เทรนด์ศัลยกรรม 2019 ความสวยยุคใหม่ที่ทำให้สาว ๆ ไม่ต้องเจ็บตัวหนักเหมือนแต่ก่อนแถมทำออกมาแล้วยังสวยเด้งกว่าเห็น ๆ จะมีการศัลยกรรมอะไรบ้างนั้นต้องมาอัปเดตกัน
คนยุคก่อนที่ยังไม่รู้จักเรื่องการศัลยกรรม คงไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งมนุษย์เราจะสามารถเปลี่ยนหน้าตาตัวเองให้ต่างไปจากเดิมได้ ทั้งการเสริมจมูก ทำตา 2 ชั้น หรือกระทั่งการเปลี่ยนเพศ แต่ทุกวันนี้การศัลยกรรมได้กลายเป็นเรื่องปกติไม่มีอะไรพิเศษหรือน่าแปลกใจเลย ใครหน้าตาไม่ดีเพียงแค่มีเงินสักหลักหมื่นต้น ๆ ก็สามารถทำศัลยกรรมได้แล้ว อย่างไรก็ตาม บางคนอาจคิดว่าวิวัฒนาการของการศัลยกรรมคงมีเพียงเท่านี้ ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะวงการศัลยกรรมมีความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก แม้แต่เทรนด์ความงามอย่างการทำถุงใต้ตาให้เป็นดอลลี่อาย เพื่อเพิ่มความใสเหมือนใต้ตาของเด็ก ๆ ก็เสื่อมความนิยมลงภายในไม่กี่ปี รวมถึงการทำปากกระจับ ที่ใครต่างก็ลงความเห็นว่าเป็นรูปปากที่สวยที่สุด ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยมีใครทำกัน นั่นเพราะว่ามีเทรนด์ศัลยกรรมและเทรนด์ความงามแบบใหม่เข้ามาแทนที่นั่นเอง แล้วในปี 2019 นี้ เทรนด์ศัลยกรรมใดบ้างที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น กระปุกดอทคอมได้รวบรวมมาให้สาว ๆ อัปเดตกันแล้ว
1. โบท็อกซ์ที่อยู่ได้ยาวนานขึ้น ไม่ต้องฉีดบ่อย ๆ
ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้หลาย ๆ คนเริ่มหันมาฉีดโบท็อกซ์กันเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนวัยหนุ่มสาวหรือเป็นกลุ่มผู้มีอายุก็ตาม เพราะโบท็อกซ์นั้นมีประโยชน์ด้านความงามหลายอย่าง ทั้งช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น ลดปีกจมูกไม่ให้บานเกินไป หรือช่วยลดกล้ามเนื้อส่วนกรามเพื่อให้มีใบหน้าเรียวเล็กขึ้น แต่การฉีดโบท็อกซ์นั้นมีผลลัพธ์ที่สั้นมาก เพียงแค่ 5-6 เดือนก็เริ่มสลายตัวแล้ว บางคนฉีดโบท็อกได้นานสุดแค่ 10 เดือนก็ต้องกลับไปฉีดอีกครั้ง ถึงแม้ว่าราคาของการฉีดโบท็อกซ์จะไม่สูงมากนัก แต่เวลาที่ต้องเดินทางไปคลินิกอาจจะทำให้ไม่สะดวก ตอนนี้จึงได้มีการคิดค้นโบท็อกซ์ชนิดใหม่ขึ้นมา เรียกว่า B-type 2 toxin โดยการฉีดแต่ละครั้งสามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานเกินกว่า 1 ปีเลยทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาฉีดใหม่บ่อย ๆ ให้ยุ่งยาก ทั้งนี้ก็ยังมีข้อเสียอยู่คือ หากหมอฉีดผิดพลาด จากที่ต้องรอให้โบท็อกซ์คลายไม่นาน คราวนี้อาจต้องใช้เวลามากกว่าเดิม จุดที่ฉีดผิดพลาดถึงจะกลับมาดูดีเหมือนเก่า คงต้องเลือกใช้บริการคลินิกและหมอที่เชี่ยวชาญสักหน่อยถึงจะไม่เกิดปัญหานี้ตามมา
