x close

สมศักดิ์ ชลาชล บทเรียนชีวิต ผิดเป็นครู

สมศักดิ์ ชลาชล

สมศักดิ์ ชลาชล



สมศักดิ์ ชลาชล บทเรียนชีวิต ผิดเป็นครู (กรุงเทพธุรกิจ)

          ช่างทำผมไทยที่คุณนึกถึงคนแรกคือใคร "สมศักดิ์ ชลาชล" คือชื่อที่ผุดขึ้นในหัวใช่หรือไม่ ช่างผมฝีปากคมคนนี้ มีตำรามีชีวิตให้ศึกษาไม่รู้เบื่อ


          ชายผู้ปฏิวัติวงการซาลอนไทย มีชื่อเสียงกระฉ่อนในหมู่ช่างทำผมนานกว่า 20 ปีแล้ว นอกจากฝีมือเจนจัดปรากฏชัด เขายังสร้างอาณาจักรธุรกิจร้านทำผมให้ฮือฮาถึง 5 แบรนด์ในเครือ "ชลาชล" จากชลาชล แฮร์สตูดิโอ สู่ร้านคิวคัท, ซาลอน เดอ บีเคเค, ซาลอน ดู กูรู และล่าสุดกับ ศักดิ์ บาย ชลาชล กว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย การต่อสู้บนสังเวียนชีวิตต้องใช้ประสบการณ์ทั้งบู๊และบุ๋น  ทุกช่วงวัยเพื่อหล่อหลอมความเป็นสมศักดิ์ในวันนี้  

          ต้นเหตุที่ทำให้เขากล้าฉีกกฎเกณฑ์เดิม ๆ ของสังคม คงเพราะเป็นคนตามใจตัวเองและเป็นตัวของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ผู้ชายลั้นลา ชอบเข้าสังคม นายสมศักดิ์ ชลาชล รักงานปาร์ตี้เป็นชีวิตจิตใจ ขนาดเคยเป็นโต้โผงานวันเกิดตัวเองตั้งแต่ 7 ขวบมาแล้ว 

          วัยฉกรรจ์ สมศักดิ์มีมาดแมน และดูเป็นผู้ชายมาก ถึงขนาดทุกวันนี้เพื่อนยังไม่เชื่อว่าเขาเป็น "คนชายขอบ" ทุกวันที่ส่องกระจกดูใบหน้าและมองทะลุไปเห็นจิตใจของตัวเอง เขายินดีประกาศให้โลกรู้ว่า เขานี่แหละเป็นเกย์แบบหยั่งรากฝังลึก

          ย้อนวัยวันวาน สมศักดิ์ไม่อำพรางว่าเป็นเด็กสนุกสนานกับชีวิตมากกว่าตำรา ด้นชีวิตจบมัธยมปลายแล้วศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทาได้อนุปริญญามานอนกอด สมศักดิ์ชอบความวาไรตี้ อยากเรียนรู้ทุกอย่างทั้งการโรงแรม การเงิน การธนาคาร แต่ไปไม่ตลอดรอดฝั่งเคยลงเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่สุดท้ายก็ยอมยกธงขาว 

          ในสายตาคนอื่น สมศักดิ์ ชลาชล อาจดูเป็นคนไม่เอาถ่าน  แต่เจ้าพ่อซาลอนไทยไม่เคยใส่ใจ เขาสนุกกับการเดินบนเส้นทางที่เลือกเอง ทำให้มีประสบการณ์เยอะเกินเด็ก และเอาตัวรอดมาได้ตลอด แม้จะทุลักทุเลบ้างก็เอาเถอะน่า

          เขาเริ่มเล่าชีวิตเสเพลให้ฟังว่า กลางวันก็ซ่า จนได้ฉายาในหมู่เพื่อนวัยคะนองว่า "ศักดิ์สปาร์ต้า" เที่ยวกลางคืนตั้งแต่สมัยวงโรยัลสไปร์ทกำลังโด่งดัง อาศัยจังหวะที่พี่ชายเล่นดนตรีอยู่ตามผับบาร์ ในแคมป์ทหารฝรั่งเป็นคนเปิดช่องทาง "แรด" ตั้งแต่วัยเอ๊าะ

