เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ผู้หญิงอย่างเรานี่เป็นเพศที่มีอะไรให้น่าประหลาดใจอยู่เรื่อยจริงเชียว เพื่อเป็นการยืนยันความแปลกบางประการของผู้หญิง ที่แม้แต่สาว ๆ อย่างเราบางครั้งก็ยังคาดไม่ถึง วันนี้กระปุกดอทคอมเลยคัดเลือกบางบทความแปลก ๆ ที่น่ารู้ (บางเรื่องอ่านแล้วอ้าปากหวอ พลางคิดว่า เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือนี่!) ในหมวดหมู่ของผู้หญิงจากเว็บไซต์เดลิเมล ที่ทาง ฮัฟฟิงตันโพสต์ดอทคอม เขาได้รวบรวมเอาไว้มาฝากกันค่ะ เป็นต้นว่า สาว ๆ ไม่ต้องการไวอะกร้า ขอแค่ได้ระบายความรู้สึกไปก็กระตุ้นชีวิตเซ็กส์ได้, หญิงร้ายกลายเป็นแม่พระเมื่ออายุมากขึ้น หรือ สิ่งที่ผู้หญิงตั้งใจฟังมากที่สุดคือเรื่องนินทากับบทสนทนาของคนอื่น แหม.. นี่แค่ตัวอย่างบางหัวข้อเท่านั้นนะคะ ถ้าอยากรู้เรื่องราวเต็ม ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร ผู้หญิงมีแง่มุมแปลก ๆ ซุกซ่อนอยู่แค่ไหน มาติดตามกันดูได้เลยจ้า
"ชีวิตเซ็กส์ของสาว ๆ จะสดใสไม่ต้องพึ่งไวอะกร้า ขอแค่ได้ระบายพูดคุย" เรื่องนี้ใครที่สามีชอบบ่นว่าตัวคุณไม่ฮอต ไม่ร้อนฉ่า นอนนิ่งเป็นตุ๊กตาไร้อารมณ์ร่วมตาม ต้องฟังเอาไว้ให้ดี ชีวิตเซ็กส์ของคุณสามารถกลับมาชื่นมื่นเริงรื่นเหมือนขึ้นสวรรค์ได้อีกครั้งโดยที่ไม่ต้องพึ่งยาปลุกอารมณ์เลย การค้นพบนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Sexual Medicine หลังจากให้หญิงกลุ่มทดลอง 200 คน ซึ่งล้วนมีปัญหาเรื่องบนเตียงในชีวิตรัก พวกเธอรู้สึกไร้อารมณ์ร่วม และไม่รู้สึกอยากกิจกรรมบนเตียงเลย 2 ใน 3 ของหญิงกลุ่มนี้ ได้รับยา Cialis ซึ่งทำงานคล้ายกับไวอะกร้า เพื่อช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศในผู้หญิง แต่ก็มีผู้ร่วมทดลอง 50 คน ที่ได้รับยาหลอก ๆ โดยที่พวกเธอไม่ทราบมาก่อน หลังจากนั้นได้ติดตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตรักของพวกเธอ พบว่าผู้หญิงทุกคนที่ได้รับยา (ทั้งยาจริงและยาหลอก) ต่างบอกว่าพวกเธอมีชีวิตเซ็กส์ที่ดีขึ้นมาก มีอารมณ์เคลิบเคลิ้มไปกับคนรัก และชวนกันเล่นจ้ำจี้ถี่ขึ้นกว่าก่อน (>///<)
เมื่อผลออกมาเป็นอย่างนี้แล้วจะสรุปอย่างไรดี เพราะมีคนที่ไม่ได้รับยาจริง ๆ ก็ดันบอกว่าชีวิตเซ็กส์ดีขึ้นด้วย ที่จริงแล้วในการทดลอง หากไม่นับเรื่องยา สิ่งหนึ่งที่คุณผู้หญิง 2 ใน 3 กลุ่มนี้ได้เหมือนกันก็คือ พวกเธอต่างได้เข้าพบแพทย์เพื่อระบายปัญหา และได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ซึ่งแพทย์ทุกคนตั้งใจรับฟังปัญหาของพวกเธอ และให้คำแนะนำกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ น่าจะเป็นจุดนี้นี่เองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเซ็กส์ของคุณผู้หญิงให้ดีขึ้น