2. ยกริมฝีปากให้อวบอิ่มโดยไม่ต้องฉีดฟิลเลอร์
ช่วง 2-3 ปีมานี้เทรนด์ริมฝีปากอวบอิ่มถือว่าได้รับความนิยมสูงมาก สาว ๆ หลายคนที่มีริมฝีปากบางจึงต้องพึ่งพาการฉีดฟิลเลอร์เพื่อที่จะได้ดูสวยอินเทรนด์กับเขาบ้าง แต่การฉีดฟิลเลอร์นั้นสามารถคงรูปปากอิ่มไว้ได้ไม่นานสักเท่าไหร่ ร่างกายของเราก็จะกำจัดฟิลเลอร์ออกไป ทำให้สาว ๆ ต้องไปฉีดอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในปี 2019 เทรนด์ริมฝีปากอวบอิ่มก็จะยังคงอยู่ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ การฉีดฟิลเลอร์จะถูกแทนที่ด้วยการผ่าตัดยกริมฝีปากให้อวบอิ่มแบบถาวรนั่นเอง วิธีการก็คือต้องเย็บริมฝีปากบนและล่างให้ยกขึ้นมา จนความห่างของปากและปลายจมูกลดน้อยลง แม้ความอวบอิ่มจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ภาพที่คนอื่นมองมาจะเห็นว่าเราปากอิ่มขึ้นแบบเนียน ๆ ต่อไปนี้ก็ลืมการฉีดฟิลเลอร์ไปได้เลย
3. ปรับทรงกระดูกจมูกแบบเจ็บตัวน้อยกว่าเดิม
หลายคนที่มีปัญหากระดูกจมูกเบี้ยว จมูกคด หรือตรงกลางสันจมูกโด่งขึ้นมาแบบเป็นเนินชัดเจน อาจเคยได้ยินมาว่าหากต้องการศัลยกรรมจะต้องใช้การทุบกระดูกจมูกเท่านั้น ถึงจะสามารถปรับทรงได้ อันที่จริงหากเป็นเมื่อ 3-4 ปีก่อนก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อต้องการทุบกระดูกอาศัยเพียงคลื่นแสงก็ทำได้แล้ว โดยคลื่นแสงที่ว่านี้คือเครื่องอัลตราโซนิกนั่นเอง หมอจะทำการกรีดแผลตรงปลายจมูกแบบเดิม แต่เปลี่ยนจากการทุบกระดูกมาเป็นยิงคลื่นแสงเข้าไป ทำให้คนไข้เจ็บน้อยลง แผลบวมช้ำก็หายเร็วขึ้น อีกทั้งกระดูกของจมูกยังลดลงไปไม่แตกต่างจากใช้เครื่องมือทุบเลย ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยทั้งทุ่นแรงหมอในการทุบ แถมยังช่วยให้คนไข้เจ็บตัวน้อยลงอีกด้วย
4. ศัลยกรรมหน้าอกโดยไม่ใช้ซิลิโคน
ความฝันของสาว ๆ หลายคนคือการมีหุ่นดีเอวเอส อกโอ แต่ความเป็นจริงแล้วทุกอย่างดูกลับกันไปหมด หน้าอกที่อยากให้ดูใหญ่ก็แบนเรียบราวกับแผ่นหลัง เอวที่อยากให้บางก็กลับดูหนาเหมือนมีห่วงยางอยู่รอบเอว ไหน ๆ ก็เป็นไขมันเหมือนกันแล้วถ้าสลับที่ได้คงจะดีไม่น้อย และเพราะการศัลยกรรมล้วนแต่เกิดจากความอยากสวยอยากงามของคนไข้ วงการแพทย์เขาเลยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ด้วยวิธีที่เรียกว่าการปลูกถ่ายไขมันนั่นเอง อันที่จริงแล้ววิธีนี้สามารถใช้ได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกายที่เราอยากเติมเต็ม ทั้งใบหน้า ร่องแก้ม สะโพก แต่ดูเหมือนว่าการปลูกถ่ายนี้คงจะเหมาะกับหน้าอกเป็นที่สุด เนื่องจากซิลิโคนที่นิยมมาก่อนหน้านี้ไม่นิ่มเท่าที่ควรจะเป็น หากเอาไขมันจริง ๆ มาใส่เลยจะได้หน้าอกที่นิ่มเหมือนธรรมชาติที่สุด วิธีการคือ แพทย์จะดูดไขมันหน้าท้องออกมา ซึ่งเครื่องที่ใช้นั้นจะมีความร้อนระดับต่ำ เพื่อป้องกันสเต็มเซลล์ตาย เมื่อดูดไขมันมาแล้วก็ต้องแยกเอาสเต็มเซลล์และเนื้อเยื่อไขมันนั้นออกมา จากนั้นนำไปฉีดเข้าบริเวณหน้าอก โดยไขมันที่ฉีดไปจะคงอยู่จากนั้นประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือจะถูกร่างกายขับออก ทั้งนี้เราไม่สามารถใช้ไขมันของคนอื่นได้ ต้องใช้ไขมันของตัวเองเท่านั้น
5. ฉีดเกล็ดเลือดเข้าผิวหน้า เพื่อคงความอ่อนเยาว์
วิธีการศัลยกรรมแบบนี้ได้รับความนิยมในหมู่นักแสดงฮอลลีวูดมาก เนื่องจากไม่ต้องเจ็บตัวหลายขั้นตอนแต่ได้ผลลัพธ์พร้อมกันหลายอย่าง ทั้งทำให้ผิวหน้าใส เรียบตึงและดูอ่อนเยาว์ จนใครหลายคนตั้งฉายาให้ว่า การทำหน้าแวมไพร์ เพราะต้องใช้เลือดของเรามาฉีดเข้าใบหน้าเพื่อให้ดูเด็กลง เหมือนแวมไพร์ที่ต้องดูดเลือดมนุษย์ เพื่อคงความอมตะนั่นเองฟังชื่อแบบนี้แล้วอาจจะน่ากลัวไปสักหน่อยแต่จริง ๆ แล้วเขาเรียกการทำหน้าแบบนี้ว่า Platelet Rich Plasma Injections (การฉีดเกล็ดเลือดพลาสมา) ทำได้โดยนำเลือดของคนไข้ไปเข้าเครื่องปั่นเพื่อแยกเอาเกล็ดเลือดและพลาสมาออกมา จากนั้นจึงนำไปฉีดเข้าบริเวณใบหน้า ทำให้หน้ากลับมาฟูสวยฉ่ำเหมือนฉีดฟิลเลอร์ เพียงแต่เปลี่ยนจากฟิลเลอร์มาเป็นเลือดของเราเอง
ทั้งนี้ ต่อให้มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเพียงใด แต่สิ่งที่สาว ๆ ควรใส่ใจมากที่สุด คือ การเลือกสถาบันเสริมความงามที่มีใบอนุญาตและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญด้วยจะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น เรียกได้ว่าต้องปลอดภัยทั้ง แพทย์ เครื่องมือ และสถานที่จึงจะดีที่สุด
ข้อมูลจาก : cosmopolitan.co.za, glamourmagazine.co.uk, harpersbazaar.com
1. โบท็อกซ์ที่อยู่ได้ยาวนานขึ้น ไม่ต้องฉีดบ่อย ๆ
ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้หลาย ๆ คนเริ่มหันมาฉีดโบท็อกซ์กันเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนวัยหนุ่มสาวหรือเป็นกลุ่มผู้มีอายุก็ตาม เพราะโบท็อกซ์นั้นมีประโยชน์ด้านความงามหลายอย่าง ทั้งช่วยลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น ลดปีกจมูกไม่ให้บานเกินไป หรือช่วยลดกล้ามเนื้อส่วนกรามเพื่อให้มีใบหน้าเรียวเล็กขึ้น แต่การฉีดโบท็อกซ์นั้นมีผลลัพธ์ที่สั้นมาก เพียงแค่ 5-6 เดือนก็เริ่มสลายตัวแล้ว บางคนฉีดโบท็อกได้นานสุดแค่ 10 เดือนก็ต้องกลับไปฉีดอีกครั้ง ถึงแม้ว่าราคาของการฉีดโบท็อกซ์จะไม่สูงมากนัก แต่เวลาที่ต้องเดินทางไปคลินิกอาจจะทำให้ไม่สะดวก ตอนนี้จึงได้มีการคิดค้นโบท็อกซ์ชนิดใหม่ขึ้นมา เรียกว่า B-type 2 toxin โดยการฉีดแต่ละครั้งสามารถคงผลลัพธ์ได้ยาวนานเกินกว่า 1 ปีเลยทีเดียว ไม่ต้องเสียเวลาฉีดใหม่บ่อย ๆ ให้ยุ่งยาก ทั้งนี้ก็ยังมีข้อเสียอยู่คือ หากหมอฉีดผิดพลาด จากที่ต้องรอให้โบท็อกซ์คลายไม่นาน คราวนี้อาจต้องใช้เวลามากกว่าเดิม จุดที่ฉีดผิดพลาดถึงจะกลับมาดูดีเหมือนเก่า คงต้องเลือกใช้บริการคลินิกและหมอที่เชี่ยวชาญสักหน่อยถึงจะไม่เกิดปัญหานี้ตามมา
ช่วง 2-3 ปีมานี้เทรนด์ริมฝีปากอวบอิ่มถือว่าได้รับความนิยมสูงมาก สาว ๆ หลายคนที่มีริมฝีปากบางจึงต้องพึ่งพาการฉีดฟิลเลอร์เพื่อที่จะได้ดูสวยอินเทรนด์กับเขาบ้าง แต่การฉีดฟิลเลอร์นั้นสามารถคงรูปปากอิ่มไว้ได้ไม่นานสักเท่าไหร่ ร่างกายของเราก็จะกำจัดฟิลเลอร์ออกไป ทำให้สาว ๆ ต้องไปฉีดอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งในปี 2019 เทรนด์ริมฝีปากอวบอิ่มก็จะยังคงอยู่ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ การฉีดฟิลเลอร์จะถูกแทนที่ด้วยการผ่าตัดยกริมฝีปากให้อวบอิ่มแบบถาวรนั่นเอง วิธีการก็คือต้องเย็บริมฝีปากบนและล่างให้ยกขึ้นมา จนความห่างของปากและปลายจมูกลดน้อยลง แม้ความอวบอิ่มจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ภาพที่คนอื่นมองมาจะเห็นว่าเราปากอิ่มขึ้นแบบเนียน ๆ ต่อไปนี้ก็ลืมการฉีดฟิลเลอร์ไปได้เลย
หลายคนที่มีปัญหากระดูกจมูกเบี้ยว จมูกคด หรือตรงกลางสันจมูกโด่งขึ้นมาแบบเป็นเนินชัดเจน อาจเคยได้ยินมาว่าหากต้องการศัลยกรรมจะต้องใช้การทุบกระดูกจมูกเท่านั้น ถึงจะสามารถปรับทรงได้ อันที่จริงหากเป็นเมื่อ 3-4 ปีก่อนก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อต้องการทุบกระดูกอาศัยเพียงคลื่นแสงก็ทำได้แล้ว โดยคลื่นแสงที่ว่านี้คือเครื่องอัลตราโซนิกนั่นเอง หมอจะทำการกรีดแผลตรงปลายจมูกแบบเดิม แต่เปลี่ยนจากการทุบกระดูกมาเป็นยิงคลื่นแสงเข้าไป ทำให้คนไข้เจ็บน้อยลง แผลบวมช้ำก็หายเร็วขึ้น อีกทั้งกระดูกของจมูกยังลดลงไปไม่แตกต่างจากใช้เครื่องมือทุบเลย ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยทั้งทุ่นแรงหมอในการทุบ แถมยังช่วยให้คนไข้เจ็บตัวน้อยลงอีกด้วย
