เรียบเรียบข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ฤดูหนาวเป็นฤดูสาว ๆ หลายคนตั้งหน้าตั้งตาคอย เพราะว่าแฟชั่นสำหรับหน้าหนาวนี่มันกุ๊กกิ๊กน่ารักได้ใจ จะใส่เสื้อผ้ากี่ตัวกี่ชั้นก็ไม่ร้อนอบอ้าว (ซึ่งเป็นแฟชั่นที่ในหนึ่งปีสาวไทยมีโอกาสได้ใส่อยู่ไม่กี่วัน ^^") ในขณะที่สาว ๆ รอแฟชั่นหน้าหนาวสวย ๆ อยู่ ก็มีแขกแปลกหน้าค่อย ๆ คืบคลานมารอสาว ๆ พร้อมกับหน้าหนาวด้วยเหมือนกัน ก็คือสารพัดปัญหาผิวนั่นเอง หน้าหนาวเป็นฤดูที่ผิวต้องเผชิญปัญหาไม่น้อยกว่าฤดูอื่น ๆ ปัญหาน่าปวดหัวประการสำคัญก็หนีไม่พ้นเรื่องผิวแห้ง เพราะว่าอากาศนั้นทั้งเย็น ทั้งแห้ง แถมยังมีลมหนาวอีก จึงพาความชุ่มชื้นออกไปจากผิวได้ไม่ยาก หนาวนี้เราต้องมาตื่นตัวตั้งรับปัญหาเหล่านั้นกันหน่อยแล้ว
วันนี้เอาตำรับดูแลผิวด้วยอาหารจากธรรมชาติ จากหนังสือ The Clear Skin Cookbook ของคุณเดล พินน็อก ผู้เป็นนักโภชนาการมาฝากกัน แถมสูตรทั้งหลายเหล่านี้คุณเดลรับประกันว่า หากรับประทานสม่ำเสมอปัญหาผิวหน้าหนาวทั้งหลายแหล่จะถูกขจัดหมดไปได้ภายใน 3 สัปดาห์จริง ๆ นะจ๊ะ
ผิวที่แห้งง่ายอยู่แล้วจะยิ่งเสี่ยงกับปัญหาผิวแห้งจนอักเสบในหน้าหนาว เมนูที่คุณควรจะกินให้มากขึ้นในฤดูนี้ ก็คือเมนูจากปลาที่เนื้อมีความมัน ซึ่งจะทำให้คุณได้กรดไขมันไปช่วยลดการสูญเสียน้ำของผิวหนัง ทำให้ผิวฟูและรักษาความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น นอกจากนี้ปลาอย่างแซลมอนและแมคเคอเรล ยังมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อปัญหาผิวเช่นนี้เป็นอันมาก กินพวกมันให้ได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รับรองว่าปัญหาผิวจะลดลงเยอะเลยค่ะ
กินอะไรไม่ให้ผิวดูด้านและโทรม
วิตามิน E ถือว่าเป็นส่วนผสมที่สำคัญมากในครีมบำรุงผิวหน้า แต่วิธีที่คุณจะสามารถรับวิตามิน E เข้าสู่ร่างกายเพื่อส่งต่อไปยังผิวได้ดีที่สุด กลับมาจากการกินอาหาร อยากผิวสวยแถมไม่ดูด้านและโทรมด้วย ต้องเลือกกินผักและผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้ม เช่น แครอท มันเทศ มะม่วง พริกหวานสีเหลือง ฯลฯ ซึ่งจะมีสาร "แคโรทีนอยด์" อยู่มาก อันเป็นสารที่ร่างกายสามารถแปรรูปมันไปเป็นวิตามิน E เพื่อลำเลียงไปสู่ผิวได้อีกที และจะให้ดี ต้องมีมันประกอบอยู่ในเมนูอาหารอย่างน้อยวันละ 2 มื้อ
ส่วนการกินบลูเบอร์รี แบล็คเบอร์รี องุ่นดำ หรือแม้แต่ไวน์แดง ก็ทำให้ผิวสุขภาพดี เฟิร์มขึ้น เปล่งประกายมากขึ้น เพราะสาร "แอนโธไซยานิน" ที่มีอยู่ช่วยทำเส้นใยคอลลาเจนในผิวหนังแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ วิตามิน D ก็ยังเป็นสิ่งที่ผิวจำเป็นไม่ว่าฤดูไหน ๆ แม้ว่าร่างกายจะรับวิตามิน D มาจากการกินอาหารแค่ 10% (วิตามิน D ส่วนใหญ่จะได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงอาทิตย์) แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องเลือกกินแต่อาหารดี ๆ เพื่อให้ 10% นั้นเป็นวิตามิน D ที่มีคุณภาพที่สุด โดยคุณจะได้วิตามิน D ชั้นยอดจากเนื้อปลาที่มีมัน รวมไปถึงจากไข่แดง ตับ และเห็ดบางชนิดด้วย
กินอะไรไม่ให้ผิวซีด-แห้งตึง
หน้าหนาวทำให้ผิวซีดเผือด ทั้งยังรู้สึกตึง จนการขยับแขนขาบางครั้งก็ทำให้รู้สึกราวผิวกำลังจะปริแยกออกจากกัน แก้ปัญหานี้ง่าย ๆ ด้วยการกิน "ถั่วบราซิล " มันอุดมไปด้วยเซเลเนียม แร่ธาตุต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย ผิวพรรณสดใส ยืดหยุ่นได้ดี แต่หากว่าคุณแพ้ถั่วแล้วล่ะก็ สามารถรับแร่ธาติเซเลเนียมได้จาก ไก่ย่างตุรกี เนื้อไม่ติดมัน เนื้อไก่ และไข่ ได้เช่นกัน
กินอะไรไม่ให้ผิวแห้งจนแตก
หากผิวแห้งมากจนเลยจุดของความตึง แต่ลามไปถึงขั้นผิวแตกแล้ว คราวนี้ก็ต้องเพิ่มการบำรุงเพื่อไปฟื้นฟูผิวที่แห้งแตกเป็นการด่วน โดยการเพิ่มอาหารที่ให้วิตามิน B หลากหลายชนิด เช่น ข้าวซ้อมมือ ผักใบเขียวต่าง ๆ อย่างคะน้า บรอกโคลี ฯลฯ เพิ่มมันลงไปในอาหารทั้งมื้อเช้า-กลางวัน-เย็น มื้อละนิดละหน่อยทุก ๆ วัน ผิวที่แห้งแตกจะค่อย ๆ ฟื้นฟูตัวได้ในไม่ช้า
นอกจากสูตรอาหารผิวด้วยการกิน การมาส์กด้วยเนื้ออะโวคาโดสุก ก็ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีสุด ๆ รวมทั้งน้ำมันมะพร้าวในห้องครัวของคุณก็ยังนำมาทาผิวเพื่อบรรเทาอาการผิวแห้งแตกได้อย่างดีเยี่ยม แบบนี้ต่อให้เป็นหน้าหนาว แต่ผิวของสาว ๆ ก็ยังเปล่งประกายราวกับซัมเมอร์ซีซั่นได้ ยังไงต้องลองไป หม่ำ+ทำ กันดูนะคะ