          "พี่เป็นคนสวมรองเท้าคอนเวิร์สเป็นคนแรก ๆ เพราะรู้จักร้านขายเฉพาะ เลยดูทันสมัยมาก พี่ก็เพลิดเพลินกับแสงสี ดนตรีชาโด้ก็เล่น มูแรงรูจก็ไป เที่ยวแถวราชดำเนินก็บ่อย ขนาดผับหรูที่สุดในประเทศสมัยนั้นอย่าง ซามิชาโตะ ย่านราชประสงค์ ก็สถิตมาแล้ว"

          ด้วยไลฟ์สไตล์แบบนี้ ทำให้เขามีโอกาสคบหาสมาคมกับคนในวงสังคมชั้นสูง ขณะเดียวกันเขาก็ยังเห็นมนุษย์ทุกรุ่นทุกวัย เพราะเคยเที่ยวกับศิลปินฝรั่งซึ่งร่อนเร่ไปทั่ว

          "แม้พี่จะเป็นคนยุคเบบี้บูมก็เถอะ แต่จอยกับทุกยุคทุกเจเนอเรชั่นได้ พี่เป็นคนสองทศวรรษ เหมือนทวิภพ (หัวเราะ) สิ่งที่เราได้ ทำให้คิด ได้เปรียบเทียบ กลายเป็นกรณีศึกษาสอนเด็กของเรา (พนักงานชลาชล) ทุกวันนี้ เลยรู้สึกว่าชีวิตนี้สนุกดี และรักตัวเองมาก ๆ "  

          แม้ช่วงวัยหนุ่มคึกคะนอง แต่กลับไม่มีปัญหากับทางบ้านเลย เพราะพ่อแม่รับได้ในฐานะเป็นเด็กผู้ชาย ไม่ใช่เกย์ เพราะเขาถูกตามใจมากเสียจนกู่ไม่กลับ อีกทั้งแสดงความแกร่งกล้าให้ครอบครัวรับรู้ว่า เขาคอนโทรลชีวิตตัวเองได้

          "พี่เป็นคนจีน ติดเรื่องค้าขาย ก็หาเลี้ยงชีพตัวเองไปเรื่อย เคยขายผ่อนผ้าไหมกับแม่ของเพื่อน หรืออยากเที่ยว ก็จะขายบัวลอยกับเพื่อน อยากได้อะไรก็หาเอาเอง พอโตขึ้น อยากได้นาฬิกาเรือนนั้นมาก ก็ต้องไปบรรยายสอน เพื่อหาเงินซื้อเอง ไม่เกี่ยวกับบริษัท"

          ใช่ว่าจะปล่อยลูกไปเผชิญชะตากรรมโดยไม่เหลียวแล สมศักดิ์บอกว่า วิธีคอยตามดูแลอยู่ห่างๆ เหมาะสมที่สุด ตอนนั้น พ่อมักจะเอาเงินไปฝากพ่อของเพื่อนเลี้ยงแทน และยังแนะนำต่อว่า วัคซีนที่ดีที่สุด คือครอบครัว 

          "รู้ไว้เถอะว่า 15-16 ปี เด็กมันเบื่อที่จะอยู่กับคุณแล้ว ฉะนั้น 15 ปีแรก ดูแลให้เยอะ ตอนนี้ พี่รับเลี้ยงเด็กบุญธรรม เราเป็นปู่ รู้ว่าครอบครัวของเขาไม่สมบูรณ์ เราก็พยายามเติมเต็ม ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วยว่า เดี๋ยวมันเป็นหนุ่ม ก็อาจจะซ่าเหมือนเรา เราก็เอาเคสที่เก็บสะสมไว้มาใช้กับหลาน หรือแม้แต่เด็กของเรา"

          ในระหว่างช่วงชีวิตฟันฝ่าอุปสรรคนานา ก็ถึงวัยทำงานที่ต้องผ่านบทเรียนฉบับ "ดราม่า" ด้วยเช่นกัน

          ย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว สมศักดิ์เข้าออกร้านทำผมเป็นอาจิณ และเห็นว่ามีผู้ชายเป็นช่างทำผมกันมากขึ้น สมศักดิ์อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านตั้งใจเป็นช่างทำผม และเดินทางไปเรียนเกตุวดีตามคำแนะนำเจ้าของร้าน

