แพท พาวเวอร์แพท เล่าประสบการณ์กู้ชีวิตพัง ๆ ในเรือนจำ 16 ปี เผยชีวิตหลังได้รับอิสระต้องปรับเยอะ ฝึกใช้สมาร์ตโฟน แพลนให้พี่เขยพาทัวร์นั่งรถไฟฟ้า
ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่ออกมาเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในเรือนจำและชีวิตหลังได้รับอิสระพ้นโทษ สำหรับอดีตนักร้องดัง
แพท พาวเวอร์แพท ที่เพิ่งพ้นโทษคดียาเสพติด หลังถูกจำคุกนานกว่า 16 ปี ล่าสุด (6 มกราคม 2564) เจ้าตัวได้มาเปิดใจในรายการ ถามสุดซอย ทางเนชั่น ช่อง 22 ดำเนินรายการโดย ธัญญ่า ธัญญาเรศ เองตระกูล โดย แพท เปิดใจว่า เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดตั้งแต่อายุ 15-17 ปี เพราะรู้สึกว่าไม่มีคนเข้าใจ จึงใช้ยาเสพติดเป็นเพื่อน
ขอย้อนไปถึงอดีต ตอนที่เราวัยรุ่น ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดครั้งแรก ตอนนั้นอายุเท่าไหร่ ?
แพท : ประมาณ 15, 16, 17 ครับ คือผมเป็นเด็กที่ชอบเล่นดนตรี แล้วโตมากับเพลงร็อกในยุคนั้น อาจมีศิลปินที่เป็นร็อกสตาร์ต่างประเทศที่เรานับถือเป็นไอดอล ในยุคนั้นมีหลายคนใช้ยาเสพติดในการเล่น แล้วเรารู้สึกว่ามันเท่ รู้สึกได้ฟีลลิ่งความเป็นร็อกสตาร์ เราเลยมีความคิดที่จะเลียนแบบเขาในส่วนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือตัวผมเองรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ เหมือนคุยกันคนละภาษา ก็เริ่มหันไปใช้ยาเสพติด โดยคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเพื่อนของเรา แก้เหงา
ใช้ยาอะไรในตอนนั้น ?
แพท : เท่าที่หาได้ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นอะไร
ตอนไปยุ่งกับยาเสพติด เป็น แพท พาวเวอร์แพท หรือยัง ?
แพท : เป็นสักระยะครับ ช่วงใช้ไม่ใช้ เป็นมาเรื่อย ๆ
เคยเสียงานกับยาเสพติดไหม ?
แพท : ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่ชีวิตประจำวันเราจะผิดแปลกไปจากมนุษย์ทั่วไป กลางวันเราจะนอน กลางคืนเราจะไม่นอน ถ้ามีงานกลางวันก็จะรับไม่ได้ ไม่สามารถไปได้ ทำให้กระบวนการทำงาน ขั้นตอนที่อยู่ในแบบแผน ไม่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ ทำให้ชีวิตเริ่มแย่ลงไปเรื่อย ๆ
ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่กับที่บ้าน ?
แพท : ผมไม่ได้อยู่กับที่บ้านตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 มั้งครับ คือทางบ้านไม่อยากให้ผมออกไปหรอก แต่เราเป็นเด็กมีความคิดของตัวเอง ซึ่งความคิดนั้นอาจไม่ได้ถูกต้อง อยากมาใช้ชีวิตของตัวเอง อยากพิสูจน์บางอย่าง ออกจากบ้านหิ้วกีตาร์มา 1 ตัว อยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง อยู่คนเดียวบ้าง อยู่กับเพื่อนบ้าง
ณ วันที่ถูกจับ ?