แค่รู้สึกว่ามีคนตั้งใจรับฟังปัญหา และหาทางช่วยพวกเธออย่างจริงจัง สิ่งที่วิตกกังวลอยู่ในใจก็พลันผ่อนคลาย ส่งผลปัญหาที่เคยประสบบนเตียงคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นด้วย ... ขอแค่ที่ปรึกษาดี ๆ ที่ตั้งใจฟังปัญหาเรื่องเซ็กส์ที่น่าหนักใจ และหันไปพึงใครไม่เจอ ก็จะจุดไฟสวาทให้ลุกโหมขึ้นมาอีกครั้งได้ ไม่เห็นต้องพึ่งยาแพง ๆ เสมอไปหรอกน่า
ว่าด้วยเรื่องชีวิตในมุมส่วนตั๊วส่วนตัวอย่างเรื่องเซ็กส์ไปแล้ว คราวนี้มาดูที่เรื่องงานกันบ้าง คุณคิดว่าจริงไหม "หากอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ผู้หญิงต้องพูดให้น้อยเข้าไว้ (ในขณะที่ผู้ชายกลับต้องพูดให้มาก ขยับปากเยอะ ๆ)" เรื่องนี้คงขัดใจนักเฟมินิสต์ และผู้หญิงทั่วโลกเลยล่ะ นี่เป็นการวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยลของอเมริกา ที่ได้ทำการศึกษาจากการให้ชายหญิงทั้งหมด 156 คน อ่านหนังนิยายสั้น ๆ ที่มีเรื่องเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ ชายช่างพูด, ชายพูดน้อย, หญิงช่างพูด และหญิงพูดน้อย และได้ให้กลุ่มศึกษาร่วมให้คะแนนเจ้านายแต่ละประเภท โดยคะแนนสูงสุดอยู่ที่ 7 คะแนน
ผลปรากฏว่า ชายช่างพูดได้คะแนนเฉลี่ย 5.64 ส่วนชายพูดน้อยได้ 5.11 ดูท่าว่าผู้ชายที่กล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเอง จะถูกมองว่ามีภาวะผู้นำที่ดีและน่าเชื่อถือดี แต่เมื่อมาถึงการให้คะแนนเจ้านายหญิงที่ช่างพูด กลับให้คะแนนเธอแค่ 4.83 เท่านั้น ในขณะที่เจ้านายหญิงพูดน้อยได้ไป 5.62 คะแนน ดูท่าทางแล้วว่าการกล้าพูดกล้าแสดงความคิดเห็น เมื่อกลายมาเป็นสิ่งที่ออกมาจากปากของผู้หญิง มักจะทำให้คนส่วนใหญ่มองเธอในเชิงลบว่าเป็นคนขี้บ่น และเจ้ากี้เจ้าการเสียมากกว่า สิ่งนี้ยังสัมพันธ์ไปถึงความน่าเชื่อถือต่อสิ่งที่สมาชิกผู้แทนราษฎรหญิงยามลุกขึ้นอภิปรายในสภาด้วย การที่เธอลุกขึ้นยืนพูด ก็มักถูกมองอย่างโจมตีแล้วว่า จะต้องลุกขึ้นมาบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างแน่นอน ... เฮ้ออ เห็นผลการศึกษาแบบนี้แล้วผู้หญิงอย่างเราก็เศร้า ที่จริงมันยังมีเรื่องที่สำคัญไปกว่าผู้หญิงควรจะพูดน้อยหรือมากในที่ทำงาน เพื่อให้การงานเจริญก้าวหน้า นั่นคือการใส่ใจว่า การที่คนในสังคมส่วนใหญ่ยังมีความคิดเห็นต่อผู้หญิงในบทบาทผู้นำในเชิงลบ ความจริงการพูดมากหรือน้อยนั้นไม่อาจเป็นตัวชี้วัดตัดสินความสามารถใครได้ ใครชอบพูดชอบแสดงความคิดเห็นก็ขอให้คุณเป็นอย่างนั้นต่อไป และกระตุ้นเพื่อนร่วมงานทั้งสาวน้อยและสาวใหญ่ ให้หันมาออกปากออกเสียงในสิ่งที่ตัวเองคิดกันให้มากขึ้นด้วย นั่นล่ะ จะเป็นทางเดียวที่จะเปลี่ยนทิศทางทัศนคติผิด ๆ เกี่ยวกับผู้หญิงไปได้ ... เอ้า สู้กันต่อไปนะคะคุณผู้หญิง!!
