
แฟชั่นที่ฮิตกันทุกวันนี้ส่วนมากมาจากอดีตทั้งนั้น จริงหรือไม่มาลองอ่านกันดูเลยจ้า
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมแฟชั่นที่เราฮิตกันอยู่ทุกวันนี้น่ะความจริงแล้วไม่ใช่ไอเดียแปลกใหม่อะไรเลยส่วนใหญ่มาจากการต่อยอดจากเทรนด์แฟชั่นที่เคยมีมาก่อนแล้วทั้งนั้น จะจริงเท็จประการใดก็ลองอ่านกันดูเลยจ้า
แฟชั่นเก่าเก็บที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้ที่บางชิ้นก็เคยขึ้นชื่อว่าเป็นแฟชั่นล้าสมัย วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำกลับมาปัดฝุ่นเล่าใหม่ถึงสาเหตุที่มันยังเก๋าอยู่จนทุกวันนี้ และใคร ๆ ก็ยังฮิตกันไม่เลิก ซึ่งบรรดาแฟชั่นนิสตร้าจากเว็บไซต์ Bustle.com แอบกระซิบมาว่า รู้อะไรไหมว่าแฟชั่นที่เราฮิต ๆ กันอยู่ทุกวันนี้น่ะ เมื่อก่อนเคยเป็นสิ่งที่ประหลาดโลกอย่างมากเลย แต่ก็เพราะความแปลกนี่แหละที่ถูกอัพเลเวลขึ้นมาให้กลายเป็นสิ่งขาดไม่ได้สำหรับแฟชั่นยุคนี้
ไม่น่าเชื่อว่าแฟชั่นคัน ๆ ที่ควรโละทิ้งไปแบบนี้จะมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมาก สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณช่วงปี 1341 – 1323 ก่อนคริสตกาลโน้น ที่แต่เดิมเป็นเพียงแค่การเย็บเหรียญโลหะแผ่นบาง ๆ บนเสื้อผ้าของฟาโรห์ที่สิ้นพระชนม์ตามเชื่อที่ว่าความแวววาวของโลหะจะช่วยปัดเป่าวิญญาณร้ายไม่ให้เข้ามาสิงสู่ในร่างมัมมี่ฟาโรห์นั่นเอง แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ เลื่อมปักบนเสื้อผ้าแฟชั่นของเราที่เห็นกันทั่วไปนี้ ทำมาจากพลาสติกไวนิลที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสงได้ ทนต่อแรงเสียดสี และมีความคงรูปทรงอย่างมาก จึงเป็นไอเท็มยอดฮิตที่นำมาใช้เพิ่มความไฮโซให้กับเสื้อผ้า ดังที่เราเห็นในแฟชั่นตามสยามสแควร์ยังไงล่ะ
เครดิต : Instagram hippie.mood
แฟชั่นชายเสื้อฟรุ้งฟริ้งที่เราเข้าใจกันว่าเป็นดีไซน์ของสไตล์โบฮีเมียน คาวบอย และชนเผ่า ความจริงแล้วแฟชั่นนี้มาจากชุดพื้นเมืองของชาวเมโสโปเตเมียเมื่อหลายพันปีก่อนคริสกาล ที่นำขนสัตว์มาทอเป็นผืนใหญ่ ๆ ให้เป็นสุ่มยาว มีการฉีกชายผ้าเป็นริ้วระบายซี่เล็ก ๆ เพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวสะดวก แต่เมื่อมาถึงยุค 70 แฟชั่นนี้กลับพลิกผันสุด ๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นอย่างเต็มตัวไม่ว่าจะเป็นชุดเดรส แจ็คเก็ตหนัง กางเกงชุดเดรส ผ้าคลุมไหล่ หรือแม้แต่โค้ทยาว และทุกวันนี้แฟชั่นชายเสื้อหลุดลุ่ยฟรุ้งฟริ้งก็ยังดูเตะตาสำหรับสาว ๆ อยู่ดี จริงไหม
ไอเท็มที่เหมือนเกิดมาเพื่อผู้หญิงเราโดยเฉพาะ แต่ความจริงแล้วเกิดมาเพื่อผู้ชายต่างหาก ! ย้อนกลับไปเมื่อราว ๆ หนึ่งพันปีก่อนคริสตกาล รองเท้าส้นสูงถูกคิดค้นขึ้นโดยชายหนุ่มชาวเปอร์เซียนมีอาชีพเป็นช่างทำรองเท้า เขาคิดว่าควรมีรองเท้าดี ๆ ใส่ขณะขี่ม้า จึงได้ทำรองเท้าที่มีส้นสูงขึ้นมาจากปกติ 1 นิ้ว ทำขึ้นจากหนังม้า บริเวณส้นทำจากเมล็ดมัสตาร์ดอัดแข็ง ต่อในปลายศตวรรษที่ 19 กลุ่มนางแบบนู้ดถ่ายแบบขณะสวมรองเท้าส้นสูง เพราะมันช่วยเสริมบุคลิกให้พวกเธอดูดีขึ้น แน่นอนทีเดียวว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา รองเท้าส้นสูงก็กลายเป็นสิ่งที่ผู้หญิงแทบทุกคนต้องมีมากกว่า 1 คู่ในชีวิต แต่ผู้ชายในยุคสมัยนี้กลับไม่ได้สนใจเลย