แพท : ตัวผมเองไม่อยากไปพาดพิงถึงบุคคลอื่น เอาเป็นว่า ณ วันนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้มาติดตามผมโดยตรง ติดตามอีกคนหนึ่งมาแล้วบังเอิญเจอผม ก็ถูกรวบตัวไปพร้อมยาเสพติด ตอนนั้นเป็นยาอีจำนวน 2,998 เม็ด มีคนนำมาฝากไว้ ตอนนั้นเราเสพยา ติดยา คนมาฝากก็ฝากไว้ จะใช้เท่าไรเราก็ใช้ไป ไม่ต้องซื้อ เขาพร้อมเมื่อไหร่จะมาเอาไป ที่ใช้ไปก็ไม่ต้องซีเรียส ใช้เท่าไรใช้ไป ถึงเวลาเดี๋ยวมาเอา
เราไม่ได้ขาย ?
แพท : ไม่ได้ขาย เขาฝากเราไว้ ถึงเวลาเราก็คืนเขา แล้วตำรวจก็มารวบเรา
ความผิดคืออะไร ?
แพท : ร่วมกันค้ายาเสพติด เป็นการร่วมกัน ซึ่งขณะนั้นผมไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ก็อาจเป็นจุดอ่อนทำให้เป็นเครื่องมือของใคร แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะโทษใครนะ เพราะถ้าผมไม่เข้าไปยุ่งไปเสพ ก็คงไม่สามารถเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็ต้องโทษตัวเราเองนี่แหละ ที่เราคิดพลาดไป ใช้ชีวิตผิด คิดพลาดไปในช่วงนั้น ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
ณ วันที่โดนจับ คิดว่าจะรอดไหม คิดไหมว่าต้องอยู่ในเรือนจำ 20 ปี ?
แพท : ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิด ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่ค่อยเสพสื่อ ไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมาย ณ เวลานั้น ไม่รู้ว่าเคสในคดียาเสพติดมีหลายรูปแบบ ถ้าครอบครองเพื่อเสพก็มีจำนวนการจำคุกอีกลักษณะหนึ่ง ถ้าร่วมกันค้าก็อีกลักษณะหนึ่ง ไม่เคยทราบตรงนี้เลย เพิ่งรู้ตอนถูกตำรวจจับไปแล้ว มีพี่ตำรวจคนหนึ่งเดินมาบอกว่ารู้ไหมโทษเราอย่างน้อย 20 กว่าปีมีแน่นอน ก็ตกใจ ด้วยความเราไม่รู้ อำให้เรากลัวหรือเปล่า เราขาดความรู้ด้านสิ่งเหล่านี้ ต้องยอมรับตรงนี้
วันแรกที่ก้าวขาเข้าไป เป็นยังไง ?
แพท : กังวลมาก เพราะเราทราบแต่ในภาพยนตร์ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่รู้มันจริงไหม ก็กังวล พอเข้าไปสิ่งแรกที่ผิดจากที่เราคิดคือทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก มันสะอาด มันโล่ง มันเงียบ ตอนเข้าไปเป็นช่วงเย็นที่เขานำผู้ต้องขังขึ้นตึกนอนแล้ว เข้าไปวันแรก เขาไม่ให้เราใส่รองเท้า เดินเท้าเปล่าพร้อมโซ่ตรวนที่ขา มือหนึ่งก็หิ้วสัมภาระตัวเอง มือหนึ่งหิ้วโซ่ไม่ให้ลากไปกับพื้น เพราะมันจะดังมาก
สมัยก่อนคดีของกลางมาก คาดการณ์ว่ามีการตัดสินจำโทษสูง เขาจะใส่โซ่ตรวนไว้เลยประมาณ 3 เดือน เพื่อดูพฤติกรรมป้องกันการหลบหนี ทำร้ายร่างกายตัวเอง แต่ยุคหลัง ๆ เขามีการยกเลิกข้อกำหนดนี้ไว้แล้ว ผมใส่เกือบ 3 เดือนก็ถอดออกไป ก็เจ็บและต้องปรับตัว ต้องดูแลรักษา เพราะขึ้นสนิมได้ง่ายมาก แล้วจะเป็นอันตรายกับเรา จะกัดข้อเท้าเราให้เป็นแผลได้ง่าย ฉะนั้นต้องคอยหมั่นเช็ดทำความสะอาด ยิ่งหน้าฝนสนิมขึ้นเร็วมากต้องคอยดูแล มันเป็นอีกหนึ่งอวัยวะของเรา ต้องให้สะอาดตลอดเวลา ไม่งั้นจะลำบาก
มีรุ่นพี่มาสอนไหม ?
