x close

ต้อม รชนีกร เผยชีวิตดราม่า ชีวิตรักล่ม ป่วยโรคซึมเศร้าจนคิดฆ่าตัวตาย

ต้อม รัชนีกร

          ต้อม รชนีกร นักแสดงสาวชื่อดัง เปิดใจป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ชีวิตรักผิดหวังซ้ำซาก จนถึงขนาดหยิบปืนขึ้นมาจ่อหวังฆ่าตัวตาย
 
          หลังจากที่มีกระแสข่าวมาว่าดารานักแสดงสาวชื่อดัง ต้อม รชนีกร พันธุ์มณี ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย ล่าสุด (9 สิงหาคม 2559) รายการปากโป้ง ทางช่อง 8 เลยได้คว้าตัว ต้อม รชนีกร มานั่งพูดคุยกัน ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไปฟังจากปากเจ้าตัวกันเลย
 
          - ล่าสุดมีข่าวมาว่าคุณต้อมเป็นโรคซึมเศร้าจะคิดฆ่าตัวตายมันเกิดอะไรขึ้นลองเล่าย้อนไปให้ฟังหน่อย ?
 
          ต้อม รชนีกร :
เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้วค่ะ 10 กว่าปีแล้วก่อนจะมีลูก ไม่ใช่ในช่วงนี้ค่ะ คือเรื่องมันนานมาก ตอนนี้น่าจะมีปัญหาเรื่องความรักและตัวเราเองก็ยังเด็กด้วย ย้อนไปก็น่าจะ 16-17 ปีที่แล้ว เรายังเป็นวัยรุ่นด้วยและความรักเราก็ไม่ประสบความสำเร็จ เคยคุยกับคุณหมอเขาก็บอกว่าเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเราไม่ปกติ เวลาเราร้องไห้ฮอร์โมนตัวหนึ่งจะผลิตขึ้นมา เวลาเราแฮปปี้ฮอร์โมนตัวหนึ่งจะผลิตขึ้นมา เพราะฉะนั้นในร่างกายของต้อมค่อนข้างจะสับสน
 
          - ขอโทษนะครับถ้าจะย้อนกลับไปในอดีตเป็นแฟนคนแรกหรือเปล่า ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ?
 
          ต้อม รชนีกร :
ก็ในหลาย ๆ อย่างทัศนคติไม่ตรง ตอนนั้นกับครอบครัวเราก็ไม่สามารถจะคุยได้ เขาจะยังโบราณอยู่ว่าไม่ได้นะเราต้องอดทน ๆ จน วันหนึ่งเรามีความรู้สึกว่าเราอดทนไม่ไหวแล้วและกับคนรอบข้างเราก็ไม่สามารถเล่าอะไรให้ฟังได้ ตอนนั้นมันมีความสุขว่าเราอยู่ไม่ได้แล้ว มันบอกไม่ถูกจริง ๆ ที่เป็นโรคนี้
ต้อม รัชนีกร

          - อาการเป็นอย่างไรที่คุณบอกว่าคุณคิดฆ่าตัวตาย ?
 
          ต้อม รชนีกร :
ต้อมคิดว่าต้อมผิดปกติตอนที่รู้ว่าเขาจะกลับมากรุงเทพฯ ร่างกายมันไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองได้ ตอนนั้นเขาอยู่ต่างจังหวัด ต้อมอยู่กรุงเทพฯ แล้วเขาจะมากรุงเทพทุกวันศุกร์ พอเขาจะมาร่างกายมันสั่น มันไม่สามารถบอกได้ว่า ตอนนั้นเราคิดอะไรอยู่และก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ตอนนั้นเราเป็นอะไร แต่เรารู้แต่ว่าร่างกายเราสั่น เราสงบสติอารมณ์ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะไปนั่งนิ่ง ๆ เรียกสติกลับมา ก็แบบทำไม่ได้ พอเขามาถึงมันสงบสติอารมณ์ไม่ได้ มันกลัว มันสั่น งานนี่ทำไม่ได้เลย เวลาถ่ายละครอยู่พอรู้ว่าเขาจะมา วันนั้นไม่ได้เป็นอันทำงาน คือเขาไม่เคยทำร้ายร่างกาย บุคคลที่สามก็จับไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นแต่งงานแล้ว ตอนนั้นร่างกายต่อต้าน ไม่อยากเจอไม่อยาก ตอนนั้นมันพยายามมาก
 
