จากเหตุการณ์ที่ บิว วราภรณ์ อินฟลูเอนเซอร์คนดัง ติด ตม. เกาหลี และเป็นเหตุให้เข้าห้องเย็นและส่งตัวกลับไทย ทั้งที่เธอมีอาชีพเป็นหลักแหล่ง มีเงิน มีทุกอย่าง แต่กลับต้องมาติด ตม. และถูกส่งตัวกลับอย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งล่าสุด บิวได้ออกมาไลฟ์ให้ฟังเป็นระยะเวลากว่า 2 ชม.
อ่านเพิ่มเติม บิว วราภรณ์ อินฟลูฯ รีวิวติด ตม. เกาหลี ชีวิตรันทดในห้องเย็นก่อนถูกส่งกลับไทย คนดังก็ไม่รอด !
บิว วราภรณ์ ติด ตม. เกาหลี เล่าย้อนทริปเดือนมิถุนายนเจ้าปัญหา วีซ่าอเมริกาในเล่ม ไม่ช่วย
ทั้งนี้ บิวได้ออกมาไลฟ์เป็นเวลากว่า 2 ชม. เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่ถูก ตม. เกาหลี ปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ ติดห้องเย็น และถูกส่งกลับไทย โดยที่บิวบอกว่า ตนเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ และทำธุรกิจอาหารเสริม บิวทำพาสปอร์ตครั้งแรกเมื่อ 7-8 ปีก่อน เนื่องจากบิวได้รับเชิญจากแบรนด์กางเกงแบรนด์หนึ่งให้ไปสหรัฐอเมริกา ในตอนนั้นบิวเป็นแค่นางแบบอิสระ ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา ยังไม่มีธุรกิจและยังไม่ได้เป็นอินฟลูเอนเซอร์หรือมีธุรกิจส่วนตัว ตอนนั้นบิวก็คิดว่าคงไม่ได้วีซ่าอเมริกาหรอก แต่สุดท้ายก็ได้วีซ่าอเมริกา 10 ปี ทั้งที่ผ่านยากมาก และได้ไปซานฟรานซิสโก
จากนั้นบิวได้ผันตัวมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์และยูทูบเบอร์ เมื่อมาทำคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ การแต่งตัว แต่งหน้า ก็มีแบรนด์ติดต่อให้ไปออกอีเวนต์ทั้งในไทยและต่างประเทศ และประเทศหลัก ๆ ที่ได้ไปคือ เกาหลี ส่วนประเทศอื่นก็มีญี่ปุ่น อเมริกาบ้าง และตลอดเวลาที่ไป 4-5 ปี ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย ส่วนมากจะมีบัตรเชิญจากแบรนด์เกาหลี และครั้งไหนไปกับแบรนด์ บิวก็จะบอกทุกคน บิวเข้าเกาหลีทั้งไปเที่ยวและทำงาน และไปบ่อยมาก ๆ น่าจะเกิน 10 รอบ
ทว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 แบรนด์หนึ่งได้เชิญบิวไปอีเวนต์ของแบรนด์กระเป๋าเกาหลี มีการจัดนิทรรศการที่เปิดให้ทุกคนเข้าได้เลย และบิวได้ผ่าน ตม. ปกติ แต่มีเพื่อนร่วมทริปที่ถูก ตม. เชิญไปเข้าห้องเย็น เพราะ ตม. มองว่าแบบนี้มาทำงาน ใช้วีซ่าท่องเที่ยวไม่ได้ ทางแบรนด์เลยยกเลิกสัญญาจ้างทุกคน เพื่อให้ ตม. สบายใจ และบริษัทก็เคลียร์เรื่องต่าง ๆ ให้แล้ว ทำความเข้าใจกันแล้ว ตม. บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน
บิว วราภรณ์ กับการเจอ ตม. ด่านแรก ตม. รู้เป็นอินฟลูฯ แต่ไม่สนใจ พบหลักฐานสำคัญในมือถือ