          "สองสัปดาห์แรก มันไม่เอื้อกับเราเลย เพราะไม่ใช่สังคมเดียวกับเรา แต่ก็ลดเกรดตัวเองลง อดทนเรียน ยืนนานมากแต่แล้วมือกรรไกรของเรา มันก็เป็นไปของมันเอง จะเรียกพรสวรรค์ก็ได้ และเริ่มตระหนักว่าต้องแสวงหาวิชาต่อ บวกกับเรามีทุนอยู่ด้วย โอกาสเราดีกว่า มีการศึกษาที่ดีกว่า ฐานะดีกว่า มุมมองดีกว่า และมีประสบการณ์มากกว่า"  

          พอมาถึงจุดจริงจังกับอาชีพ แต่แม่กลับไม่ยอมรับ เขาให้บ้านหลังหนึ่ง กับรถเปอโยต์คู่ใจ แล้วตัดแม่ตัดลูก และเมื่อกล้าประกาศความเป็นเกย์กับคู่หมั้นคลุมถุงชน แม่ก็ยิ่งเจ็บปวดหนักขึ้นอีก 

          สมศักดิ์คิดถึงเหตุการณ์แสนเศร้า แล้วเล่าต่อว่า คนสมัยก่อนเป็นแบบ top down  พ่อแม่เป็นอย่างไรก็อยากให้ลูกเดินตาม แม้ความกดดันจะมีมาก เหนื่อยทั้งกายใจ 

          แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจเดินหน้า ผลลัพธ์ที่ได้ ย่อมเป็น ต้นร้ายปลายดี 

          "เมื่อรับรางวัลแชมป์ผมพระราชทานพระราชินี ท่านทั้งสองภูมิใจมาก และยิ่งทำนามสกุลให้โด่งดังได้ พวกเขาอมยิ้มและนับเงินอย่างมีความสุขที่สุด" สมศักดิ์ บอก 

          เป็นลูกจ้างเกตุวดี 8 ปี  สมศักดิ์กระหายวิชาและบ้างาน เขาทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ขับรถ ทำผมนอกสถานที่ นั่นทำให้รู้จักคนดังอย่างเจ้ากอแก้ว ประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ และดารามากหน้าหลายตา จนกระทั่งรู้ว่าพร้อมลุยแล้ว จึงลาออกมาเปิดร้านของตัวเอง

          แม้ชีวิตส่วนตัวลุ่ม ๆ ดอน ๆ และเป็นคนทะเยอทะยาน  แต่ Portfolioของสมศักดิ์ประวัติดี ไม่มีด่างพร้อย เขาไม่ดึงคนจากเกตุวดี แต่จะค่อย ๆ สร้างคนทีละสเต็ป จาก 4 เพิ่มไปเรื่อย ๆ พอมีลูกค้าเยอะขึ้น ลูกน้องเพิ่ม ก็ต้องขยายกิจการ เกิดไอเดียขายแฟรนไชส์ 

          เพราะมีประสบการณ์ "เจ๊ง" จากร้านแรกชื่อ HalfHalf ที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า ทำให้ค้นพบว่าตนเองเก่งคน สังคม แต่ไม่เชี่ยวชาญธุรกิจ ด้านการเงิน ถึงจะหาเงิน ใช้เงินคล่อง แต่บริหารจัดการเงินไม่เป็น จึงต้องให้คนอื่นลงทุนแล้วหันมาพัฒนาคนดีกว่า ครั้นเปิดมาเรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังจ้างบริษัท แบรนด์ บีอิ้ง มาวางแผนการตลาด แล้วฉกชิงวิชาความรู้มาใช้ต่อยอดเสมอ

          แม้จะเกิดอุปสรรค แต่ปัญหาสร้างปัญญา ผู้บริหารร้านชลาชลจะวิ่งหาปัญหา ยิ่งเป็นคนใจนักเลงด้วยแล้ว  ฉะนั้นสิ่งที่ทำออกไป เขาคิดดีแล้ว และไอเดียยังอยู่ในกรอบสังคม มันจะผิดตรงไหน ที่เขาเว่อร์ ก็เงินของเขาเองนี่นา 

          และถ้าจะล้วงรหัสลับความสำเร็จทางธุรกิจของชลาชล ประธานบริษัทเปิดเผยทันทีว่า  "จริงใจ จริงจัง และเจนจัด" 

