x close

8 วิธีรักษาสิว ให้เป็นเรื่องขี้ประติ๋ว

สิว




8 วิธีรักษาสิว ให้เป็นเรื่องขี้ประติ๋ว (ไทยโพสต์)

          เอ่ยถึงเรื่องสิว สาว ๆ หลายคนคงเบือนหน้าหนี เพราะแค่ในวิถีประจำวันก็มีมลพิษและปัจจัยอื่น ๆ มากมายที่กระตุ้นให้เจ้าสิวตัวร้ายผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ยิ่งแสงแดดร้อน ๆ ในช่วงฤดูซัมเมอร์ที่ทำให้เกิดเหงื่อไคลบนใบหน้ามากกว่าปกติ หากทำความสะอาดผิวไม่หมดจดก็จะนำไปสู่ปัญหาสิวมากขึ้นเป็นทวีคูณ

          พญ.ดวงกมล มณีรัตนะพร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและสุขภาพความงาม นิรันดาคลินิก อธิบายถึงสาเหตุของการเกิดสิวให้ฟังอย่างชัด ๆ ว่า สาเหตุของสิวนอกจากความสกปรกหมักหมมของเชื้อโรคแล้ว ฮอร์โมน พันธุกรรม ความเครียด การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน ตลอดจนการแพ้ยาบางชนิดก็เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิวด้วยเช่นกัน สิวจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ต่อมไขมันเริ่มทำงานโดยได้รับการกระตุ้นจากฮอร์โมนเพศชาย และสิวยังเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ไขมันทำหน้าที่ในการหล่อลื่นและปกป้องผิวหนัง ตัวเซลล์ที่อยู่ในชั้นผิวชั้นบนสุดจะไปปิดกั้นต่อมไขมัน ซึ่งทำให้เกิดการสะสมไขมันขึ้นใต้ชั้นผิวหนัง ไขมันเหล่านี้ก็ไปกระตุ้นการทำงานของแบคทีเรียให้ขยายตัว และก่อเกิดการติดเชื้อและการอักเสบในเนื้อเยื่อบริเวณนั้น ๆ

          ทว่า การจัดการสิวมีหลายทางเลือกในการรักษามากมาย สาว ๆ จะรักษาสิวทั้งที ควรเลือกวิธีที่เหมาะกับตนและให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด แต่จะเริ่มลงมือรักษาเมื่อไรนั้น?

          พญ.ดวงกมลให้ความรู้ว่า เราจะเริ่มรักษาสิวก็ต่อเมื่อสิวนั้นรบกวนจิตใจมากจนไม่มีความสุข และตัวเองไม่สามารถที่จะควบคุมสิวได้อีก โดยการรักษาสิวกับผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนังจะมีวิธีการรักษาหลายทางเลือก ได้แก่


       1. ใช้ยาที่ใช้ทาภายนอก ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยใช้แต้มหรือทาในบริเวณที่เกิดสิว

       2. Retinoids ซึ่งยาชนิดนี้จะช่วยในการเปิดรูขุมขน และช่วยให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตออกมาน้อยลง แต่ก็มีผลข้างเคียงอยู่บ้าง เช่น การระคายเคือง และอาการไวต่อแสงแดด

       3. ยาปฏิชีวนะแบบทาน ข้อเสียของยาประเภทนี้คือ อาจเกิดอาการแพ้ และอาการไวต่อแสงแดด

       4. ยาทานคุมกำเนิด ซึ่งทำให้มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ สามารถรักษาสิวได้อย่างปลอดภัย

       5. การฉีด Cortisone ใช้ฉีดเข้าที่สิวเมื่อเกิดสิวที่มีขนาดใหญ่ หรือการอักเสบแบบซีสต์ ซึ่งทำให้สิวดังกล่าวยุบตัวเร็วขึ้น

       6. Isotretinoin เป็นยาเม็ดรับประทานกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ ใช้รักษาสิวที่มีอาการรุนแรง และสิวที่ดื้อต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น โดยยาตัวนี้อาจส่งผลให้เกิดอาการริมฝีปากแห้งและการปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออยู่บ้าง และมีข้อห้ามใช้ยาตัวนี้กับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือผู้ที่กำลังจะวางแผนตั้งครรภ์

       7. การลอกผิวทางเคมี เป็นวิธีที่ช่วยเสริมผลการรักษาเท่านั้น แพทย์จึงแนะนำให้ใช้วิธีการรักษานี้ร่วมกับวิธีอื่น

       8. การรักษาสิวด้วยเลเซอร์ ซึ่งให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ

          "การรักษาปัญหาสิวด้วยวิธีสุดท้ายเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด และหากเป็นการรักษาโดยนวัตกรรมเลเซอร์ ไอโซลาซ (Isolaz) ที่นำเทคโนโลยีแสงที่องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาให้การรับรอง เพื่อการรักษาสิวได้ในทุกระยะของการเป็นสิว โดยใช้เทคโนโลยี Photopneumatics ซึ่งส่งผลให้มีความสามารถในการขจัดสิ่งสกปรกใต้ผิวหนังและรูขุมขน จากการปรับลดความดันของเครื่อง Pneumatics และเพิ่มความสามารถในการทำลายเชื้อโรคจากการปล่อยแสง ผลลัพธ์การแก้ไขปัญหาผิวหนังเป็นสิวที่ได้จึงดีเยี่ยม" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและสุขภาพความงาม คนเดิมระบุ

          อย่างไรก็ตาม พญ.ดวงกมล ให้คำแนะนำเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับผู้ที่หายจากการเกิดสิวแล้วแต่ยังคงมีรอยที่เกิดจากสิวอยู่ ก็ต้องดูแลระวังไม่ให้เป็นรอยหลุมสิวหรือแผลเป็น และทางที่ดีที่สุดคือต้องดูแลตนเองไม่ให้เป็นสิว โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้ครบวันละ 8 ชั่วโมง ล้างหน้าให้สะอาด ตลอดจนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และต้องการออกกำลังกายเป็นประจำ












ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.thaipost.net/x-cite/180412/55606

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
8 วิธีรักษาสิว ให้เป็นเรื่องขี้ประติ๋ว อัปเดตล่าสุด 20 เมษายน 2555 เวลา 15:11:30
TOP