ทาครีมกันแดด 2 ข้อนิ้ว
VS
2 นิ้วมือ แบบไหนถูก ?
1. ทาครีมกันแดด 2 ข้อนิ้ว หรือ 2 Finger Tip Unit (2 FTU)
จากงานวิจัย ค่าเฉลี่ยพื้นที่ผิวผู้ใหญ่คิดเป็น 1.73 ตารางเมตร ดังนั้นถ้าทากันแดดทั้งตัวก็ใช้ประมาณ 35 กรัม ซึ่งการกะประมาณพื้นที่ผิวประยุกต์มาจากวิธีทางการแพทย์ที่ใช้ในการประเมินความรุนแรงจากแผลไฟไหม้ โดยพื้นที่ผิวหน้าใช้การกะโดยประมาณจาก Rule of Palm คือพื้นที่ 1 ฝ่ามือรวมนิ้ว = พื้นที่ผิวประมาณ 1% ตีว่าใบหน้าของคนเรามีพื้นที่ประมาณ 3 ฝ่ามือ ก็คือ 3%
หากเทียบบัญญัติไตรยางค์ พื้นที่ผิว 100% ใช้ครีมปริมาณ 35 กรัม ถ้าพื้นที่ผิวหน้า 3% ก็ใช้ครีมกันแดดประมาณ 1.05 กรัม
ส่วนปริมาณครีมกันแดด 2 ข้อนิ้ว ชั่งมาแล้วว่าเท่ากับ 1 กรัม โดย FTU หรือ Finger Tip Unit 1 หน่วย เท่ากับปริมาณครีมที่บีบจากหลอดที่มีความกว้างเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มิลลิเมตร เริ่มจากรอยพับสุดท้ายถึงปลายนิ้วชี้ จึงเป็นเหตุผลว่าการทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้าต้องใช้ปริมาณไม่น้อยกว่า 2 ข้อนิ้ว และควรบีบให้เต็มนิ้วหรือพูนเล็กน้อย รับรองว่าไม่ขาดแน่นอน
อีกทฤษฎีหนึ่ง คิดสัดส่วนใบหน้าและลำคอในมนุษย์ผู้ใหญ่มีพื้นที่ประมาณ 685 ตารางเซนติเมตร หากใช้สูตรมาตรฐาน 2mg/cm2 เทียบได้ว่าต้องใช้ปริมาณครีมกันแดดทั้งหมด 685 x 2 = 1,370 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1.3 กรัม ซึ่งอยู่ที่ราว ๆ 2.5 FTU หรือ 2 ข้อนิ้วครึ่ง นั่นเอง
- Tips : ควรแบ่งทาครีมกันแดด 2 รอบ โดยบีบครีมออกมาครั้งละ 1 ข้อนิ้ว ทาให้ทั่วหน้าแล้วรอให้ครีมซึมประมาน 3-5 นาที ค่อยทาอีกรอบหนึ่ง
2. ทาครีมกันแดด 2 นิ้วมือ หรือ 2 Finger Rule Sunscreen
สำหรับการทากันแดด 2 นิ้วมือ มาจากกฎ 9% (Rule of Nines) เป็นการแบ่งพื้นที่ผิวในร่างกายของเราออกเป็น 11 ส่วน แต่ละส่วนมีพื้นที่ 9% ประกอบด้วย
- ศีรษะ คอ ใบหน้า
- แขนซ้าย
- แขนขวา
- หลังส่วนบน
- หลังส่วนล่าง
- หน้าอก
- หน้าท้อง
- ขาซ้ายด้านหน้า
- ขาซ้ายด้านหลัง
- ขาขวาด้านหน้า
- ขาขวาด้านหลัง
แล้วแต่ละส่วนปริมาณครีมกันแดดที่เหมาะสมคือ 2 นิ้วมือ โดยบีบครีมจากโคนนิ้วถึงปลายนิ้วชี้และนิ้วกลาง ซึ่งควรบีบให้เต็ม ไม่เป็นเส้นบาง ๆ
วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง
วิธีเลือกครีมกันแดด
การทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง ควรเริ่มตั้งแต่วิธีเลือกครีมกันแดด เนื่องจากรังสียูวีมีทั้ง UVA ที่ทำให้เกิดผิวแห้งกร้านและริ้วรอยก่อนวัยอันควร UVB เป็นสาเหตุให้ผิวไหม้แดด และ UVC ที่ไม่สามารถส่องผ่านมาถึงโลกได้ ดังนั้นเราจึงควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB โดยดูได้จาก
1. ค่า SPF (Sun Protective Factor) บ่งบอกถึงการป้องกัน UVB โดยถ้าใช้ SPF สูงมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันมากขึ้น
2. ค่า PA (Protective Grade of UVA) บ่งบอกการป้องกัน UVA
PA+ หมายถึงป้องกัน UVA ได้ 2-4 เท่า
PA++ หมายถึงป้องกัน UVA ได้ 4-8 เท่า
PA+++ หมายถึงป้องกัน UVA ได้ 8-16 เท่า
PA++++ หมายถึงป้องกัน UVA ได้มากกว่า 16 เท่า
3. Waterproof / Water Resistance กรณีเลือกครีมกันแดดกันน้ำ ควรมีข้อความระบุว่า Water Resistance หมายถึงกันน้ำได้นาน 40 นาที Very Water Resistance หมายถึงกันน้ำได้นาน 80 นาที
ทั้งนี้ ประเทศไทยค่อนข้างมีแดดจัดเกือบทั้งปี ครีมกันแดดที่ดีควรมีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และมีสัญลักษณ์ PA+++ หรือ PA++++ และหากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือมีเหงื่อออกมาก เช่น ว่ายน้ำ ตีกอล์ฟ เทนนิส ควรใช้ครีมกันแดดชนิดกันน้ำด้วย
หลักในการทาครีมกันแดด
1. ทาครีมกันแดดก่อนออกแดด ประมาณ 15-30 นาที
2. ทาครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสม คือบีบครีมให้เต็ม 2 ข้อนิ้วมือ หรือ 2 นิ้วมือ สำหรับการทาใบหน้าและลำคอ แต่หากเป็นกันแดดชนิดน้ำหรือโลชั่น ควรบีบประมาณ 1 เหรียญสิบ
3. แต้มครีมกันแดด 5 จุด ลงบนใบหน้า ได้แก่ หน้าผาก แก้มทั้ง 2 ข้าง จมูก และคาง จากนั้นเกลี่ยครีมให้ทั่วหน้า
4. ทาครีมกันแดดซ้ำ ในกรณีที่มีเหงื่อออกมากและหลังขึ้นจากน้ำทุกครั้ง
5. ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากออกแดดจัด
แม้ว่าจะทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แต่หากทาผิดวิธีการทาครีมกันแดดนั้นก็อาจสูญเปล่า ทั้งนี้ อย่าละเลยส่วนที่คิดว่าไม่จำเป็น เช่น คอ หลัง และใบหู เพราะการทาครีมกันแดดให้ทั่วถึงก็สำคัญเช่นกัน หรือใช้อุปกรณ์กันแดดอื่น ๆ ร่วมด้วยก็สามารถป้องกันแสงแดดและรังสียูวีเพิ่มขึ้นเป็นสองชั้นด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : siphhospital.com, si.mahidol.ac.th, เฟซบุ๊ก Summersense_official, ncbi.nlm.nih.gov, researchgate.net, mywomenstuff.com, curology.com