แต่ในครั้งนี้ บิวได้ไปเที่ยว พาแฟนหนุ่ม (ธนิน) ไปตัดสูท และไปถ่าย Vlog ด้วย เมื่อถึง ตม. บิวก็ให้แฟนเข้า ตม. ไปก่อน เพื่อที่แฟนจะได้บอกว่ามาด้วยกันกับบิว แฟนก็ผ่านเข้าไปปกติ และพอถึงคราวบิวเข้า ตม. เมื่อสแกนนิ้ว ตม. ก็เรียกคนมาเลย แต่ในแวบแรกบิวคิดถึงทริปเมื่อเดือนมิถุนายน และคิดว่าทุกอย่างเคลียร์ไปแล้ว
เมื่อเข้าห้องเย็น บิวก็ได้คุยกับ ตม. คนหนึ่ง ที่เป็นด่านแรกซึ่งสอบถามข้อมูลส่วนตัว เขาถามว่าชื่ออะไร ทำอาชีพอะไร มากับใคร แฟนชื่ออะไร บิวก็ตอบได้และยื่นเอกสารโรงแรมไป มีฟอร์มให้กรอก และ ตม. ก็พิมพ์ชื่อแฟนลงไป แล้ว ตม. ก็พูดถึงทริปเมื่อเดือนมิถุนายน โดยที่เขาไม่ค่อยสนใจว่าวันนี้บิวมาทำอะไร จากนั้นก็หยิบมือถือบิวไปเช็ก ทั้งที่บิวยังไม่ได้เซ็นยินยอม
บิวพยายามถามว่าอยากจะคุยกับแบรนด์ไหม หรือคุยกับคนที่พูดเกาหลีได้ แต่ ตม. ไม่ได้สนใจอะไรเราขนาดนั้น และเพื่อนที่เคยไปทริปเมื่อเดือนมิถุนายนด้วยกัน ก็ผ่านเข้า ตม. ได้ปกติ จากนั้นเขาก็ดูโซเชียลของบิว และเรียกคน 4-5 คนมาดู บิวก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน จนกระทั่ง ตม. ไปเจอรูปของบิวที่ถ่ายรูปคู่กับแบรนด์กระเป๋าใบนั้น ทั้งที่งานนั้นเป็นงานเปิด ตม. ก็ไม่เชื่อบิว บิวก็บอกว่า ตม. อยากดูสเตตเมนต์หรือไม่ เพราะนี่ไม่มีการจ้างงานจริง ๆ มันจบไปแล้ว อยากโทร. หาบริษัทไหม เวลาที่มากับแบรนด์ตลอด 4-5 ปี เกาหลีก็ต้อนรับตลอด บิวก็ถ่ายคลิปโปรโมตให้ และไม่เคยมีปัญหาเลย
บิว วราภรณ์ กับ 4 คำถามสำคัญที่โดนถาม แย่ที่สุดคือล่ามไทย เสียงดุใส่ อย่าพูดแก้ต่าง
เมื่อ ตม. ตัดสินเราไปแล้ว ก็จะมีใบให้เซ็น บิวก็พยายามบอกว่าครั้งนี้มาเที่ยว แฟนก็มาตัดสูทแต่งงาน และมาถ่ายคลิปคบกันครบ 8 ปี โดยมีการสัมภาษณ์บิว และประชุมสายกับล่าม ซึ่งบิวคิดว่าจุดที่โดนน่าจะเพราะล่ามคนไทย คำถามมีดังนี้
1. บิวได้ลงทะเบียน K-ETA เองหรือไม่ : บิวตอบว่าใช่ แต่ลงทะเบียนเมื่อ 9 เดือนที่แล้วตั้งแต่ทริปกับครอบครัวเมื่อปลายปีก่อน
2. ค่าลง K-ETA เท่าไร : บิวตอบว่ามันนานมาก จำไม่ได้ แต่ล่ามก็ดุว่า “ตอบค่ะ คุณลงเองคุณต้องตอบได้” บิวก็เลยบอกว่าจะขอดูสลิปสักครู่ได้ไหม เพราะจำไม่ได้ว่าตัวเลขเป๊ะ ๆ เท่าไร บิวเลยพิมพ์หาแฟนว่าเท่าไร เลยตอบมั่ว ๆ ไปว่า 800-1,000 บาท บิวมองว่าล่ามควรช่วยเราแปล คนมาอยู่ตรงนั้นก็กดดันพออยู่แล้ว ยิ่งกดดันยิ่งตอบผิด
3. เขามีการพูดถึงเรื่องทริปเมื่อเดือนมิถุนายน : บิวบอกว่า โทษนะคะ อันนี้มันคือเรื่องที่จบไปแล้ว
4. เขาถามว่า คุณได้รับเงินใช่หรือไม่ : บิวบอกว่า เรื่องมันจบไปแล้ว อยากดูสเตตเมนต์หรือไม่ จะโทร. หาบริษัทไหม จะดูเอกสารหรือให้ทางบริษัทยืนยันก็ได้ บิวบอกว่าตนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์เครื่องสำอาง สกินแคร์ มีปัญหาแค่ครั้งสุดท้าย แต่ล่ามกลับบอกว่า “ตอบค่ะ” และเมื่อบิวบอกว่าไม่ได้รับเงิน เขาก็พยายามเล่นว่ามีการรับของหรือเปล่า ซึ่งบิวมองว่าล่ามควรช่วยเหลือเรา ไม่ใช่มาอินหรือดุกว่า ตม.