          "เราแต่งงานครั้งแรกเราอยากให้ชีวิตคู่ราบรื่น ซึ่งตอนนั้นเราเลยรู้ตัวเองว่าเราผิดปกติแน่นอนละ จากนั้นมันก็ลามไปถึงตอนจะนอน นอนไม่ได้สี่วันเต็ม ๆ อยากทานอาหารที่ชอบที่สุดก็ทานไม่ได้ ออกหมด จนมีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติ แล้วก็ผอมลงจนน้ำหนักเหลือประมาณ 35 พอเรารู้สึกว่าไม่ปกติละก็ไปหาหมอดีกว่าแต่ใจคิดเลยว่าตัวเองควรจะต้องไปหาหมอจิต ตอนแรกต้อมไปรักษา และก็บอกกับเขาไปว่า เค้าก็ต้องไปรักษากับต้อม มันไม่ใช่แค่เราคนเดียว จากที่เราไปปรึกษาคุณหมอเสร็จ คุณหมอก็ให้คำปรึกษามาเลยว่ามันไม่ใช่เราคนเดียว มันจะต้องเป็นสองคน อันนั้นล่ะเรื่องยากที่สุดเพราะว่าเราเชื่อแต่คนของเราไม่เชื่อ คนของเราไม่คิดจะประสานมันต่อ เลยค่อนข้างที่จะห่างและก็จบกันไป เหมือนเราพยายามปรับคนเดียวและอีกคนไม่ปรับก็เลยต้องห่างกันไป" ต้อม รชนี กล่าว
 
          - โรคซึมเศร้าอาการเป็นอย่างไร ?
 
          ต้อม รชนีกร :
คือจริง ๆ ทำงานก็คุยกับคนปกตินะคะ แต่พอกลับมาบ้านก็อยากตายอย่างเดียวมันเหมือนคนลอยอยู่ในโลกอีกโลกนึง มันไม่อยากอยู่แล้ว
 
          - เห็นว่าเคยหยิบปืนจะคิดสั้น ?
 
          ต้อม รชนีกร :
ก็หยิบปืนจ่อหลายรอบอยู่เหมือนกัน จำได้ว่าปืนจะมีให้เลือกหลายขนาดมากเพราะว่าต้อมเป็นคนยิงปืน จะมีปืนเยอะมาก จับหลายรอบมากว่าอยากไปนะ แต่พอนึกถึงหน้าแม่ หน้าพี่ชาย ว่าถ้าเราไปคนหนึ่ง แล้วเขาจะอยู่กันยังไง แต่ ณ ตรงนั้นมันเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบอกว่าอย่าไป คือหลายรอบมากที่จะยิงและ เนี่ยถึงบอกว่าปรึกษาหมอดีกว่า ปรึกษาจนต้องอยู่ถึงขั้นบำบัดอยู่ประมาณเดือนหนึ่งที่ต้องแอดมิด หลังจากนั้นก็ต้องปรึกษาคุณหมออาทิตย์ละสองครั้ง ครั้งละสองชั่วโมงทำอยู่ร่วมปี
 
          - ขออนุญาตนะครับสามีคนต่อมาก็มีปัญหาอีก ?
 
          ต้อม รชนีกร :
คนนี้รักมากเกินไป คบกันสามปีครึ่งก่อนแต่งงาน แล้วก็ไปอยู่ที่นู่น คือชีวิตที่นู่นมันไม่สามารถจะออกไปไหนได้เลย อีกอย่างเราทำงานแบบนี้เรามีเพื่อน เราชอบพบปะผู้คน แต่พออยู่ ณ ตรงนั้นเพื่อนก็ไม่ให้มี โทรศัพท์ก็ไม่ได้ คือบางทีเราไปไหนก็ไปไม่ได้ เขาก็ไม่ให้ไป ต้อมไปอยู่ที่นู่นร่วม 5 ปี ก็ไม่ค่อยได้ไปไหนเลย ถ้าไปก็ต้องไปกับเขา ลูกก็เป็น ที่เราต้องหนีกลับเมืองไทยนี่ก็คือแบบ เราทนได้นะ แต่ลูกถ้าวันหนึ่งเขาโตขึ้นมาแล้วเป็นเด็กไม่มีสังคมล่ะ มันจะเป็นอย่างไร ต้อมมีลูกกับสามีคนนี้หนึ่งคน เป็นผู้หญิง คลอดที่นู่น เขาก็ไม่ให้ออกไปไหน ตอนก็นั้นวางแผนหนี กว่าจะวางแผนหนีผู้หญิงอะนะก็ต้องทนจนถึงที่สุดก่อน แต่ ณ ตอนนั้นคือมันคุยกันไม่ได้ละ เริ่มจากคุยกันก็กลายเป็นทะเลาะ เราจะกลับมาอยู่เลยก็เป็นไปไม่ได้ละ เขาไม่ให้กลับ เขาก็พูดบ้างว่าจะไปทำไม อยู่นี่ก็สุขสบายดี

