อยู่ไฟ เพื่อแม่หลังคลอด

ตั้งครรภ์

อยู่ไฟ เพื่อแม่หลังคลอด
(รักลูก)

             การอยู่ไฟ คือวิธีดูแลแม่หลังคลอดที่มีมานาน ปัจจุบันนี้มีคุณแม่จำนวนไม่น้อยที่อยู่ไฟเพื่อสุขภาพ แต่จะมีประโยชน์อย่างไร อยู่นานแค่ไหน มีวิธีอย่างไร เราหาคำตอบมาให้คุณแล้วค่ะ

ทำไมต้องอยู่ไฟ

             ปัจจุบันการอยู่ไฟค่อนข้างมีความแตกต่างไปจากสมัยก่อน โดยเฉพาะในเรื่องของกระบวนการ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิม ก็คือแนวคิดและวัตถุประสงค์ในการอยู่ไฟค่ะ นั่นก็คือเพื่อดูแลสุขภาพของแม่หลังคลอด ทั้งการรักษา ป้องกัน ฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพ แถมยังได้ประโยชน์ในเรื่องความงามอีกด้วย

             เพราะช่วงตั้งครรภ์ทุกส่วนในร่างกายของคุณแม่จะขยาย การอยู่ไฟจะช่วยให้ส่วนต่างๆ กลับเข้าสู่สภาพปกติ เช่น ช่วยให้มดลูกเข้าอู่ ช่วยขับของเสียที่คั่งค้างภายในร่างกายหลังคลอด ช่วยรักษาแผลฝีเย็บ ป้องกันการติดเชื้อ และยังช่วยปรับระดับความร้อน ความเย็นภายในร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมดุล ซึ่งในระยะยาวจะช่วยในเรื่องของอาการหนาวสะท้ายโดยมิทราบสาเหตุ

อยู่ไฟเมื่อไหร่และนานแค่ไหน

             ในสมัยโบราณระยะเรือนไฟคือช่วง 3 เดือนแรกหลังคลอดค่ะ หมายความว่าในระยะนั้นสามารถอยู่ไฟได้ สมัยก่อนเมื่อคุณแม่คลอดเสร็จจะให้อยู่ไฟเลย แต่ปัจจุบันจะรอให้แผลหายก่อน สำหรับคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติบางคนหลังคลอด 7 วันแผลหายก็สามารถอยู่ไฟได้ แต่ถ้าผ่าคลอดก็อาจต้องรอเป็นเดือน

             ทั้งนี้ควรยืดหลักความปลอดภัยด้วยค่ะ คือดูความพร้อมทางด้านร่างกายของคุณแม่ เพราะหลังคลอดคุณแม่อาจมีไข้ ร่างกายอ่อนล้า บางคนแผลสนิทแล้วก็จริงแต่ร่างกายยังไม่พร้อม จึงไม่อาจระบุได้ชัดเจนว่าควรอยู่ไฟหลังจากคลอดแล้วกี่วัน

             ส่วนเรื่องจำนวนวันในการอยู่ไฟนั้น ในสมัยก่อนอยู่กันเป็นเดือนเลยค่ะ เพราะถือเป็นช่วงที่ต้องดูแลแม่หลังคลอดอย่างเข้มข้น แต่ในปัจจุบันนิยมใช้บริการอยู่ไฟจากโรงพยาบาล หรือศูนย์บริการแพทย์แผ่นไทย จึงมีปัจจัยเรื่องเวลาและค่าใช้จ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ส่วนใหญ่อาจอยู่ไฟได้ไม่ถึงเดือน ซึ่งระยะเวลาในการอยู่ไฟ จึงขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน แต่อย่างน้อยควรอยู่ไม่ต่ำกว่า 7 วันก็จะทำให้ได้ผลดี โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ไฟต้องดูแลให้ยาถึงจริง ๆ ค่ะ

ข้อควรระวัง

             คุณแม่หลังคลอดที่มีอาการของโรคหอบหืด โรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ควรระมัดระวังในการเข้ากระโจม เพราะอาจเป็นลมได้

             หลังจากเข้ากระโจมแล้วควรดื่มน้ำอุณหภูมิปกติประมาณ 1 ถ้วย

             หลังจากเข้ากระโจมควรรอให้อุณหภูมิของร่างกายลดลงจนปกติแล้วจึงอาบน้ำ

วิธีการอยู่ไฟ

กระบวนการอยู่ไฟในปัจจุบันมีวิธีการดังต่อไปนี้ค่ะ

             การอบสมุนไพรหรือเข้ากระโจม จะทำให้ร่างกายขับของเสียออกทางผิวหนัง ช่วยขับน้ำคาวปลา และยังช่วยทำความสะอาดผิวพรรณ โดยในกระโจมจะมีสมุนไพร ดังนี้

             กลุ่มที่ 1 สมุนไพรเฉพาะกลุ่มอาการ เช่น ไพล จะช่วยในเรื่องการอักเสบของมดลูก ผักบุ้ง และขมิ้น

             กลุ่มที่ 2 สมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้ออ่อนๆ นำมาอบเพื่อให้มีกลิ่นหอม เช่น ใบเปล้า

             กลุ่มที่ 3 สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว ช่วยทำให้ผิวสะอาด เช่น ใบมะขาม ใบส้มป่อย ผิวมะกรูด (บางคนอาจใส่น้ำมะกรูดด้วย)