เมื่อคุยไปคุยมาสักพัก ล่ามก็พูดว่า มีอะไรจะพูดไหม บิวก็บอกว่าขอบคุณที่ให้โอกาสตนได้อธิบาย ทาง ตม. มีอะไรจะแนะนำไหม เผื่อเป็นข้อมูลในครั้งหน้า และรับทราบเอาไว้ เราก็เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่เคยโปรโมตให้ประเทศนี้ พยายามพูดถึงความดีงาม เวลาที่มาก็มีเอกสารชัดเจนหมด มีตั๋วเครื่องบิน พักที่ไหน และที่ผ่านมาไม่ว่าจะทริปไหนก็ไม่เคยมีปัญหา ทาง ตม. อาจจะลืมลบบันทึกก็ได้ ครั้งนี้มาเที่ยว ครั้งก่อนขอโทษด้วยถ้าทำให้ไม่สบายใจ แต่ล่ามก็พูดว่า “บอกว่าให้พูดครั้งสุดท้ายกับเจ้าหน้าที่ค่ะ ไม่ได้ให้แก้ต่าง” จนบิวโมโหและพูดว่า “ที่พูดไม่ได้แก้ต่าง ทุกอย่างมีหลักฐาน พิสูจน์ได้ อยากดูไหม”
บิวมองว่าถ้าเขาดูหลักฐานแล้วไม่เชื่อก็ว่าอีกอย่าง แต่นี่ไม่ดูหลักฐานอะไรเลย แต่คิดไปเองและเชื่อไปเองแล้ว อีกอย่างตอนที่คุยกัน บิวได้ยินเสียงเหมือนล่ามกำลังขับรถ ได้ยินเสียงเปิดไฟเลี้ยว ทำให้บิวรู้สึกว่าล่ามไม่เป็นมืออาชีพเลย ขับรถไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย มันแยกประสาทไม่ออก จนสุดท้ายทาง ตม. ก็ตัดสินว่าไม่ให้เข้าประเทศ และยื่นเอกสารให้เซ็น 2 ใบคือ ใบคัดค้านไม่ให้เข้าประเทศ และใบอุทธรณ์ ซึ่งจะอุทธรณ์คำตัดสินได้หากจองตั๋วเครื่องบินแล้ว
ทั้ง ตม. และล่ามก็ต้องรู้อยู่แล้วว่า บิวไม่ได้จะมาเป็นผีน้อย เราพยายามจะพูดกับเขาว่าเรามีเอกสารทุกอย่าง พยายามโชว์สเตตเมนต์ เขาก็ไม่แม้แต่จะขอดูอยู่
บิว วราภรณ์ กับการอุทธรณ์เคส โดน ตม. บูลลี่ ล้อเลียน
จากนั้นบิวก็ไปอีกห้องเพื่ออุทธรณ์เคส และห้องนั้นเป็นห้องที่โดนคนกักตัวหลากหลายประเทศ แยกกันชาย-หญิง บิวเข้าไปหา ตม. และโชว์ใบอุทธรณ์ให้ดู เขาก็ปัดมือไล่และบอกว่า “Go” “Go inside” จากนั้นบิวก็พยายามมาคัดค้านอีกรอบ แต่เขาก็ยังไล่ไปอีก จนกระทั่งบิวไปเจอเบอร์หนึ่ง ก็เลยโทร. ไปหาแบรนด์ ให้แบรนด์ช่วยโทร. ตามเบอร์นั้น ทาง ตม. จึงเรียกบิวไป และได้ใบมาซึ่งไม่มีภาษาอังกฤษเลย บิวเลยใช้ Google Translate ไป