แพท : มีครับ เพราะพออยู่ที่ข้อเท้า การใส่กางเกง ถอดกางเกง ก็จะมีเทคนิคของมัน มันซับซ้อนมาก เป็นเทคนิคของคนอยู่ข้างใน
ตอนเข้าไปเงียบมาก แล้วยังไงต่อ ?
แพท : ตอนนั้นขึ้นไป มีเพื่อนผู้ต้องขังขึ้นเรือนนอนกันแล้วนะ มีการเปิดทีวีให้ดูอะไรต่าง ๆ ได้รับการต้อนรับจากเพื่อน ๆ เป็นอย่างดี มีการพูดคุย เหมือนการสอบประวัติกัน อาจด้วยเป็นธรรมเนียมอะไรก็แล้วแต่ คดีเป็นยังไง ตัดสินเท่าไร เด็ดขาดหรือยัง เหมือนทำความรู้จักกัน เราก็พยายามพูดคุยกับทุกคน พยายามทำตัวกลมกลืน ไม่ไปทำตัวแปลกแยก เพราะเราคิดว่าต้องอยู่ให้ได้ และต้องอยู่นานด้วย
ปรับตัวนานไหมในการยอมรับการอยู่ในสภาพแบบนี้ ?
แพท : 2-3 เดือนครับ ก็ถือว่าเร็ว เป็นช่วงชีวิตที่จะมีเพื่อนสนิทบ้าง พอคดีเราถูกตัดสินในชั้นต้นก็ถูกย้ายมาเรือนจำบางขวางคนเดียว เป็นที่คุมขังคดีโทษสูงถึงประหารชีวิต ชื่อของเรือนจำที่เราวาดภาพไว้ ดูน่ากลัวมาก มีตำนานอะไรที่เขาเล่าเยอะมาก แต่พอเราเข้าไป มันไม่ได้น่ากลัวหรือเลวร้ายอย่างที่คนข้างนอกมองภาพไป มันผิดไปจากภาพในภาพยนตร์หรือคนข้างนอกพูดถึง มันดูเป็นระเบียบ สะอาด
ชีวิตคนในเรือนจำต้องทำอะไรบ้าง ?
แพท : เขามีตารางให้ทำกิจกรรมในแต่ละวัน เหมือนกับคุณอยู่ข้างนอกมีกฎหมายขีดให้คุณมีอิสระในการเดิน แต่คุณฉีกออก ก็ต้องมาอยู่ในที่ที่เขาขีดเส้นทางให้คุณเดิน
พอไปอยู่ตรงนั้น คนอยู่รอบตัวเรามีปฏิกิริยากับเรายังไง ?
แพท : แน่นอนเขาสังเกตเรา แต่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนอื่น พยายามไม่ผิดแผกไปจากเขา
สอนดนตรีด้วย ?
แพท : เริ่มต้นจากตัวเองด้วย ที่เข้าไปอยู่ในนั้นแล้วอยากพัฒนาตัวเองต่อไป เราจะอยู่ยังไงให้ได้ ก็ใช้สิ่งที่ชอบเป็นเป้าหมาย ทั้งเรื่องดนตรีและศิลปะ ผมก็ตั้งใจว่าจะพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองชอบ โชคดีมีเพื่อนมีพี่ที่รักกัน เขาส่งสื่อการสอน อุปกรณ์ หนังสือเรียนต่าง ๆ มาให้ ผมก็เรียนรู้จากสิ่งที่มีไปเรื่อย ๆ
พอถึงระยะเวลาหนึ่งเรามีความรู้ในระดับหนึ่ง แต่ผมไม่ใช่คนเก่งมากนะ จะมีน้อง ๆ ที่เขาสนใจเข้ามาหาเรา เราก็แบ่งปัน รู้สึกทำให้เราเห็นคุณค่าตัวเอง แม้อยู่ในที่ที่คนดูว่าเป็นที่แย่ ๆ แต่เราก็สร้างคุณค่าให้สังคมหรือคนรอบข้างให้เราได้ พอเราเห็นแววตาเขา ความสุขก็เกิดกับเรา เหมือนเราได้ช่วยเขา เหมือนสิ่งที่เราได้จากดนตรี ศิลปะ ที่ช่วยเยียวยาจิตใจเรา ให้มันอยู่ได้ สิ่งที่ได้รับเขาก็ได้รับเหมือนกับเรา เหมือนเราส่งต่อ ส่งมอบสิ่งดี ๆ ที่ได้มาให้คนอื่นและต่อยอดต่อไป รู้สึกอิ่มเอิบใจมาก
ตอนอยู่ในนั้นแต่งเพลงด้วย ?