เรื่องถัดมาเราโดดจากเรื่องงานมาเป็นเรื่องในมุมส่วนตัวกัน เปลี่ยนจากเรื่องการเป็นผู้พูดมาดูกันในแง่ของผู้ฟังบ้าง นี่เป็นงานวิจัยจาก Siemens ซึ่งทำขึ้นเพื่อเป็นฐานข้อมูลแก่การผลิตอุปกรณ์ช่วยเรื่องการได้ยิน แต่สิ่งที่เขาค้นพบไม่ค่อยจะได้เกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพของรูหู หรือความสามารถในการได้ยินสักเท่าไหร่ มันไปเกี่ยวกับความตั้งใจและสมาธิในการฟังมากกว่าเสียอีก เมื่อพบว่า "สิ่งที่ผู้หญิงตั้งใจฟังจริง ๆ ชนิดคำต่อคำ ก็คือเรื่องในวงกอสซิปซุบซิบนินทา และการแอบฟังบทสนนทนาของคนอื่น"
67% ของผู้หญิงที่ถูกทำการสำรวจบอกว่า เธอจะตั้งใจฟังเป็นที่สุด จับประเด็นทุกประโยคทั้งน้ำและเนื้อ เมื่อตั้งวงนินทากับเพื่อน ๆ และหูผึ่งสมาธิแน่วแน่ตั้งใจขึ้นทันที เมื่อแอบฟังคนอื่นเขาคุยกัน ถ้าให้คะแนนความตั้งใจฟังเรื่องของคนอื่นเป็น 100% เธอก็ตั้งใจฟังเรื่องที่คนรักพูดด้วยแค่ 70% และจับใจความยามหัวหน้าประชุมสั่งงานได้แค่ 65% ของบทสนทนาทั้งหมดเท่านั้นเอง ... อืม เรื่องนี้ที่จริงก็เถียงไม่ค่อยออก เพราะรู้สึกว่าเรื่องในวงกอสซิบมันน่าฟังกว่าเรื่องอื่น ๆ จริง ๆ นี่นา ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนตั้งวงนินทาเองก็เหอะนะ ใครเป็นแบบนี้เหมือนกันบ้าง สารภาพมาซะดี ๆ ^^"
ไหน ๆ ก็ว่าด้วยเรื่องกอสซิบความลับงุบงิบซุบซิบนินทากันไปแล้ว มาว่ากันต่อด้วยเรื่องการเก็บความลับของคุณผู้หญิงด้วยก็แล้วกัน มีผลการสำรวจจาก Wines of Chile ซึ่งเป็นผู้ผลิตไวน์จากอังกฤษ เขาบอกว่า อย่าไว้ใจผู้หญิง ห้ามนำเรื่องความลับไม่ว่าจะลับมากลับน้อยไปบอกสาว ๆ เด็ดขาด เพราะแม้จะกำชับทิ้งท้ายว่า "รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ" แต่สุดท้ายรับรองว่ามันจะถูกแพร่งพรายออกไปอยู่ดี เพราะ "ผู้หญิงเก็บความลับได้ไม่นาน ลิ้นจะเริ่มทำงานและปากจะเริ่มขยับ หลังกุมความลับไว้ได้ 47 ชั่วโมงเท่านั้น"
ผลการสำรวจจากหญิงอังกฤษจำนวน 3,000 คน พบว่า 40% เป็นหญิงผู้ไม่สามารถเก็บความลับได้ ไม่ว่าเรื่องลับจะสำคัญมากน้อยแค่ไหน มันจะแพร่งพรายออกไปภายในเวลาเฉลี่ย 47 ชั่วโมง กับอีก 15 นาที (แหม อีกนิดเดียวก็เกือบ 2 วันแล้ว) และจะเล่าความลับผุดพรายออกมาได้เรื่อย ๆ อีกหลังจากได้แอลกอฮอล์เข้าไปกรึ่ม ๆ สัก 2 แก้ว แม้ว่าผู้หญิงถึง 83% จากที่ถูกทำการสำรวจนี้ จะยืนยันว่า "เชื่อฉันสิ ฉันเก็บความลับได้จริง ๆ นะจ๊ะ" ก็ขออย่าให้ไว้ใจพวกเธอ ผู้หญิงหลายคนคิดว่าไม่เห็นเป็นอะไร หากจะบอกความลับของเพื่อนคนหนึ่ง ให้กับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้รู้จักกันฟัง 30% บอกว่าจำต้องบอกความลับเพราะดันมีคนมาจี้ถามถูกจุด แต่ก็ผู้หญิงเกือบครึ่งที่บอกว่า เธอก็แค่บอกออกไปเพราะเก็บเอาไว้แล้วมันหนักอก (เฮ้ย บอกความลับด้วยเหตุผลง่าย ๆ แค่นี้เนี่ยนะ - -") แต่ถึงอย่างนั้น 20% ก็ยังบอกว่าเธอรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้งที่หลุดปากแพร่กระจายความลับ ทั้ง ๆ ที่สัญญาไปแล้วว่าจะเหยียบมันไว้ให้มิด ... ถึงเรื่องนี้ผู้หญิงจะกระจายมันออกไปด้วยความไม่ตั้งใจ หรือตั้งใจอย่างไร ก็สอนให้เราได้รู้อยู่ดีว่า หากยังอยากให้ความลับคงเป็นความลับต่อไป ก็อย่าได้เอาไปบอกผู้หญิงคนไหนเลยนะจ๊ะเธอจ๋า :P