             กลุ่มที่ 4 กลุ่มระเหยหอม เช่น การบูร พิมเสน ช่วยทำให้จมูกโล่ง แต่ไม่ควรใส่มากเพราะอาจทำให้แสบตา

             ควรเข้ากระโจมต่อเนื่อง 7 วัน วันละ 20 นาที และอาจประคบเปียกโดยใช้ลูกประคบ 3 ลูก จุ่มน้ำร้อนพออุ่น ลูกหนึ่งหงายขึ้นแล้วนั่งให้ตรงกับฝีเย็บ อีก 2 ลูกใช้ประคบตามตัวและศีรษะ

ข้อควรระวัง

             หลังการประคบสมุนไพรไม่ควรอาบน้ำทันที เพราะจะไปซะล้างยาออกจากผิวหนัง และที่สำคัญร่างกายยังปรับตัวไม่ทัน

             ควรระวังแม่หลังคลอดที่เป็นโรคเบาหวาน ซึ่งอาจมีการตอบสนองช้า ดังนั้น ไม่ควรใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไป อาจทำให้ผิวหนังไหม้หรือพองได้ง่าย

             คุณแม่ที่คลอดลูกด้วยการผ่าตัดไม่ควรนานหรือทับหม้อเกลือทันที ควรทำหลังจากคลอดแล้ว 1 เดือน และควรเริ่มนาบเบาๆ ก่อน

             ไม่ควรนาบหรือทับหม้อเกลือหลังรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ และไม่นาบบริเวณที่เป็นกระดุก เช่น กระดูกเชิงกราน กระดูกต้นขาตรงสะโพก กระดูกหัวหน่าว กระดูกสันหลัง ชายโครง สิ้นปี่ เป็นต้น เพราะจะทำให้ระบบและพองได้

           การนวดหลังคลอดจะมีการนวดเข้าตะเกียบ เพราะช่วยที่ขึ้นขาหยั่งหรือตอนเบ่งคลอดอาจทำให้ข้อสะโพกหรือข้อกระดูกคราก ทำให้เดินปัดๆ หรือขัดๆ ตามข้อสะโพก จึงต้องนวดเข้าตะเกียบเพื่อให้ข้อต่อเข้าที่ นอกจากนวดตะเกียบแล้ว ปัจจุบันก็อาจมีการเสริมเรื่องของการนวดเพื่อสุขภาพ เช่น นวดน้ำมันงา เพื่อบำรุงผิว เป็นต้น

             การประคบสมุนไพร จะใช้ผ้าห่อตัวยาสมุนไพร คือไพล ตะไคร้ ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ผิวมะกรูด เถาเอ็นอ่อน ใบส้มป่อย ใบมะขาม และการบูร ทำให้เป็นลูกประคบแล้วนำไปนึ่งอบร้อน จากนั้นนำมาประคบตามร่างกายและเต้านม (ในกรณีที่คัดนม) โดยใช้ผ้ารองบริเวณที่จะประคบเพื่อไม่ให้ร้อนจนเกินไป เมื่อลูกประคบอุ่นจึงเอาผ้าออกและคลึงบริเวณที่ต้องการประคบนาน

             หลังการประคบให้ใช้น้ำยาสมุนไพรที่เหลือจากการเข้ากระโจม (โดยทิ้งไว้ให้อุ่น) มาอาบให้หมด แล้วอาบน้ำอุ่นเพื่อล้างอีกครั้งหนึ่งค่ะ

             การนาบหรือทับหม้อเกลือ ทำโดยการนำเกลือใส่ในหม้อดินขนาดเล็ก ปิดฝาแล้วนำไปตั้งเตาที่ให้ความร้อนปานกลางประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นนำไปวางบนใบพลับพลึงซึ่งวางบนผ้าผืนใหญ่อีกที แล้วรวบชายผ้ามัดเป็นกระจุกเพื่อสะดวกในการถือตอนนำไปนาบหรือทับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้แก่ สะโพก ก้น บั้นเอว หลังส่วนบน หน้าขา ต้นขาด้านใน ซึ่งก่อนนาบต้องวางทิ้งไว้ให้หม้อเกลือคลายความร้อนก่อนนะคะ และจะให้ดีต้องมีผ้ารองบริเวณที่จะนาบอีกชั้นหนึ่งด้วย

             เมื่อนาบจนความร้อนคลายตัว ก็นำไปนาบคลึงที่หน้าท้อง เมื่อความร้อนใกล้หมดให้กดหม้อเกลือนิ่งที่บริเวณเหนือหัวหน่าว (ตำแหน่งของมดลูก) การนาบหรือทับหม้อเกลือควรทำหลังคลอดทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ช่วงเช้ามืดและบ่าย และจะให้ดีควรทำติดต่อกันเป็นเวลา 1 เดือนนะคะ

             การประคบสมุนไพรและการนาบหรือทับหม้อเกลือจะเน้นในเรื่องของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และกระตุ้นให้มดลูกบีบรัดตัวเพื่อขับน้ำคาวปลาซึ่งเป็นของเสียออกค่ะ

             เพียงคุณแม่ปรับใช้ให้เหมาะสมกับตัวเอง ศึกษาหาความรู้ หากมีปัญหาก็ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เท่านี้คุณแม่หลังคลอด ก็จะแข็งแรง fit & firm ได้ในเร็ววันค่ะ


เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย

คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อยู่ไฟ เพื่อแม่หลังคลอด อัปเดตล่าสุด 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 16:19:34 20,352 อ่าน
TOP
x close