ปัญหาสิว นอกจากจะทำให้หลายคนเสียความมั่นใจแล้ว ตอนหายก็ยังทิ้งรอยไว้ให้ปวดใจด้วย โดยเฉพาะ สิวอุดตัน ที่ทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน อีกทั้งเมื่อบีบออกยังกลายเป็นหลุมลึกดูไม่น่ามอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สาว ๆ หลายคนมองหาวิธีรักษาสิวอุดตันให้หายขาด และไม่กลับมาเป็นอีก
เพื่อช่วยกู้คืนผิวหน้าของสาว ๆ ให้กลับมาใสปิ๊งอีกครั้ง กระปุกดอทคอมจึงได้นำความรู้เกี่ยวกับสิวอุดตัน พร้อมวิธีรักษาสิวที่ถูกต้อง หายเร็ว และเห็นผลมาฝากกันค่ะ
สิวอุดตัน เกิดจากอะไร
- สาเหตุ สิวอุดตัน เกิดจากการอุดตันของเซลล์เยื่อบุผิวหนังที่ตายแล้ว และไขมันที่มีการผลิตออกมามากเกินไปจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง โดยการอุดตันจะเกิดภายในรูขุมขนใต้ผิวหนัง
- เกิดจากฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ทำงานมากเกินไป ส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาจำนวนมาก และเกิดการอุดตันจนทำให้เกิดสิว
- เกิดจากภาวะผิวหนังมีน้ำมากเกินไปในช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ครีมที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังเสริมให้เกิดภาวะนี้ หรือภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น
- การรบกวนผิวหนังหรือรูขุมขนอย่างรุนแรงก็สามารถทำให้เกิดสิวอุดตันได้ เช่น การสครับผิวหน้าบ่อยจนเกินไป, การบีบสิว และลอกผิวหน้าเพื่อผลัดเซลล์ผิวเก่า เป็นต้น
- นอกจากการสูบบุหรี่จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการเกิดสิวอุดตันแล้ว ยังลดการหลั่งวิตามินอีที่ช่วยลดการเกิดสิวด้วย
ลักษณะของสิวอุดตัน
1. สิวหัวขาว หรือสิวอุดตันหัวปิด มีลักษณะตุ่มนูนสีขาวอยู่ภายใต้ผิวหนัง สามารถพัฒนาเป็นสิวหนองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้
2. สิวหัวดำ หรือสิวอุดตันหัวเปิด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีดำเล็ก ๆ มักจะพบบริเวณทีโซน คือ หน้าผาก จมูก และคาง สีดำของหัวสิวไม่ได้เกิดจากสิ่งสกปรก แต่เกิดจากรูขุมขนอุดตันเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และน้ำมันที่อยู่บนผิวหน้าของเราทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ จึงทำให้หัวสิวกลายเป็นสีดำนั่นเอง
3. ไมโครโคมีโดน (Microcomedones) เป็นสิวอุดตันขนาดเล็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
4. มาโครโคมีโดน (Macrocomedones) เป็นสิวหัวปิดที่มีขนาดมากกว่า 2-3 มิลลิเมตร
5. ไจแอนท์โคมีโดน (Giant Comedones) เป็นสิวอุดตันหัวเปิดขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายก้อนซีสต์ (Cyst) และมีหัวสิวสีดำ
สิวอุดตัน รักษายังไงให้หายเร็ว
- หยุดใช้โฟมล้างหน้า และสกินแคร์ทุกตัว ประมาณ 2-3 วัน เพื่อให้ผิวได้พัก และสังเกตอาการว่าเกิดจากการแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวไหนหรือไม่
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะจะยิ่งทำให้อุดตันผิว
- เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าด้วยน้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกและคราบน้ำมันที่อยู่บนผิวหน้า อีกทั้งยังช่วยลดการระคายเคืองได้อีกด้วย
- ทายาที่มีส่วนผสมของ Benzoyl peroxide ที่จะช่วยลดการอุดตัน พร้อมเปิดรูขุมขนให้สิวอุดตันหลุดออกง่ายขึ้น หรือสามารถกดหัวสิวออกเองได้
- ทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil) เป็นน้ำมันที่สกัดมาจากพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณในการขจัดสิวอย่างเห็นผล ใช้แต้มหรือทาบริเวณที่เป็นสิว หรือทาไปพร้อม ๆ กับครีมบำรุงผิวเลยก็ได้
- ห้ามบีบสิวเองโดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้เกิดรอยและหลุมสิวแล้ว ยังอาจทำให้เกิดการอักเสบตามมาด้วย
- หากอาการไม่ดีขึ้น หรือสิวอุดตันเห่อมากขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องโดยทันที
วิธีดูแลไม่ให้เป็นสิวอุดตัน
1. ล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้ง หลายคนคิดว่าการล้างหน้าบ่อยทำให้ผิวสะอาด แต่ในทางกลับกันอาจเป็นการรบกวนผิวทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง แห้งลอก และเป็นสิวตามมาในที่สุด
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าหรือเครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน อ่อนโยนต่อผิว และช่วยควบคุมความมันบนใบหน้า เพื่อป้องกันการเกิดสิวอุดตัน
3. ทำความสะอาดแปรงและฟองน้ำแต่งหน้าเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก โดยควรล้างสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้งานบ่อยแค่ไหน
4. เช็ดคราบเครื่องสำอางให้สะอาดทุกครั้งก่อนนอน โดยแนะนำให้เลือกใช้คลีนซิ่งที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมและแอลกอฮอล์ เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิวและเป็นสิวได้
5. ล้างทำความสะอาดใบหน้าทุกครั้งหลังออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่เสียเหงื่อมาก เพราะคราบเหงื่อและความมันถือเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
6. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า เพราะในแต่ละวันเราไม่มีทางรู้เลยว่ามือไปสัมผัสกับอะไรมาบ้าง ดังนั้น ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนนำมาสัมผัสใบหน้า
7. สำหรับใครที่ไว้ผมหน้าม้า หรือผมยาว ต้องระวังอย่าให้เส้นผมมาปกปิดใบหน้า เพราะความมันบนเส้นผมอาจทำให้เกิดสิวอุดตันได้
สาว ๆ คนไหนที่กำลังเจอกับปัญหาสิวอุดตันอยู่ในตอนนี้ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ เพราะสิวอุดตันสามารถหายได้ถ้ารักษาอย่างถูกวิธี บอกเลยแค่ทำตามที่แนะนำไปรับรองว่าผิวหน้าของคุณจะต้องเนียนใส หมดปัญหาสิวมากวนใจแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก : medicalnewstoday.com, verywellhealth.com, healthline.com, pobpad.com