมาะกับผิวแห้งและต้องการความชุ่มชื้นอย่างอย่างเร่งด่วน 2) สารป้องกันการระเหยของน้ำจากชั้นผิว ส่วนใหญ่มักเป็นน้ำมัน ขี้ผึ้ง ไขสัตว์หรือซิลิโคน ข้อดีคือมีคุณสมบัติคล้าย้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น ลื่น แต่มีข้อเสียคือไขมันบางตัวอาจอุดตันรูขุนขนอาจทำให้เกิดสิวได้ หรือถ้ามีปริมาณมากก็จะเหนียวเหนอะหนะ 3) สารดูดความชื้นจากบรรยากาศเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ เช่น น้ำผึ้ง กลีเซอรีน กรดแลคติค ฯลฯ สารชนิดนี้จะช่วยดูความชื้นในอากาศเข้าสู้ผิวหนังชั้นขี้ไคลเมื่อความชื้นในอากาศสูงกว่า 70% แต่หากความชื้นในอากาศต่ำสารกลุ่มนี้จะดึงน้ำออกจากผิวสู่บรรยากาศ จึงกลับทำให้รู้สึกผิวแห้งมากขึ้น

         หากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารกลุ่มนี้ต้องเลือกที่มีส่วนผสมพอเหมาะ ข้อดีของสารกลุ่มนี้คือช่วยอุ้มน้ำและดึงน้ำจากชั้นหนังแท้ไปสู่ชั้นหนังกำพร้าได้ ทำให้ผิวชั้นนอกมีความชุ่มชื้นมากขึ้น แต่ถ้าต้องการลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และรอยแผลเป็นบนใบหน้า มีข้อมูลล่าสุดระบุว่า วิตามินบางชนิดสามารถต่อสู้กับการเกิดริ้วรอยได้ ได้แก่ Vitamin C, Vitamin E, Vitamin A, Beta-Caroteen, Vitamin B3, Coenzyme Q10, Flavanoids Compounds

         Note : การทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับกลางคืน ควรปฏิบัติให้เป็นนิสัย เพราะเมื่อเซลล์ผิวได้รับสารบำรุงต่างๆ จากตัวครีมที่มีประโยชน์แล้ว การสร้างเซลล์ผิวใหม่ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไนท์ครีมกับมอยส์เจอไรเซอร์หรือเดย์ครีมมีข้อแตกต่างกัน เพราะมีส่วนผสมของสารบำรุงที่เข้มข้นกว่า โดยเฉพาะพวกวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ

         4.เป็นคนนอนหลับง่าย แต่ละวัยจะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนอนไม่เท่ากัน สาว 30+ ต้องการการพักผ่อนต่อเนื่องอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ถ้านอนไม่พอความอยากนอนจะสะสมเพิ่มในวันต่อๆ ไป ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเข้านอนคือไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะฮอร์โมนที่จำเป็นต่างๆ จะสร้างตามเวลา ถ้านอนดึกร่างกายจะไม่สามารถผลิตฮอร์โมนออกมาได้อย่างเต็มที่

         Note : หากคุณนอนหลับยาก แนะนำว่า 1. ฝึกสมาธิทำจิตใจให้ผ่อนคลาย 2. ห้องนอนไม่ควรมีเสียงและแสงสว่างมารบกวน 3. หลีกเลี่ยงคาเฟอีนหลัง 16.00 น. 4. ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ เช่น นม น้ำธัญพืช 5. เสี่ยงการนอนกลางวัน 6. อย่าทานอาหารหนักก่อนนอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง 7. อาบน้ำอุ่นก่อนนอน

ดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้เฉลี่ย 1-2 ปี

         1.ทานอาหารที่มีประโยชน์และผัก ผลไม้เป็นประจำ สาววัยทำงานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายเท่าไหร่ ดังนั้นอาหารที่ทานจึงเป็นกลุ่มแป้งและน้ำตาลที่อิ่มนานมากกว่า ตามหลักแล้วสาวๆ กลุ่มนี้พวกเธอสามารถทานแป้งได้ถึง 300 กรัมต่อวัน และขาดการออกกำลังกายพฤติกรรมการกินแบบนี้ควรเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง โดยพยายามทานผักผลไม้ให้ได้มากๆ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย เพื่อช่วยสร้างกล้ามเนื้ออาหารในกลุ่มที่ควรเพิ่มนี้เป็นกลุ่มที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะวิตามิน เอ ที่ประกอบด้วย เรตินอยด์ และแคโรทีนอยด์ หรือเบตาแคโรทีนนั่นเอง รวมถึงวิตามิน บี-คอมเพล็กซ์ ที่สำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก ช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์และกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย

         Note : สารประกอบโทโคไตรอีนอล (Tocotrienols) เป็นส่วนหนึ่งของวิตามิน อี เป็นสารประกอบใหม่ล่าสุดที่มีการค้นพบเมื่อไม่นานนี้และเชื่อกันว่า สามารถช่วยเรื่องการชะลอความแก่ชราได้ดี ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นลดการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมผิวหนัง พบมากในผักใบเขียวเข้ม มันฝรั่ง มะม่วง ปลาแซลมอนฯ

         2.ไม่ใช้สารเพิ่มหรือเร่งฮอร์โมน ฮอร์โมนสังเคราะห์เอสโตรเจน และโปรเจสโตเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งก็คือยาในกุ่มยาคุมกำเนิด ซึ่งจะขอพูดถึงยาเม็ดคุมกำเนิด คือ ยาที่ทานเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์โดยใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ คือโปรสเจสโตเจน หรือโปรเจสติน ที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนโปรเจสโตเจนตามธรรมชาติกับฮอร์โมนสังเคราะห์เอสโตรเจน ซึ่งอัตราส่วนของเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนจะแตกต่างกันแล้วแต่ผลิตภัณฑ์ของแต่ละบริษัท การทานยาฮอร์โมนคุมกำเนิดมักจะเกิดอาการข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้, อาเจียน, ปวดศีรษะ, วิงเวียน เลือดออกกะปริบกะปรอย, ตึงคัดเต้านม, เป็นผ้า, น้ำหนักเพิ่มขึ้นและการใช้ฮอร์โมนไปนานๆ โดยไม่มีข้อบ่งขี้ นอกจากจะทำให้มีบุตรยากในอนาคต แล้วก็อาจทำให้เกิดมะเร็งเต้านมในเพศหญิงหรือเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้ ซึ่งการใช้ยาฮอร์โมนต่างๆ ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

         Note : มีข้อห้ามออกมาว่าผู้หญิงที่เป็นโรคของถุงน้ำดี โรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด (ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดอุดตัน เป็นต้น) โรคตับ โรคไต โรคไทรอยด์ มีเลือดออกในโพรงมดลูก ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดเด็ดขาด

         3.ไม่สูบบุหรี่ มีข้อเขียนของ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ด สาขาโรคผิวหนัง ระบุไว้ว่า ผู้ที่สูบบุหรี่และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่จะเกิดรอยตีนกาได้ง่าย เพราะสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยงผิวหนังหดตัว ผิวพรรณจึงได้รับสารอาหารและออกซิเจนน้อยกว่าปกติ ในขณะเดียวกันของเสียจากเซลล์ผิวหนัง คือ คาร์บอนไดออกไซด์จะสะสมในเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวหนังเจริญเติบโตและซ่อมแซมตัวเองไม่ได้

         Note : การสูบบุหรี่ทำอันตรายต่อผิวหนังได้รุนแรงพอๆ กับการโดนแสงแดดเผา เพราะภัยของบุหรี่จะทำให้กล้ามเนื้อหดรั้งตัว จึงเกิดรอยย่นรอบดวงตา ตามหน้าผากและรอบปาก ทำให้เล็บมือมีสีเหลือง ฟันมีคราบสีน้ำตาล มีกลิ่นปาก ซึ่งล้วนทำลายบุคลิกภาพ และยังทำให้หลอดเลือดอุดตัน เกิดแผลเรื้อรังที่มือและขาได้

         4.ไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณเมื่อมีปัญหา

         ประเทศที่ถือว่าตื่นตัวในเรื่องของการดูแลผิวพรรณมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา แม้ว่าระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา หนุ่มสาวเอเชียเข้รับคำปรึกษาปัญหาเรื่องผิวและสุขภาพกันมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าประเทศในแถวยุโรปและอเมริกา ทั้ง ๆ ที่วิธีที่ดีที่สุดเมื่อผิวมีปัญหา คือ การพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อวินิจฉัย รักษาและให้ยาที่เหมาะสม หากซื้อยาทาสิว ฝ้าหรือแก้ปัญหาผิวมาใช้เอง อาจใช้ยาไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะกับผิวหรือมีสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ ซึ่งอาจทำให้ผิวมีปัญหามากไปกว่าเดิมได้




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

No.72 กุมภาพันธ์ 2555

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
8 พฤติกรรมทำแล้วอ่อนเยาว์ 1-6 ปี อัปเดตล่าสุด 9 มีนาคม 2555 เวลา 15:23:35
TOP