บิวพยายามอธิบายว่า ตนมาเที่ยว แฟนมาตัดสูท และเขียนความในใจถึง ตม. และใส่อารมณ์เข้าไป มาฉลองครบรอบ 8 ปีกับแฟน มาถ่ายพรีเวดดิ้งด้วย บิวอธิบายว่าอาชีพอินฟลูฯ ไม่ใช่อาชีพหลัก และบิวมีธุรกิจของตัวเอง สิ่งที่ได้กลับมาคือ โดน ตม. ล้อเลียน บูลลี่ และ ตม. ก็บอกว่า ตอนนี้ ตม. จะกลับบ้าน เลิกงานแล้ว ให้มารอฟังผลวันพรุ่งนี้ตอน 8 โมงเช้า
บิว วราภรณ์ เล่าชีวิตในห้องเย็น ยอมทนนอนห่มผ้าห่มสาปหมา ล่ามไทยมาอีกรอบ ทำน้ำตาไหลจริง
บิวคิดว่ายอมนอน 1 คืน แล้วคิดว่าน่าจะได้ข่าวดี พอเข้าไปในห้องก็พบว่าห้องนั้นไม่มีอะไรเลย ในห้องน้ำมีเครื่องซักผ้า แต่ไม่มีผ้าเช็ดตัว เธอไม่มีสกินแคร์ ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย และเธอต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดให้ได้
มองที่นอนไปก็ไม่มีที่นอน ไม่มีหมอน มีผ้าห่มบาง ๆ อาหารที่แจกให้ก็ไม่อร่อย กินไม่ลง บิวก็เลยไปหาที่นอน และดีใจที่เอากระเป๋าใบนี้มาเพราะหนุนหัวได้ ส่วนผ้าห่มนั้นเหม็นกลิ่นสาปหมาถึงขั้นที่บิวไปนอนแล้วแอบดมผ้าห่มคนอื่นว่าเหม็นไหม ถ้าอยากรู้ว่าเป็นไง ให้ทุกคนลองนอนบนพื้นบ้าน 8-10 ชั่วโมง รับรองหลังเคล็ดแน่นอน
บิวจากไทยสภาพไหน ติด ตม. สภาพนั้น ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างฝากไว้ที่แฟน ดังนั้นใครที่คิดว่าจะติดก็เตรียมพวกผ้าเช็ดตัว ชุด เครื่องสำอาง สกินแคร์ อาหารนิดหน่อย น้ำ หมอนรองคอ สายชาร์จ พาวเวอร์แบงค์ แล้วด้วยความที่ผ้าห่มเหม็น บิวเลยไม่ห่ม
ตอนนอนก็หลับ ๆ ตื่น ๆ และกระเป๋าก็มีหมุด นอนลำบากมาก พอประมาณ ตี 2-ตี 3 อากาศเริ่มหนาว บิวก็เลยยอมเอาผ้าห่มมาห่ม และตื่นมา 6 โมงเช้า จน 7.30 น. เขาก็ยื่นโทรศัพท์ให้บิวพูดกับล่ามที่เป็นคนเกาหลีที่พูดภาษาไทยได้ บิวเลยคิดว่าเขาจะเข้าใจภาษาไทยไหม และทางนั้นก็บอกว่า “คุณรู้ใช่ไหมคะว่าคุณทำความผิด” ซึ่งบิวก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองผิดอะไร บิวพยายามบอกให้ ตม. ดูเอกสาร เพื่อการยืนยันตัวเอง อยากได้อะไรมีให้ดู แต่ล่ามบอกว่า “คุณเข้าใจไหมคะว่าคุณเข้าประเทศไม่ได้” จนบิวน้ำตารื้น ทั้งที่ปกติบิวเป็นคนสู้มาก