          "พี่มีโอกาสจะทำธุรกิจอย่างอื่นเยอะแยะเพราะเข้าถึงคนง่าย แต่พี่ปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการให้โฟกัสของมันเบลอ อย่างคนอื่น เอานวดตัวนวดหน้ามาอยู่ในร้าน พี่ไม่เอาเลยนะ ชลาชลจะไม่มีอย่างนั้นแน่นอน เพราะเราเชื่อมั่นว่าชำนาญด้านไหน เอาด้านนั้น เงินมันล่อหลอกตลอดเวลา ยิ่งมาอยู่ในแวดวงไฮโซด้วยแล้ว ยิ่งมีสิ่งยั่วยุเราได้ง่าย"

          สาเหตุที่ไม่หลงทาง เกิดจากความรักในอาชีพเป็นสำคัญ และต้องต่อสู้กับทัศนคติเชิงลบทั้งหลายเพื่อยกระดับช่างผมไทย  เขาเป็นคนแรกที่ปฏิวัติวงการด้วยวิธีตกแต่งร้านและสร้างความเป็นเลิศในวิชาชีพ

          "พี่มีคติว่าคนเราต้องมีภูมิ สู้กับตัวเอง ดูให้ชัดในสิ่งที่ตัวเราชอบ และถ้าชอบก็ทำให้ถึงที่สุด ฉะนั้นเราต้องโหยหาวิชาการ เพราะฉันไม่จบปริญญา คนนอกจะมองเราไม่ดี กลับไปเรียนก็ไม่สาย"

          สมศักดิ์ ขวนขวายจนจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์ที่รามคำแหง ตอนอายุ 40 ปี แล้วก็จบปริญญาโท และเอก ทำให้พูดคุยกับนักวิชาการได้คล่อง เขาไม่คิดว่าเป็นแค่ช่างทำผม และชอบที่จะเรียนรู้เสมอ บินไปดูเทรนด์แฟชั่นเมืองนอกเลย เราต้องล้างตัวก่อนจะไปดัดจริตกับคนอื่น" 

          ส่วนพรสวรรค์จะพัฒนาได้ ต้องทำซ้ำ ถ้าชอบ ต้องทำมันซ้ำ ๆ จนเกิดความคิดสร้างสรรค์ แล้วถ้าสงสัยว่าจะรู้จักความชอบอย่างไร สำหรับคนที่นึกไม่ออกว่าชอบอะไร เขาแนะให้มองย้อนกลับไปดูว่า เราทำอะไรบ่อย ๆ นั่นแหละคือสิ่งที่เราชอบ 

          จาก 3 จ ก้าวสู่ 3 ก  ซึ่ง ก.แรก มีประสบการณ์ แน่นอนว่าชลาชล สั่งสมจนแน่นปึ้ก ส่วน ก.ที่สองวิชาการ สมศักดิ์บอกว่าทำเพื่อพัฒนาโครงสร้างบริษัทและยกระดับวงการช่างผมไทยให้ยั่งยืน  และ ก. สุดท้ายคือ จินตนาการ ถึงวิถีทางแห่งความสำเร็จ

          "เราต้องสร้างไอดอลให้ตัวเอง กระตุ้นตัวเองด้วยตัวเอง ไอดอลคนเราเปลี่ยนทุก 10 ปี แรงทะเยอทะยานเป็นตัวฉุดเราขึ้นไป จากที่เป็น Hair Hero Asia-Pacific เราก็มองภาพต่อไป ต้องเป็นอะไร"

          นอกจากกฎเหล็กที่ตั้งไว้ ช่างทำผมแบรนด์ไทยส่วนสูง 163 เซนติเมตร ยังอาศัยคุณธรรมเข้าช่วย เขามุ่งมั่นจะพัฒนาวงการช่างผมไทยเท่านั้น ไม่ใช่ลูกครึ่งหรือต่างด้าว เขาเสียภาษีทุกบาททุกสตางค์ แม้กำไรจะหดลงเหลือ 20% ก็ตาม แต่เขาประกาศกร้าวว่า ถ้าคิดจะเป็นไอดอลคนอื่น ต้องสะอาดไร้มลทินและไม่อกตัญญู

