
ทักษะชีวิต..วัคซีนป้องกันชีวิตลูก (momypedia)
โดย: มาลี
เวลามีข่าวคราวเด็กวัยรุ่นนักเรียนตีกัน ฆ่าตัวตาย ทำร้ายทำลายชีวิตตัวเองหรือผู้อื่นเพราะสาเหตุคับข้องใจ ผิดหวัง เศร้าโศกกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ หรือเพียงสถาบันไม่ถูกกัน
ความเห็นในเชิงจิตวิทยาบอกเราว่านั่นเป็นเพราะเด็กๆ ของเราไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่า ชีวิตของตนมีค่า และมีหนทางอื่นอีกมากมายที่จะแก้ไขคลายปมปัญหาชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่ได้โดยไม่ต้องทำร้าย ทำลายตัวเองหรือใคร ๆ
หรืออีกนัยหนึ่งคือเด็กขาด..ทักษะชีวิต
อะไรคือ..ทักษะชีวิต
องค์การอนามัยโลกบอกไว้ว่า..
: เป็นความสามารถของบุคคลด้านสังคมและจิตวิทยา คือความสามารถของบุคคลในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพกับความต้องการและสิ่งท้าทายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน สามารถที่จะรักษาสภาพจิตใจที่สมบูรณ์ รู้จักแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของวัฒนธรรมนั้น ๆ
ขณะที่ในคู่มือดูแลสุขภาพจิตเด็กวัยเรียน ของกรมสุขภาพจิตและสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติระบุไว้ว่า
: ความสามารถที่จะจัดการกับสภาพความกดดัน บีบคั้น หรือปัญหาที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว และสามารถที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวในอนาคต
ทำไม..ทักษะชีวิตจึงสำคัญ
หันไปมองเจ้าตัวเล็กซึ่งกำลังเล่นตุ๊กตาตัวโปรด หรือเล่นหุ่นยนต์กับเพื่อน ทักษะชีวิตดังว่าคุณ ๆ อาจรู้สึก..มันไกลเกินตัวลูกไปหน่อย...แต่หากคิดโดยไม่เอาเกณฑ์ของผู้ใหญ่มาวัดกับลูกน้อย เราจะพบว่าการไม่ได้อะไรอย่างใจ การต้องอดทนรอคอย การถูกเพื่อนแย่งของจากมือไป แค่นี้ก็ถือเป็นเรื่องบีบคั้นและกดดันสำหรับเด็ก ๆ แล้ว หรือการที่เล่นแล้วรู้จักเก็บของเล่นเข้าที่ รู้จักว่าเวลานี้ต้องทำอะไร หรือแม้แต่ถอดรองเท้าแล้วรู้จักเก็บวางในชั้นก็เป็นวินัยและความรับผิดชอบของเด็ก เป็นทักษะที่น่าชื่นชมแล้วไม่ใช่หรือ
อย่าลืมนะคะว่าทักษะทุกๆ เรื่องจะเริ่มต้นจากสิ่งง่าย ๆ ไปหาสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนเราจะวิ่งได้เร็ว รู้จักหลบหลีกหลุมและอุปสรรคระหว่างทางได้ เราล้วนผ่านการหัดลุกยืน ก้าว และเดินมาก่อนทั้งนั้น เช่นเดียวกัน ความรู้สึกที่ต้องอดทนรอให้เพื่อนเล่นของเล่นนี้เสร็จก่อนของเด็ก ย่อมเป็นฐานของความสามารถในการอดทนอดกลั้นกับความรู้สึกผิดหวังเจ็บปวดเมื่อสอบไม่ผ่าน พลาดหวังในรัก ฯลฯ ยามเมื่อเขาเติบโตขึ้น
ซึ่งหากเด็ก ๆ ได้มีโอกาสเริ่มต้นฝึกหัดจัดการกับภาวะบีบคั้นเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเขาด้วยตัวเขาเองอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นความคุ้นเคย ประสบการณ์เล็ก ๆ เหล่านี้ก็จะค่อยสะสมเกิดเป็นความรู้ วิธีคิด ทัศนคติและทักษะความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ของชีวิตในภายภาคหน้าได้ เมื่อมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดที่เกิดขึ้นกับชีวิตไม่ว่าจะหนักหนา ยิ่งใหญ่ก็สามารถหยิบทักษะนั้นขึ้นมาใช้ได้โดยอัตโนมัติ
เด็กยุคนี้..ต้องการทักษะชีวิตด้านใด
คุณหมออัมพล สูอำพัน อาจารย์หมอจากภาควิชาจิตเวชเด็ก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เน้นว่าพ่อแม่ยุคนี้ควรเลี้ยงดูลูกโดยปูพื้นฐานทักษะชีวิตเหล่านี้ให้กับลูกค่ะ