แพท : ผมก็ตั้งเป้าหมายว่าวันหนึ่งเมื่อเราออกไป เรารักงานเพลง เราก็ใช้เวลานี้พัฒนาและวางเป้าหมายไปข้างหน้า เราก็เริ่มฝึก ไม่มีใครมาสอนโดยตรง แต่จำจากประสบการณ์ของเรา เอามาต่อยอดให้ตัวเอง มันก็มีดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่งเยอะมากเกือบร้อย ตั้งแต่เราฝึกมาเลย และมีของตัวเองด้วย เขียนให้คนอื่นด้วย เพื่อน ๆ ที่เขาอยากได้ในเรือนจำด้วย ภายนอกก็มีนะ กับน้องที่เขาร้องเพลง เขาอยากได้เพลงก็มี
ตอนศาลตัดสินว่าต้องอยู่ในเรือนจำกี่ปี ?
แพท : ตอนนั้นศาลตัดสิน 50 ปี เราก็คิดว่าเราจะอยู่ยังไง จะเป็นไปได้เหรอที่จะอยู่ถึงตอนนั้น เราจะตายก่อนไหม ก็อื้ออยู่พักหนึ่ง
เราให้กำลังใจตัวเองยังไง ให้สู้ไปกับมัน ?
แพท : ผมคิดว่ายังไงผมก็ต้องอยู่ เรื่องคิดสั้นไม่มีอยู่แล้ว บวกกับได้รับข้อมูลจากคนข้างในว่ามีสิทธิ์ได้ลดโทษ อาจต้องอยู่สักระยะหนึ่ง แต่ไม่ถึง 50 ปีหรอก อาจจะสิบกว่าปีหรือ 20 ปีก็แล้วแต่ อยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าทำความดีไปเรื่อย ๆ ทำชั้นผู้ต้องขังขึ้นไปเรื่อย ๆ อาจได้รับพระราชทานอภัยโทษ พักโทษหรือลดโทษกรณีใดกรณีหนึ่ง ซึ่งโอกาสที่เราจะได้กลับบ้านจะเร็วกว่านั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นข้อมูลให้กำลังใจ รวมทั้งครอบครัวด้วย เวลาพ่อแม่มาเยี่ยมก็เป็นกำลังใจให้
ตอนเด็กไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ วันที่อยู่ในคุกทำให้เราคิดอะไรได้ ?
แพท : ทำให้เราเห็นถึงความรักในครอบครัว ทำให้เราเห็นว่าคนที่รักและหวังดีห่วงใยกับเราที่สุดคือครอบครัว พ่อแม่ของเรา เรามีครอบครัวที่ดี มีพื้นฐานที่ดี มีครอบครัวน่ารักกว่าหลายครอบครัว ทำไมเราถึงมองไม่เห็น เรารู้สึกประหลาดใจในความคิดตัวเองมากว่าทำไม ณ ตอนนั้นเราถึงต่อต้านพวกเขา เพราะอะไรเราถึงปิดกั้นพวกเขา ซึ่งทุกคนหวังดีกับเราจริง ๆ อยู่กับเรา เคียงข้างเราตลอดเวลาในวันที่เราอยู่ในเรือนจำ วันที่เราลำบาก
เริ่มทบทวนตัวเอง สิ่งที่ทำผิดพลาดไป สิ่งที่ล่วงเกินครอบครัว สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาลำบาก เราผิด เรายอมรับ และตั้งใจว่าต่อจากนี้ไปจะทำให้เขาภูมิใจ จะไม่ทำผิดอีก เริ่มแก้ไข และตั้งใจเก็บกู้ชีวิตที่พังทลายขึ้นมาให้เร็วที่สุด เริ่มตั้งหน้าตั้งตาว่าเราทำอะไรในเรือนจำได้บ้าง ก็เลยมีการเรียนหนังสือ
เรียนยังไง ?
แพท : เขาจะมีหลักสูตรมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เป็นการเรียนทางไกล เป็นมหาวิทยาลัยเปิด เขาจะส่งหนังสือตามรายวิชามาตามพัสดุภัณฑ์ ต้องอ่านเองทั้งหมด ต้องมีวินัยกับตัวเองถึงจะสอบผ่าน ผมจบใบแรกศิลปศาสตร์ ก็เรียนต่อใบที่สอง แต่พอผมรู้สึกว่าผมเรียนในสิ่งที่ผมไม่ได้ใช้ ผมก็หยุดเรียน แล้วมาเลือกเรียนด้านวิชาชีพที่ตัวเองน่าจะชอบและได้ใช้ คือมาเรียนเรื่องศิลปะและจิตรกรรม ตอนนั้นเรียนของ กศน. มีการสมัครเรียนและจบการศึกษาด้านศิลปะและจิตรกรรมมาอีกหนึ่งใบ
แพทอยู่มาเกือบ 20 ปี ความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ค่อนข้างเยอะ ?
แพท : อยู่ตั้งแต่ยุคกินข้าวแดง ที่คนโบราณเขาชอบพูดกัน เป็นข้าวกล้องหรืออะไรสักอย่างที่ไม่ได้ขัดสี กับข้าวก็มีวนเวียนไปเรื่อย แต่ข้าวค่อนข้างแข็งนิดหนึ่ง แต่เขาว่ามีประโยชน์มากนะ มีสารอาหารดีมาก (หัวเราะ) จนมาผลัดเปลี่ยนเป็นข้าวขาว เป็นยุคเปลี่ยนผ่านในหลาย ๆ ยุค
การได้เข้ามาอยู่ในนี้ ปรับเปลี่ยนเราให้ดีกว่าเดิม ?
แพท : เหมือนเราถูกใส่ชุดความคิดใหม่ เข้าใจชีวิตและเข้าใจโลกมากขึ้น ทุกอย่างไม่ได้ซับซ้อนเหมือนตอนที่เราคิดในวัยเด็กเลย มันคิดง่าย ๆ เท่านั้นเอง
ถ้าวันนั้นไม่ได้เข้ามาเรือนจำ คิดไหมจะเป็นยังไง ?
แพท : อาจเสียชีวิตเพราะยาเสพติดไปแล้วมั้งครับ (หัวเราะ) เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์ใด ๆ และทำลายร่างกายเราไปทุกวัน คิดว่าในความโชคร้ายก็มีความโชคดี
เราทราบนานไหมว่าจะได้ออกมาวันไหน ?
แพท : ถ้าให้รู้ชัดแน่ 100 เปอร์เซ็นต์ วันที่ประกาศพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 วาระ 5 ธันวาคม ได้ทราบว่าได้ออกแน่นอน ก็ตื่นเต้นและดีใจมาก วันที่เรารอคอยมาถึงแล้ว เราก็อดทนสู้มายาวนานทั้งตัวเองและครอบครัว รวมถึงพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่เขาให้กำลังใจเรา เอฟซี แฟนคลับที่เขายังเชื่อมั่นในตัวเรา ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำอะไรดี ๆ ให้คนข้างนอกได้ คิดว่าวันที่รอคอยมันมาถึง
ช่วง 1 เดือนเป็นยังไงบ้าง ?
แพท : ก็คิดไปเรื่อยว่าโลกภายนอกจะเป็นยังไงบ้าง นอนไม่ค่อยจะหลับ
พอออกมาเห็นโลกภายนอกจริง ๆ ?