          "แนวคิดของพี่ ไม่ขัดแย้งกับผู้มีบุญคุณ แต่ต้องมีไอเดียของเราเอง เป็นสิ่งที่ดี ตกตะกอน ทำให้ลูกน้องของเราเดินตามรอยเรา เวลาสอนเด็ก จะเอากรณีศึกษามาสอน อย่าตกตะกอนทางความคิดอย่างเดียว แต่ต้องตกตะกอนทางการปฏิบัติด้วย"

          วิถีแห่งความสำเร็จของสมศักดิ์ ชลาชลนั้นเป็นปล้อง ๆ พร้อมที่จะต่อยอดไปเรื่อย ๆ เขาไม่เคยบอกว่าตัวเองสำเร็จ เพราะคำนั้นแปลว่าหยุด

          นั่นทำให้เขากระตือรือร้นวางแผนโครงสร้างของชีวิต และสิ่งที่จะทำมากกว่า 

          สำหรับครอบครัว ได้พ่อแม่ดูแลจนวินาทีสุดท้าย ส่วนหน้าที่การงานนั้นเพอร์เฟคแล้ว ถึงเวลาส่งไม้ให้หลาน ๆ มาสานต่อ เขาเพียงแต่มองภาพกว้างเท่านั้น

          ต่อมาก็ต้อง ดูแลตัวเอง จากที่เคยเป็นผู้รับมาตลอด เงินผ่านมือเยอะมาก ชอบเสกให้ตัวเองเป็นสุข ถึงขนาดฉีดไลฟ์เซลล์ 6 - 7 แสน กินมื้อละ 3 - 4 หมื่นก็เคยมาแล้ว เขาเสพทุกอย่างที่ทำให้มีความสุข 

          แต่ปัจจุบัน เขาเรียนรู้แล้วว่าได้โอกาสจากร่างกายและสมองมามาก ฉะนั้นหากรู้สึกเหนื่อยก็ต้องพัก และตรวจสุขภาพทุก 6 เดือน ควบคุมน้ำหนักไม่เกิน 64 กิโลกรัม ทำงานเยอะได้ แต่ต้องกินดี กินผัก กินน้อยลง เสพสิ่งดี ๆ อยู่ที่ดี ๆ และรีแลกซ์ แต่ก็มีบ้างที่จะต้องทรีตเม้นต์ด้วยเครื่องสำอาง 

          สมศักดิ์บอกว่าการดูแลบุคลิกภาพให้ Young @ Heart ต้องอยู่กับเด็ก ความคิดแบบเด็กนั้นผ่อนคลาย ทำให้มองโลกในแง่ดี ในขณะที่ความกังวล ความคิดฟุ้งซ่าน มันทำให้แก่เร็ว ทุกวันนี้เขาจึงรู้สึกเหมือนยิ่งอายุมากขึ้นแต่ยิ่งเด็กลง 

          และสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ คือยกระดับช่างทำผมไทย ซึ่งต้องทำ Academy ประยุกต์ความรู้ระดับแอดวานซ์สู่ช่างผม เปลี่ยนไทยเป็นศูนย์กลางแฟชั่นผมให้ได้ 

          และขยายต่อกิจกรรมทำเพื่อสังคมแผ่นดินแม่ ตอบแทนสังคม หากิจกรรมบุญร่วมกับลูกค้า เช่น กองทุนสมศักดิ์เพื่อสมศักดิ์ และพัฒนามนุษย์เต็มที่ อาทิสร้างโรงเรียนให้เณร 

          "เพราะเป็นคนไม่มีวินัย มาตั้งแต่เด็ก ติดความสบาย มาปรับตอนโตก็สายเสียแล้ว และสิ่งที่จะปรับตั้งแต่เด็กคือให้เขาชอบอ่าน ต้องจัดการการอ่านในสิ่งที่ชอบก่อน และกำลังจะพัฒนาวัด เพื่อให้เด็กเข้าวัด ถึงมันโตเป็นวัยรุ่นเฮ้วแค่ไหน ก็น่าจะมีพื้นฐานตั้งแต่เด็กไว้หล่อเลี้ยงบ้าง"

          วินาทีนี้ เขากำลังใช้ดอกเบี้ยชีวิตที่ได้รับจากตำราของเขาเอง




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สมศักดิ์ ชลาชล บทเรียนชีวิต ผิดเป็นครู อัปเดตล่าสุด 16 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 16:52:43 7,769 อ่าน
TOP