สัมผัสรักสู่ลูกน้อยในครรภ์ (momypedia)
โดย: ลูกมด
ยามใดที่คิดถึงลูกน้อยในครรภ์ แม่มักจะวาดภาพว่าหนูน้อยคงเอาแต่หลับอยู่ในโลกที่อุ่นสบายเกือบตลอดเวลา แต่จริง ๆ ไม่เป็นอย่างนั้น ทารกในครรภ์แม่ไม่ได้นอนหลับหรือตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงหรอก ลูกสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายนอกได้ทีละเล็กละน้อยด้วยประสาทสัมผัสด้านต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตามวัย
ลูกได้ยินเสียงแม่นะ ราวเดือนที่ 3 ที่อยู่ในท้องแม่ อวัยวะสำหรับการฟังของลูกเริ่มพัฒนาขึ้น พอในราวเดือนที่ 4-5 ก็พัฒนาจนใช้การได้ดี ลูกเริ่มได้ยินเสียงจากภายนอก แบบอู้อี้เล็กๆ เพราะเสียงนั้นต้องผ่านน้ำคร่ำที่ล้อมรอบตัวเขาเข้าไปอีกที ยังมีการค้นพบอีกว่า ลูกสามารถจับน้ำเสียงหรือโทนเสียง ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดของแม่หรือพ่อ หรือเสียงเพลง แล้วลูกก็จะขยับเคลื่อนไหวร่างกายตามโทนเสียงนั้นด้วย
แน่นอนค่ะว่าลูกย่อมได้ยินเสียงภายในกายแม่ โดยเฉพาะเสียงเต้นที่เป็นจังหวะของหัวใจแม่ ลูกจะได้ยินเสียงนี้ตลอดเวลา จนเกิดความคุ้นเคย มีการทดลองเอาเทปเสียงเต้นของหัวใจแม่มาเปิดให้ทารกฟัง ปรากฏว่าทารกจะนอนหลับดี เติบโตดี แสดงว่าเสียงนี้สามารถกล่อมให้ทารกรู้สึกอบอุ่นสบาย
ลูกชอบแสงสลัว ๆแม้ว่าน้ำคร่ำและผนังมดลูกจะเป็นเสมือนกำแพงแน่นหนาปกป้องลูกน้อยในครรภ์ แต่ลูกก็ยังสามารถเห็นแสงที่สว่างจ้าได้ แต่เห็นเป็นเพียงแสงแดง ๆ พอลูกมีอายุได้ประมาณ 4 เดือน (ในครรภ์) ลูกจึงจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแสงสว่าง จะไม่ชอบเลยถ้ามีแสงจ้า ๆ ส่องเข้ามา ลูกจะหันหลบ ดิ้นหนี หรือยกมือปิดตา ลูกชอบที่สลัว ๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่า
ลูกเรียนรู้แล้วด้วย ลูกน้อยสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ตั้งแต่เดือนที่ 6 การที่ลูกได้ยินเสียงใดเสียงหนึ่งที่พอใจ หรือเมื่อได้สัมผัสเช่นนั้นอีกจะทำให้เขาเกิดความสบายใจ มีอารมณ์ดี การทดลองให้เด็กฟังเสียงเต้นของหัวใจแม่ แล้วเด็กจะหยุดร้องไห้ สงบลง ก็เป็นตัวอย่างที่ยืนยันได้
สัมผัสพ่อแม่-ลูกผูกพันพ่อแม่ที่ปรารถนาจะสร้างสัมพันธ์พ่อแม่-ลูกตั้งแต่ต้น เริ่มได้ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องแม่เลยค่ะ ด้วยวิธีง่าย ๆ เช่นการส่งสัมผัสลูบไล้เบา ๆ ที่หน้าท้องอย่างอ่อนโยน ลูกรู้สึกสัมผัสนี้ได้ ลูกจะรู้ว่าสัมผัสอย่างนี้เองที่บ่งบอกถึงความรักและปรารถนาดี อาจจะพูดกับลูกไปด้วย เพราะจะรับรู้และจดจำ