ต้อม รัชนีกร

          - เขาไม่ให้กลับคุณวางแผนอย่างไร ?
 
          ต้อม รชนีกร :
ก็เริ่มจากที่เขาไม่ยอมให้ออกไปไหนเลย ก็เริ่มปรึกษาเขาว่าขอออกไปเรียนที่บ้านได้ไหม ข้างบ้านก็ได้ ไม่ได้ไปไหนไกลแค่อยากมีเพื่อน ไม่อยากอยู่บ้านเหงา ๆ พอบอกเขาเขาก็เริ่มให้ไปเรียน เราก็โอเคเริ่มมีสังคมแล้ว คือตอนเช้าเขาไปส่ง พอ 11 โมงเขาก็ไปรอแล้วหน้าห้อง ซึ่งเราก็ไม่มีเพื่อน จะมีเพื่อนมาทำรายการที่บ้านหรืออะไรก็ไม่ได้ เวลาที่เราโทรไปหาพี่สาวที่อเมริกาด้วยกันก็ต้องมานั่งเช็คแล้วว่าคุยกับใคร อะไรก็ไม่ได้สักอย่าง สุดท้ายก็วางแผนเอาลูกกลับมาเมืองไทย
 
          - คุณวางแผนอย่างไร ?
 
          ต้อม รชนีกร :
จากตอนแรกปรึกษาอาจารย์ก่อน อาจารย์ที่เราไปเรียนด้วยอะนะ เขาก็จะเริ่มหามาให้ว่าเราผู้หญิงเอเชียถ้ามาแต่งงานกับอเมริกันและถ้ามีปัญหาจะต้องแจ้งอะไรยังไงบ้าง พอเราเช็คดูมันเป็นไปไม่ได้เลยตามที่เขาพูดมาเนี่ยมันต้องถูกแยกลูกแยกพ่อแยกแม่ ว่าพ่อแม่ผิดปกติไหม มีอะไรทำไมถึงอยู่กันไม่ได้แล้วค่อยมีมูลนิธิอะไรมาช่วยแล้วเราก็มาคิดว่าถ้าเป็นงั้นลูกเราจะไปอยู่กับใครละ ซึ่งเรามองไม่เห็นเลยว่า ลูกจะอยู่กับเราได้ เพราะเราไม่ได้ทำงานที่นู่นก็เลยตัดสินใจว่าเอาลูกหนีดีกว่า”
 
          - คุณหนีอย่างไร ?
 
          ต้อม รชนีกร :
ก็ค่อย ๆ เก็บของที่สำคัญของลูก ก็แพ็กใส่กล่อง ตอนนั่นลูกจะสองขวบ เราก็แพ็กของทุกวันแอบเอาไว้ห้องใต้ดินข้างล่างพอทุกคนออกจากบ้านหมด ก็ขโมยรถออกเราก็ใช้ปากกาเมจิกติ๊กทุกอย่าง จอดรถตรงไหนก็ต้องจำไว้แล้วก็เอาของไปหย่อนไปไว้ที่ไปรษณีย์ทุกวันแต่ส่งของทางเรือเพราะว่ามันจะถูก และมันก็ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่เราน่าจะกลับเมืองไทยพอดีก็ทำแบบนั้นทุกวันจนกระทั่งวันที่หนี ก็มีกระเป๋าใบเดียวมีแต่นมมีแต่เสื้อผ้าของลูก อุปกรณ์พรอ้มหนี เอานมลูกแค่พอกินตอนนี้เราหนีกลับมาดร็อปที่แอลเอก่อนคือให้แน่ใจว่าเราจะไม่ถูกแจ้งความในระหว่างที่เดินทาง 17 ชั่วโมง เรามาแล้ว แล้วก็โทรไปบอกเขาว่าอยู่แอลเอนะ เขาก็ตกใจ เราก็บอกว่าเราเครียดมากเราแค่มาพักผ่อนนะแล้วเราก็จะกลับ จริง ๆ อยู่ได้สามวันแล้วก็บินกลับเมืองไทยเลย คือมันเครียดมากนะทิ้งกันไปทั้งที่ยังรักมันเครียดมาก เราก็รักเขาแต่เรารักลูกมากกว่า