ความฝันของสาว ๆ หลายคนคือการมีหุ่นดีเอวเอส อกโอ แต่ความเป็นจริงแล้วทุกอย่างดูกลับกันไปหมด หน้าอกที่อยากให้ดูใหญ่ก็แบนเรียบราวกับแผ่นหลัง เอวที่อยากให้บางก็กลับดูหนาเหมือนมีห่วงยางอยู่รอบเอว ไหน ๆ ก็เป็นไขมันเหมือนกันแล้วถ้าสลับที่ได้คงจะดีไม่น้อย และเพราะการศัลยกรรมล้วนแต่เกิดจากความอยากสวยอยากงามของคนไข้ วงการแพทย์เขาเลยพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ด้วยวิธีที่เรียกว่าการปลูกถ่ายไขมันนั่นเอง อันที่จริงแล้ววิธีนี้สามารถใช้ได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกายที่เราอยากเติมเต็ม ทั้งใบหน้า ร่องแก้ม สะโพก แต่ดูเหมือนว่าการปลูกถ่ายนี้คงจะเหมาะกับหน้าอกเป็นที่สุด เนื่องจากซิลิโคนที่นิยมมาก่อนหน้านี้ไม่นิ่มเท่าที่ควรจะเป็น หากเอาไขมันจริง ๆ มาใส่เลยจะได้หน้าอกที่นิ่มเหมือนธรรมชาติที่สุด วิธีการคือ แพทย์จะดูดไขมันหน้าท้องออกมา ซึ่งเครื่องที่ใช้นั้นจะมีความร้อนระดับต่ำ เพื่อป้องกันสเต็มเซลล์ตาย เมื่อดูดไขมันมาแล้วก็ต้องแยกเอาสเต็มเซลล์และเนื้อเยื่อไขมันนั้นออกมา จากนั้นนำไปฉีดเข้าบริเวณหน้าอก โดยไขมันที่ฉีดไปจะคงอยู่จากนั้นประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือจะถูกร่างกายขับออก ทั้งนี้เราไม่สามารถใช้ไขมันของคนอื่นได้ ต้องใช้ไขมันของตัวเองเท่านั้น
วิธีการศัลยกรรมแบบนี้ได้รับความนิยมในหมู่นักแสดงฮอลลีวูดมาก เนื่องจากไม่ต้องเจ็บตัวหลายขั้นตอนแต่ได้ผลลัพธ์พร้อมกันหลายอย่าง ทั้งทำให้ผิวหน้าใส เรียบตึงและดูอ่อนเยาว์ จนใครหลายคนตั้งฉายาให้ว่า การทำหน้าแวมไพร์ เพราะต้องใช้เลือดของเรามาฉีดเข้าใบหน้าเพื่อให้ดูเด็กลง เหมือนแวมไพร์ที่ต้องดูดเลือดมนุษย์ เพื่อคงความอมตะนั่นเองฟังชื่อแบบนี้แล้วอาจจะน่ากลัวไปสักหน่อยแต่จริง ๆ แล้วเขาเรียกการทำหน้าแบบนี้ว่า Platelet Rich Plasma Injections (การฉีดเกล็ดเลือดพลาสมา) ทำได้โดยนำเลือดของคนไข้ไปเข้าเครื่องปั่นเพื่อแยกเอาเกล็ดเลือดและพลาสมาออกมา จากนั้นจึงนำไปฉีดเข้าบริเวณใบหน้า ทำให้หน้ากลับมาฟูสวยฉ่ำเหมือนฉีดฟิลเลอร์ เพียงแต่เปลี่ยนจากฟิลเลอร์มาเป็นเลือดของเราเอง
ข้อมูลจาก : cosmopolitan.co.za, glamourmagazine.co.uk, harpersbazaar.com