วิธีนี้ไม่จำกัดให้แม่ทำคนเดียว คุณพ่อคนดีก็ช่วยฝึกให้ลูกจดจำสัมผัสแบบนี้ได้เหมือนกัน พยายามบอกให้เขารู้ว่านอกจากแม่แล้ว ยังมีผู้ชายคนนี้อีกคนที่รอรักเขาอยู่ ลูกจะรับรู้สัมผัสเหล่านี้ได้อย่างเป็นสุขแน่นอนค่ะ
ส่งเสียงสร้างสรรค์เสียงที่ส่งให้ลูกฟังนั้น นอกจากเสียงแม่หรือพ่อเองแล้ว ยังใช้เสียงดนตรีหรือจะเป็นเพลงที่มีเนื้อร้องเปิดกล่อมให้ลูกฟังให้ใจสบายได้อีกเสียงหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกประเภทเพลง เพราะอย่างที่บอกแล้วว่าลูกจะเคลื่อนไหวร่างกายตามเสียงที่ได้ยินด้วยการส่งเสียงให้ลูกได้ยินจึงเท่ากับเป็นการกระตุ้นพัฒนาการเคลื่อนไหว และการตอบสนองต่อเสียงของลูกไปในตัวควรเลือกเพลงที่เลียนทำนองเสียงอย่างอ่อนโยนของพ่อแม่ เช่น เพลงบรรเลงเบา ๆ ท่วงทำนองหวาน ๆ เย็น ๆ หรือเพลงกล่อมเด็กจังหวะเรียบรื่น จะช่วยให้เขาเคลื่อนไหวตัวเองไป
เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นแล้ว ลูกจะอยู่ชิดแม่ที่ผนังท้องมากขึ้น ก็จะได้ยินเสียงชัดขึ้นได้ชัดเจนขึ้น พ่อที่ร้องเพลงกล่อมลูกด้วยนั้น ถือว่าได้ทำการกล่อมสองต่อ แม่ลูกจะอารมณ์ดีเชื่อมโยงกันไป เพราะแม่ลูกเขาอารมณ์เดียวกันอยู่แล้ว
เคลื่อนไหว...ได้ความรู้สึการที่คุณแม่หักโหม ทำโน่นทำนี่ออกแรงไม่หยุด ลูกก็จะเคลื่อไหวตามจนเหนื่อย อาจไม่ได้พักผ่อนตามไปด้วย เขาจะส่งสัญญาณโดยการ เตะ ถีบ ดิ้น กระดุกกระดิก อย่างอึดอัด เพราะรู้สึกไม่สบายตัว ทางที่ดี ออกแรงบ้างแต่พอสมควร เพราะถ้าเอาแต่อยู่นิ่ง ๆ ลูกก็จะไม่มีพัฒนาการความรู้สึกเสียเลย แม่เองไม่ยืดเส้นยืดสายบ้างก็ไม่ดี พยายามดูแลตัวเองให้ทำแต่พอดี
ถ้าอยากช่วยพัฒนาลูกบ้าง ลองใช้วิธีพักผ่อนง่าย ๆ ทำงานเบา ๆ เช่นถักเสื้อ ถักหมวกเตรียมไว้ให้ลูกนั่นล่ะ อยู่บนเก้าอี้โยกที่โยกน้อยๆ เป็นการกล่อมทั้งแม่และลูกให้สบายใจ ความสุขความพอใจที่แม่รู้สึก จะทำให้ร่างกายแม่หลั่งเอนดอร์ฟิน สารแห่งความสุขออกมา ซึ่งจะส่งซ่านผ่านกระแสเลือดไปถึงลูกด้วย ถ้าทำให้ลูกชินกับอารมณ์ดีๆ เช่นนี้ตั้งแต่เขาอยู่ในท้อง ก็จะเป็นพื้นฐานที่ดีต่อพัฒนาการของลูกเมื่อเกิดมา เรื่องอารมณ์เป็นสุขของแม่นี้เห็นทีต้องขอความร่วมมือจากคุณพ่ออีกแรง ดูแลเอาใจใส่คุณแม่ให้มาก รับรองลูกได้รับด้วยแน่นอนค่ะ
เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