วันไหนแต่งตัวปอน ๆ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองดูจนจังเลย ลองจับหมวกปีกพับมาสวมดู รับรองว่าสไตล์คลาสสิคของหมวกทรงนี้จะทำให้คุณดูดีราศีจับในพริบตาเดียว แต่ที่มาของสไตล์หมวกปีกพับกลับไม่ได้มาจากในแวดวงผู้ดีน่ะซิ มากจากเครื่องแบบทหารต่างหาก ลองย้อนกลับไปเมื่อปี 1885 หมวกปีกพับถือเป็นหนึ่งในเครื่องแบบทหารชาวออสเตรเลียที่มีสีเป็นมาตรฐานเดียวกันคือสีกากี พวกเขาจะใส่ตอนออกไปว่าราชการในสถานที่ต่าง ๆ ต่อมาในปี 1940 กลับกลายเป็นแฟชั่นสุดฮิตของกุลสตรีชั้นสูงมีการประดับประดาด้วยพู่ขนนกสวยงาม ใส่ออกงานไหนก็เริดทุกงานเชียว
เครดิต : Instagram missymortiis
พูดไปใครจะเชื่อว่าผู้หญิงเรารู้จักกับผ้าไนลอนครั้งแรกเมื่อปี 1930 เมื่อนักเคมีชาวอเมริกันชื่อ Wallace Carothers ได้ผลิตถุงน่องจากเส้นใยไนลอนออกมาวางขายเป็นครั้งแรก และได้รับความนิยมจากผู้หญิงอเมริกันในสมัยนั้นอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากคุณสมบัติของใยสังเคราะห์ไนลอนที่มีความยืดหยุ่น และทนทาน เมื่อนำมาทำเป็นถุงน่องก็สามารถใช้งานได้นาน สาว ๆ ก็ถูกใจซิ ใช้ได้นานไม่ต้องซื้อเปลี่ยนบ่อย จากนั้นต่อมาผ้าไนลอนก็กลายเป็นผ้าใยสังเคราะห์ชนิดแรกของโลกที่ถูกนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า เช่น กระโปรง ชุดเดรส กางเกงขาสั้นที่เราเห็นในทุกวันนี้
ผ้าลูกไม้ขึ้นแท่นเป็นแฟชั่นแห่งอิสตรีเพศมานานแล้ว จากหลักฐานในสมัยยุโรปพบว่ามีการผลิตอุปกรณ์ที่เรียกว่า Cradle of Lace หรือจักรพิมพ์ลายลูกไม้ ซึ่งมีลายลูกไม้มาตรฐานอยู่ 4 แบบ คือ DUCHESS ROSEPOINT PRINCESS และ RENAISSANCE และจะนำไปใช้กับเครื่องแต่งกายของคนชั้นสูงเท่านั้น เพราะแสดงถึงความหรูหรา มีสกุลรุนชาตินั่นเอง แต่ในปัจจุบันนี้ลายลูกไม้ถูกปรับเปลี่ยนไปตามสมัยนิยมมากขึ้น คนทั่วไปก็สามารถสวมใส่เสื้อผ้าที่มีลูกไม้ได้ เช่น ชุดชั้นใน ชุดเดรส เสื้อ และถุงน่อง หรือแม้แต่แอคเซสเซอรรีหลากหลาย เช่น ต่างหู สร้อยคอ ที่คาดผม หมวก และถุงมือ เรียกว่าลูกไม้เป็นเครื่องประดับดั้งเดิมที่ช่วยเสริมเสน่ห์ของผู้หญิงเราให้น่าค้นหาสุด ๆ ปรับโหมดได้ทั้งเซ็กซี่จัด และอ่อนหวานสุด ๆ ก็ได้ทั้งนั้น

สาว ๆ หลายคนต้องนึกไม่ถึงแน่ว่ากางเกงในจีสตริงได้แนวคิดมาจากชุดพื้นเมืองของชนเผ่าชาวแอฟริกาใต้ที่มีการสวมผ้าเตี่ยว แต่ไอเดียนี้ถูกพัฒนาโดยชาวยุโรปที่มองว่ากางเกงในจีสตริงเป็นแฟชั่นของพวกไร้อารยธรรม จึงได้ทำการตัดเย็บกางเกงในแบบเต็มตัวที่ปกปิดส่วนก้นเพื่อให้การสวมกางเกงในนี้เพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย และป้องกันการอุจจาดตาด้วย ดังนั้นสาว ๆ ที่แอบนิยมชมชอบจีสตริงก็ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองใส่แล้วจะเป็นชนเผ่าหรอกนะ เพราะว่าสมัยนี้เขาก็ออกแบบมาให้สวยงามน่าสวมใส่มากขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะเลย
เสื้อในเป็นแฟชั่นระดับตำนานของจริงเห็นได้จากประวัติศาสตร์ในหลายชนชาติ เพราะถือเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่ช่วยเผยเสน่ห์ผู้หญิงให้น่าดึงดูดใจ ยกตัวอย่างเช่น เสื้อในสมัยอารยธรรมไมนวนยุคเฟื่องฟู ที่ผู้หญิงชั้นสูงทุกคนจะสวมใส่ไปพร้อมกับชุดที่มีลักษณะเป็นชุดกระโปรงสองส่วน ท่อนบนเป็นเสื้อเว้าหน้าอก ตรงกลางคือคอร์เซ็ท หรือโครงไม้เอาไว้ดันทรงอกให้สวยงามน่ามอง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปค่านิยมการสวมชุดในก็เปลี่ยนไป มีการตัดเย็บออกมาโดยเฉพาะดังที่เห็นในทุกวันนี้ เรียกว่าเป็นเหมือนโครงสร้างร่างกายอีกชั้นหนึ่งของเราทุกคน ใครไม่ใส่ซิแปลก ก็ข้อดีของชุดชั้นในคือ จัดระเบียบอวัยวะของเราให้อยู่ถูกที่ถูกทาง ทำให้เสื้อผ้าที่ใส่สวยงาม ใคร ๆ ก็จะมองได้อย่างไม่ขัดสายตา แต่ก็ต้องเลือกซื้อของดีนิดนึงนะเวลาใส่ชุดอะไรก็จะได้สวยทุกชุดยังไงล่ะ
เสื้อคอเต่าเนิร์ด ๆ ที่ดูเหมือนใส่แล้วจะถูกเรียกว่าป้าแน่นอน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเคยลือชื่อว่าเป็นแฟชั่นเด็กแนว ซึ่งแรกเริ่มเดิมที แฟชั่นเสื้อคอเต่าแสนคลาสสิคเคยฮิตมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 แล้วในกลุ่มนักปั่นจักรยานชาวอังกฤษเอาไว้ใส่กันลมหนาวขณะขี่จักรยาน ต่อมาในช่วงปี 1950 แฟชั่นนี้ก็ดังเป็นพลุแตกด้วย Audrey Hepburn นักแสดงชาวอเมริกันกลับพลิกตำราแฟชั่นอเมริกันสไตล์ด้วยการแต่งตัวด้วยเสื้อสเวตเตอร์คอเต่าสีดำดูเข้ากับทรงผมหน้าม้าของเธออย่างมาก ทุกวันนี้หากจะหยิบเสื้อคอเต่ามาใส่ละก็เปิดดูแฟชั่น Audrey Hepburn กับเสื้อคอเต่าย้อนหลังได้เลยนะ รับรองยังอินเทรนด์อยู่แน่นอน

การที่แฟชั่นโบฮีเมียนในปัจจุบันนี้สามารถแปลงร่างผู้หญิงให้กลายเป็นสาวหลากสไตล์ได้ เช่น สาวหวาน สาวลุย สาววินเทจผู้ดี สาวคิกขุอาโนเนะ ไม่ใช่เพราะพวกเธอปิ๊งไอเดียขึ้นมาใหม่หรอกนะ แต่ความจริงแล้วมีต้นแบบจากกลุ่มชาวยิปซี หรือโบฮีเมียนในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มีอาชีพอิสระ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง เช่น นักเขียน นักดนตรี นักวาดภาพศิลปะ และนักเดินทาง ด้วยการที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งนี่แหละทำให้การแต่งตัวพวกเขาเน้นความสะดวก และเรียบง่ายเป็นหลัก เห็นจากการสวมเสื้อผ้าชายขาดรุ่งริ่ง มีลวดลายผ้าอยู่บนตัวมากกว่า 1 แบบ พันผ้าโพกศรีษะรุงรัง เครื่องประดับหลากสีสันดูไม่เข้าพวก และสวมรองเท้าคู่เดิม ๆ ที่อาจได้รับมาเป็นมรดกตกทอดเพียงคู่เดียวในชีวิต เป็นต้น ดังนั้นหากไม่รู้วันนี้จะแต่งตัวอย่างไรดี ก็สามารถเข้าไปค้นหาไอเดียมันส์ ๆ ของชาวโบฮีเมียนกันได้นะจ๊ะ
ถ้าแฟชั่นสุดโปรดของเราดันไม่เข้าตาใคร ทำให้ใครต่อใครเอาไปเม้าท์กันมันส์หยด เราก็ขอบอกว่าอย่าเพิ่งอย่าเสียเซลฟ์ ยืดอกบอกเขาไปตรง ๆ เลยว่าเรื่องแฟชั่นเนี่ย สไตล์ใครสไตล์มันไม่ใช่เหรอจ๊ะ !