ต้อม รัชนีกร

          - คุณกลับมาเขาตามไหม ?
 
          ต้อม รชนีกร :
ก็ติดต่อกันอยู่ประมาณ 6 เดือน เราก็ร้องไห้กันทุกวัน เขาบอกเขามาทำอะไรที่เมืองไทยไม่ได้มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาทำอะไรที่เมืองไทยคือถ้าอยู่อเมริกาเขาทำได้ ซึ่งเราก็บอกเหมือนกันว่าถ้าไม่มาเมืองไทยเราก็ไม่กลับไปแล้วเหมือนกัน เพราอยู่ไปนาน ๆ เราอาจจะต้องไปนั่งคุยกับกำแพง คุยกับโต๊ะกับตู้ก็ได้เพราะมันเหงามาก
 
          - ตอนนี้พี่ต้อมก็มีความรักครั้งที่สามแล้ว ?
 
          ต้อม รชนีกร :
ใช่ค่ะ ตอนนี้ก็แฮปปี้ดี ซึ่งแฟนคนที่อยู่อเมริกาเขาก็รู้นะว่าตอนนี้ต้อมมีแฟนใหม่มีลูกที่น่ารักอีกหนึ่งคน แต่เขาก็บอกเขาก็ไม่ยอมแต่งงานใหม่ ยังรอเขาก็บอกกับคนนี้ถ้าไม่สมหวังให้ไปอยู่กับเขาก็ได้นะ เขาก็บอกว่าถ้าไปเขาก็ไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว ทุกวันนี้ลูกสาวคนโตอายุ 13 ตอนนี้เริ่มเป็นวัยรุ่นตอนต้น ติดเพื่อน มีโลกส่วนตัวสูง คนโตก็วัยรุ่นส่วนลูกคนเล็กก็วุ่นวายกับทุกเรื่อง แบบอยากรู้อยากเห็น ช่างถามซอกแซก ถามทุกเรื่อง คุณแม่ก็ค่อนข้างจะปวดหัวสมองนิดหน่อยที่จะต้องแยกโสตประสาทเพราะอีกคนก็เงียบเราต้องให้คำปรึกษาแบบผู้ใหญ่ให้กับเขาส่วนอีกคนก็ปรี๊ดเราต้องหาทางทำให้เขาหายปรี๊ด
 
          - วางแผนอนาคตลูกอย่างไร ?
 
          ต้อม รชนีกร :
จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้วางแผนหรือไม่ได้มองอะไรเยอะ เพียงแต่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กที่สามารถที่จะไปต่อสู้กับโลกปัจจุบันเวลาที่เขาจะต้องออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเขาเอง ก็แค่นี้นอกนั้นก็ไม่ได้บังคับว่าลูกจะต้องเรียนได้ที่หนึ่งนะหรือว่าจะต้องเรียนพิเศษทุกวันนะ เราไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมากมายเขาเพราะเราก็อยากให้เขาเป็นที่รักของทุกคนเป็นเด็กที่ดูแลตัวเองได้

ต้อม รัชนีกร

ภาพและข้อมูลจาก รายการปากโป้ง ทางช่อง 8

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ต้อม รชนีกร เผยชีวิตดราม่า ชีวิตรักล่ม ป่วยโรคซึมเศร้าจนคิดฆ่าตัวตาย โพสต์เมื่อ 9 สิงหาคม 2559 เวลา 20:15:02 38,910 อ่าน
TOP