แพท : มันมากกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ๆ ต้องเรียนรู้ไป ทั้งเทคโนโลยีและการใช้ชีวิต แต่โชคดีครอบครัวผมซัพพอร์ต เป็นพี่เลี้ยงให้ รวมถึงพี่ ๆ เพื่อน ๆ รอบข้าง แนะนำหลายอย่างมาก
คืนแรกกลับไปนอนที่นอนนุ่ม ๆ ที่บ้าน ?
แพท : ปิดไฟนอนก็แปลก ๆ เพราะในเรือนจำต้องเปิดไฟนอนตลอดเวลา มันแปลกไปทุกอย่าง
เจอรถไฟฟ้า รู้สึกยังไง ?
แพท : สมาร์ตโฟนอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) ตอนนี้นั่งรถยังเมาอยู่เลย เพราะในนั้นเป็นวิสัยทัศน์ที่แคบ อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม พอมาเจอรถวิ่ง วิสัยทัศน์ที่ไกลขึ้นจากสายตาที่เคยมองปกติ ต้องปรับและใช้เวลาสักนิดหนึ่ง
อยากไปนั่งรถไฟฟ้าไหม ?
แพท : ก็อยากครับ ยังพูดกับพี่เขยอยู่เลยว่าสักวันจะลองไปทัวร์กัน แต่ไม่มีเวลา มีงานเข้ามา งานเพลงก็เริ่มมีแพลน คุยกับพี่เท็ดดี้แล้วว่าจะมีโอกาสได้ทำผลงานเพลงกันอีกครั้ง แต่ต้องดูตามสเต็ป ไม่รีบร้อน และมีแพลนจะบวชให้คุณแม่ด้วย เป็นลูกที่ไม่ค่อยดี พอมีโอกาสก็ตั้งใจตอบแทนท่าน ชดใช้และชดเชยในสิ่งที่เราละเลยไปต่อจากนี้
คุณพ่อคุณแม่เป็นไงบ้าง ?
แพท : ดีใจมาก หน้าบานเลย เขาโล่ง ที่สู้กันมา อดทนกันมา มันส่งผลแล้ววันนี้
อนาคตมองยังไง ?
แพท : ผมจะชดเชยในสิ่งที่ผมเคยมีส่วนทำร้ายสังคม พยายามใช้ความรู้ความสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคม
ถ้าย้อนไปได้ มีอะไรอยากแก้ไข ?
แพท : การเชื่อฟังครอบครัว เป็นสิ่งที่ต้องกลับมาคิด เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับสร้างคนคนหนึ่ง คนรักเราและหวังดีที่สุดกับเราก็คือครอบครัว อยากให้น้อง ๆ เยาวชนเชื่อฟังพ่อแม่ ด้วยความเป็นวัยรุ่นเราอาจจะรำคาญ ไม่อยากรับฟังในสิ่งที่ท่านเตือน ซึ่งเขาเตือนเพราะเขาหวังดี เขาอาบน้ำร้อนมาก่อน อย่างผมเอง สิ่งที่ผู้ใหญ่เตือน พอมันผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ เรารู้เลยว่ามันตรงหมดเลย และจริงอย่างที่เขาบอก อย่าให้เกิดเหตุการณ์ผิดพลาดในชีวิตเลย เชื่อฟังผู้ใหญ่ เดินตามทางที่ถูกที่ควรดีที่สุด
เกือบ 20 ปีอยู่ในเรือนจำ คิดว่าถ้าอยู่ปีสองปีจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นแบบนี้ได้ไหม ?
แพท : อาจเป็นเวลาที่น้อยเกินไป อาจจะยังไม่เข็ดมั้ง (หัวเราะ)
การอยู่ในเรือนจำ เกือบ 20 ปี ให้อะไรกับแพท ?
แพท : มันให้ความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ และการตกผลึกทางความคิด บางสิ่งที่อยู่ในลู่ทางที่ควรเป็น ความเข้าใจโลก และความเข้มแข็งในจิตใจของตัวเอง การรู้คุณค่าการใช้ชีวิต ตอนนี้เข้มแข็งเต็มที่