เอาล่ะ มาปิดกันด้วยบทความสุดท้ายที่เราเลือกมา ว่าด้วยความร้ายของผู้หญิง สาว ๆ กันเองอย่างเราคงรู้อยู่เต็มอก ว่าการแข่งขันชิงดีชิงเด่นเขม่นกันเองอย่างเงียบ ๆ (หรือบางทีก็ไม่เงียบเท่าไหร่) ในกลุ่มผู้หญิงนั้นมีอยู่จริง ถ้าคุณจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ถ้าคุณยังคงเป็นอย่างนั้นในวัย 50 กว่า ๆ แล้วนี่สิถึงจะแปลก เพราะการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอาร์เบอร์ดีน ในประเทศสกอตแลนด์ พบว่า "ผู้หญิงจะร้ายน้อยลง จนถึงขั้นกลายเป็นแม่พระเมื่ออายุมากขึ้น"
เมื่อยังสาว ๆ ผู้หญิงมักจะแข่งกันเอง ทั้งเพื่อหาแฟนให้ได้ดี หรือไม่ก็แข่งเลี้ยงลูกให้ได้ดีกว่ากัน มันเป็นเหมือนสัญชาติญาณที่ฝังมากับวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง แต่ก็พบว่าพวกเธอที่เคยร้าย เขม่นอิจฉาริษยากันเอง จะลดดีกรีลงจนแทบกลายเป็นแม่พระ เมื่อย่างเข้าสู่วัยเลข 5 นำหน้า หรือว่าเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือนแล้ว การศึกษาได้ทำขึ้นโดยสอบถามผู้หญิงในวัย 40-59 ปี จำนวน 100 คน ให้ออกความเห็นเกี่ยวกับรูปผู้หญิงที่เขาเอามาให้ดูจำนวน 3-4 ภาพ แล้วก็ได้พบว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว ยอมรับอย่างง่าย ๆ ได้ทันทีว่า ผู้หญิงในรูปคนที่ดูดีนั้นเธอช่างมีสเน่ห์จริง ๆ ต่างกับกลุ่มสุภาพสตรีที่ยังไม่หมดประจำเดือน ที่เมื่อถามความเห็นของเธอถึงรูปภาพของสาวสวย หลายคนกลับตอบว่า "เฉย ๆ" หรือไม่ก็ "งั้น ๆ แหละ" ทัศนคติในการมองผู้หญิงที่แตกต่างกันนี้ เป็นผลมาจากระดับฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป อันเนื่องมาจากวัยหมดประจำเดือน หญิงที่ขาดประจำเดือนแล้ว จะมองผู้หญิงคนอื่นในเชิงบวกมากขึ้น ไม่มองว่าเธอเป็นคู่แข่งเหมือนเช่นแต่ก่อน มิหนำซ้ำยังรู้สึกอยากจะชักจูงแนะนำเธอไปในทางที่ดี ประมาณว่าอยากทำตัวคอยดูแลเหมือนเป็นแม่อีกคนของเธอได้เลยล่ะ ผลที่เห็นเช่นนี้ก็เลยไม่ค่อยน่าแปลกใจ ถ้าจะเห็นหญิงอายุสัก 50 กว่าปีขึ้นไป กลายเป็นผู้นำองค์กรหรือมูลนิธิเพื่อรณรงค์อะไรดี ๆ สักอย่าง แบบว่าเมื่อฮอร์โมนเริ่มเข้าที่เข้าทาง วิญญาณแม่พระก็ประทับองค์ลงเต็มตัว ... แหม รู้แบบนี้แล้วรักเจ้านายผู้หญิงอายุ 50 อัพขึ้นอีกเยอะเลย ;)
และนี่ก็เป็นเรื่องแปลก ๆ แต่น่ารู้ของผู้หญิง ที่เราคัดเลือกมาฝากกัน เผื่อว่าสาว ๆ บางคนจะเอาไปใช้กับตัวเอง หรือเรียนรู้สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับตัวเองได้มากขึ้น (ใครที่อ่านแล้วรู้สึกว่าตรงเผง "นี่มันตัวฉันเลย!" จะมีไหมน้า) หรืออาจทำให้หนุ่ม ๆ หรือคุณสามี มองคุณผู้หญิงได้อย่างเข้าใจทะลุปรุโปร่งกว่าเดิม (รู้นะ ว่ามีผู้ชายเข้ามาอ่านเหมือนกัน) ใครมีอะไรน่ารู้เพิ่มเติม ก็ลองมาพูดคุยกันดูได้นะคะ แล้วเราจะลองขุดคุ้ยแง่มุมแปลก ๆ ของผู้หญิงมากฝากคุณอีกจ้า ^^