
สมรสพระราชทาน
สมรสพระราชทาน พรมงคลแห่งรัก (I do)
เรื่อง : Supatha
บ่าวสาวที่มีโอกาสรับพรมงคลอันยิ่งใหญ่ในชีวิต โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้ารับพระราชทานน้ำสังข์ เป็นสิริมงคลแห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่
การขอพระราชทานน้ำสังข์ใช่ว่าใครจะขอก็ได้ เพราะมีกฎมีเกณฑ์ในการพิจารณาหลายข้อ ซึ่งน่ารู้ไว้ว่าการขอรับพระราชทานน้ำสังข์นั้นต้องปฏิบัติเช่นไร ในการขอพระราชทานเพื่อให้ทรงประกอบพิธีสมรส หรือที่เรียกว่าการขอพระราชทานน้ำสังข์นั้น มีด้วยกัน 2 แบบ คือ "แบบเป็นทางการ" และแบบส่วนพระองค์ที่เรียกว่า "น้ำสังข์ข้างที่" ผู้ที่มีสิทธิในการขอสมรสพระราชทาน ได้แก่ ผู้ที่ทรงรู้จักคุ้นเคย ผู้ที่ทรงรู้จักบิดาหรือมารดาของผู้ขอพระราชทาน หรือผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ขอพระราชทานให้
ในกรณีที่เป็นตำรวจ ทหาร หรือพลเรือนที่ไม่อยู่ในเกณฑ์ 2 ข้อแรก รวมทั้งในกรณีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ในการขอพระราชทานน้ำสังข์ หากคู่สมรสจะขอสมรสพระราชทานจากพระองค์ใด ให้เข้าไปติดต่อกับทางกองงานของแต่ละพระองค์โดยตรง ในการเตรียมตัวขอพระราชทานน้ำสังข์นั้น ในขั้นแรกผู้ขอพระราชทานน้ำสังข์ต้องทราบก่อนว่า ต้องการจะขอพระราชทานน้ำสังข์จากพระองค์ใด
การขอพระราชทานน้ำสังข์แบบเป็นทางการ จะใช้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ เท่านั้น แต่หากจะมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงพระองค์เดียว ที่บางครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวงศ์พระองค์อื่น ทรงประกอบพิธีสมรสพระราชทานแทนพระองค์ ส่วนผู้ที่ขอแบบส่วนพระองค์ หรือที่เรียกว่าน้ำสังข์ข้างที่นั้น สามารถยื่นเรื่องได้โดยตรงที่กองงานในพระองค์ของท่านนั้นได้เลย
ในการทำหนังสือขอพระราชทานน้ำสังข์แบบเป็นทางการ ต้องทำหนังสือไปยังสำนักราชเลขาธิการ ขอให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานน้ำสังข์ พร้อมทั้งแนบวัน เดือน ปีเกิดคู่สมรส และสถานที่ติดต่อด้วย หลังจากยื่นเรื่องขอพระราชทานน้ำสังข์แล้ว จะต้องรอว่าจะโปรดเกล้าฯ ในวันและเวลาใด หากคู่สมรสไม่สามารถรอได้ อาจจะขอถอนเรื่องก็เป็นสิทธิ์ของคู่สมรสเอง
ขั้นตอนการขอสมรสพระราชทาน
การแต่งกาย จะขึ้นอยู่กับว่าเป็นการขอพระราชทานน้ำสังข์แบบเป็นทางการ หรือน้ำสังข์ข้างที่ ซึ่งการขอทั้งสองแบบนี้จะแต่งกายต่างกัน...