บิวเริ่มถามว่า ทำไมเข้าไม่ได้ ล่ามก็ตอบว่า “คุณได้ยินไหมคะว่าคุณเข้าประเทศไม่ได้” และตะโกนว่า “ใช่ค่ะ เข้าประเทศไม่ได้แล้วค่ะ” และ บิวก็ร้องไห้เหมือนโดนผู้ชายบอกเลิก บิวไม่ได้ร้องไห้เพราะเสียใจ แต่บิวร้องไห้เพราะเจ็บใจ คุณดูโซเชียลเราก็ได้ เห็นว่าเราเป็นอินฟลูฯ ช่วยโปรโมตเกาหลี แสดงถึงความดีงามต่าง ๆ เราทำดีทุกอย่างแต่ไม่มีความหมายอะไรเลย ซึ่งถ้าติดตามดูจะรู้ว่าตนทำคลิปไปเกาหลีบ่อยมาก มีแต่แนะนำให้คนมา ทำให้ครั้งนี้บิวคิดไม่ออกว่าครั้งนี้เราทำอะไรไม่ดี (ร้องไห้) บิวมั่นใจว่าเขารู้ว่าบิวคืออินฟลูฯ และอินกับอะไรที่เป็นเกาหลี ทำไมเราโดนกระทำแย่ขนาดนี้
จุดแตกหักคือ เราไม่มีสิทธิ์เข้าอีกแล้วใช่ไหม เขาก็บอกว่า "คุณต้องกลับประเทศ คุณเข้าประเทศนี้ไม่ได้" เราไม่มีความดีความชอบเลยเหรอ เกาหลีเหมือนบ้านหลังที่สอง คนไทยไปเกาหลีเยอะมาก ไปกิน ไปช้อปปิ้ง ตลอดเวลาที่ไปกับแบรนด์ ไม่ว่าจะอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ บิวไม่เคยติด ตม. เลยสักครั้ง ไม่มีประวัติอาชญากรรม แต่นี่เขาทำเหมือนเราเป็นนักโทษ โดนยึดทุกอย่าง ยึดพาสปอร์ต จะช้อปปิ้งก็ไม่ได้ ห้ามไปไหนทำอะไร ที่บิวลงสตอรี่เพราะทุกอย่างมันพรั่งพรู
บิว วราภรณ์ กับจังหวะโบ๊ะบ๊ะ จะโดนส่งตัวกลับดันมีคนมาสัมภาษณ์ ตอนนี้ทางบริษัทหาทนายแล้ว
เมื่อไม่ให้เข้าประเทศ เขาก็พาไปที่เกตเพื่อส่งตัวกลับ และตอนที่อยู่ในเกตก็มีคนไทยที่มาแนะนำตัวว่า “สวัสดีค่ะ เป็นคนไทยไหมคะ พอดีมาจากการท่องเที่ยวเกาหลี อยากจะทำแบบสอบถามการท่องเที่ยว” บิวที่น้ำตารื้น จนเขาจับสังเกตแล้วเห็นว่า บิวส่งตัวกลับ เขาก็เลยพูดในมุมของเขาว่าคนโดนกันเยอะ แชร์ให้เราฟัง
และตอนนี้ ทางบริษัทที่เขาเชิญบิวไป กำลังหาทีมกฎหมายและหาทนายให้อยู่ ทางบริษัทพร้อมซัพพอร์ตถึงที่สุด และจะยื่นไปที่ ตม. ว่า อะไรยังไง
ระหว่างที่เข้าไปใน ตม. ก็มีคนไทยหลายคนที่โดนด้วย อย่างจังหวัดเกิดก็จะโดนเพ่งเล็ง หากมาจากเหนือหรืออีสาน และเขาจะถามแพลน ต้องตอบให้ได้ มีการถามว่าพกเงินมาเท่าไร คนที่ติด ตม. เหมือนกันก็โดนถามแพลนเที่ยว ซึ่งเขาก็ตอบได้หมด จนถามว่า ไปเที่ยว 5 วันใช้เงินเท่าไร ก็เลยตอบว่าไม่รู้ว่าจะใช้เงินเท่าไร และ ตม. บอกว่าแบบนี้คือตอบไม่ได้
บิวไม่รู้ว่าเขาใช้เกณฑ์อะไร ทำไมทุกคนที่มาด้วยกันผ่านเข้าไปหมด แล้วเหลือบิวที่เป็นแกะดำคนเดียว ตนพร้อมที่จะพิสูจน์ทุกอย่าง แต่เขาไม่ฟังอะไรเลย บางคนไม่ได้ทำอะไรเลยก็โดนให้กลับประเทศ