สำหรับการสวมเครื่องประดับของเจ้าสาว ควรสวมใส่เพียงน้อยชิ้น ไม่ควรเป็นแบบระย้ายาวหรือห้อยตุ้งติ้ง เพราะเมื่อต้องการก้มลงกราบหลายครั้ง อาจทำให้สร้อย ต่างหู หรือเส้นผมพันกันได้ ซึ่งจะเป็นภาพที่ดูไม่สวยงามเท่าใดนัก ส่วนแบบผมควรเป็นทรงที่เรียบร้อย ไม่รุงรัง
หญิงแบบทางการแต่งกายชุดไทยจิตรลดา หากเป็น "น้ำสังข์ข้างที่" แต่งกายชุดไทยแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ เมื่อเสร็จพิธีของคู่บ่าวสาวแต่ละคู่แล้ว สามารถกลับได้เลย โดยไม่ต้องรอให้ทำพิธีจนครบทุกคู่ ปกติแล้วในวันที่ทรงพระราชทานน้ำสังข์ จะมีบ่าวสาวประมาณ 6-8 คู่ทางสำนักพระราชวัง จะเป็นคนกำหนดแจ้งลำดับก่อนหลังมาให้
อีกเรื่องที่สำคัญคือ หลังจากที่รับพระราชทานน้ำสังข์แล้ว น้ำสังข์พระราชทานถือเป็นสิ่งมงคลสูงสุด บ่าวสาวจะไม่จัดให้มีพิธีหลั่งน้ำพระพุทธมนต์และปราสาทพรอีก ไม่ว่าจะก่อนวันพระราชทานหรือหลังวันพระราชทาน จะมีก็แต่งงานฉลองสมรสพระราชทาน หลังวันเข้ารับพระราชทานน้ำสังข์เท่านั้น

สมรสพระราชทาน
พระมหาสังข์และใบมะตูม
พระมหาสังข์ ที่ใช้หลั่งน้ำพระราชทานแก่ราชสกุลในงานสมรสพระราชทาน รวมทั้งในการกราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติราชการต่างประเทศ ที่ใช้สืบมาจนถึงปัจจุบันนั้น เป็นสังข์เวียนซ้าย ความยาว 20 เซนติเมตร ริ้วเวียนรอบหัวสังข์และปากสังข์เลี่ยมทองคำสลักลายฝังพลอย ข้างในท้องสังข์มีดอกมะเขือฝังนพเก้า ร่องปลายปากสังข์จารึกอักขระ อุมิมังสีทองคำลงยารองรับ
มีที่มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก พร้อมด้วยพระชายา และเจ้าฟ้าลา พระโอรสองค์สุดท้อง เดินทางไปประทับที่เมืองพิษณุโลก แต่ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้าลาและพระชนนีได้จัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพตามสมควร และอัญเชิญพระบรมอัฐิบรรจุในพรรมหาสังข์องค์นี้ มาถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่กรุงธนบุรี จึงถือเป็นพระมหาสังข์คู่บ้านคู่เมือง
ส่วนการพระราชทานใบมะตูมนั้น มาจากคติของพราหมณ์ที่เปรียบในมะตูมได้กับตรีศูรของพระอิศวร เป็นพลังแห่งชัยชนะและเป็นมงคล ใช้ประกอบกับน้ำพระพุทธมนต์บรรจุในสังข์ สำหรับถวายพระมหากษัตริย์พระราชทานเป็นราชประเพณี อีกความเชื่อหนึ่งก็มาจากลักษณะของใบมะตูมที่มีสามแฉก เปรียบได้กับพระพรหม พระวิญณุ และพระอิศวร และชาวฮินดูถือว่ามะตูมเป็นต้นไม้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระอิศวร
ในปัจจุบันพระมหากษัตริย์จะพระราชทานใบมะตูม ในงานพระราชพิธีที่เป็นมงคล อาทิ พระราชพิธีมงคลแรกนาขวัญ พระราชทานน้ำสังข์และใบมะตูมแก่พระยาแรกนาขวัญและเทพี เอกอัครราชทูตไทยถวายบังคมลาไปปฏิบัติราชการในต่างประเทศ พิธีเสกสมรสและสมรสพระราชทาน พระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์ที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อเจริญพระชนพรรษาและเข้าทูลละอองธุลีพระบาท โดยให้หญิงทัดหูข้างซ้าย ส่วนชายทัดหูข้างขวา ความเชื่อนี้จึงได้ถ่ายทอดมาสู่ชาวไทยในอดีต
เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ได้ที่นี่ค่ะ

ฉบับเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2553 ISSUE 44