การฝึกวินัยจะทำให้เด็กได้รู้ว่าชีวิตจริงก็มีเรื่องคับข้องใจเกิดขึ้น และเขาต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเองและอดทนกับสถานการณ์นั้นๆ เป็นการเตรียมลูกให้พร้อมมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ
การจะฝึกวินัยให้ได้ผลต้องเริ่มต้นตั้งแต่เล็ก ๆ จากกฎเกณฑ์ในบ้าน เช่น การกิน นอนเป็นเวลา การเล่นแล้วเก็บ เป็นต้น ที่สำคัญคือความสม่ำเสมอ เด็กก็จะไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่จะรู้สึกว่านี่คือหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ และเมื่อได้เริ่มต้นรู้จักรับผิดชอบตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้จักรับผิดชอบผู้อื่น ถ้าสังเกตดีๆ เด็กที่พ่อแม่ปลูกฝังเรื่องวินัยมาดี จะมี EQ ที่ดีตามมา เพราะเขารู้จักควบคุมตัวเอง

นอกจากนี้ต้องฝึกให้รู้จักการตัดสินใจด้วยตัวเอง เช่น ให้มีส่วนในการตัดสินใจในกิจวัตรประจำวันของลูก ของครอบครัว เลือกว่าจะใส่เสื้อตัวไหน วันนี้หนูอยากกินอะไร จะทำอะไรก่อนดี เราจะไปเที่ยวที่ไหนกัน เป็นต้น


แต่ปัจจุบันเด็กเราขาดทักษะนี้ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมขาดคนพูดด้วย พ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่ดูแลใกล้ชิด สภาพสังคมที่มีทั้งเกม คอมพิเวเตอร์ที่เป็นการสื่อสารทางเดียว ทำให้เด็กขาดโอกาสพัฒนาทักษะการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การปลูกฝังเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือการเป็นแม่แบบภาษาผ่านการเลี้ยงดู พูดคุยกับลูกอย่างสม่อเสมอนั่นเอง

ในยุคสมัยของการบริโภคแบบนี้เรื่องนี้นับเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ เพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้การเย้ายวนของสื่อโฆษณาต่างๆ ที่มักทำให้เราเป็นคนไม่รู้จักพอ

สำหรับเด็ก ๆ สิ่งนี้เราเริ่มได้จากการที่ให้เขาได้รู้สึกว่าตัวเองทำได้ เด็กทุกคนมีความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองเป็นทุนอยู่แล้ว ถ้าเราจะสร้างสิ่งนี้ในใจลูกก็ต้องรักษาความอยาก ความกระตือรือร้นเหล่านี้ไว้อย่าให้หายไป พร้อมกันนั้นก็ต้องปลูกฝังความเป็นคนช่างสังเกตให้กับลูก เพราะเมื่อสังเกตก็เกิดความสนใจ เมื่อสนใจก็อยากค้นคว้า เมื่อค้นคว้าบ่อยเข้าก็กลายเป็นคนอยากรู้ อยากทำ เกิดเป็นความเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มมากขึ้น ๆ

ว่ากันจริง ๆ แล้วทักษะความสามารถในด้านนี้เทียบไม่ได้กับคุณลักษณะอื่น ๆ ที่กล่าวไปข้างต้น เพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่เตรียมทั้ง 7 ด้านให้ลูกเป็นมาอย่างดีแล้ว ทั้งหมดนั้นก็จะเป็นเครื่องมืออย่างดีที่จะนำพาลูกไปสู่การเรียน การทำงานที่ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพในอนาคตได้
พ่อแม่แบบนี้..สร้างทักษะชีวิตให้ลูก
การจะเลี้ยงดูลูกแบบที่ช่วยสร้างเสริม ทักษะชีวิต ให้ลูกได้นั้นจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมชาติ อยู่ในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญต้องคำนึงถึงพัฒนาการและความสามารถตามวัยของลูกเป็นหลัก
ให้เวลากับลูก ทั้งเวลาในการเลี้ยงดู ดูแลให้ความรัก ความอบอุ่น ให้เวลาเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ กับลูก เวลาเพื่อการเรียนรู้ลูกเพื่อนำไปสู่การกำหนดและปรับเปลี่ยนวิธีการในการเลี้ยงดูให้สอดคล้องเหมาะสมกับความเป็นตัวลูกมากที่สุด และสุดท้ายก็ต้องให้เวลาลูกสำหรับการเรียนรู้ ฝึกฝนสิ่งต่าง ๆ แบบที่ไม่เร่งรัด กดดันลูกจนเกิดเป็นความเครียด
ส่งเสริมให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตามวัย ความสามารถและพัฒนาการของลูกจะปรับเปลี่ยนพัฒนาขึ้นตามวัย ฉะนั้นการเลี้ยงดูของพ่อแม่ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามนั้นด้วย อย่างในช่วงวัย 0-3 ปี เป็นช่วงที่เด็กยังช่วยเหลือตัวเองได้น้อย พ่อแม่จึงยังคงต้องดูแลช่วยเหลือใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ลูกทำด้วยตัวเองบ้าง โดยคอยดูและให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการ
แต่เมื่อเข้าสู่วัย 3-6 ปี แล้วการเลี้ยงดูก็จะควรเปลี่ยนจากการถนอม ปกป้องมาให้อิสระ มีโอกาสได้พึ่งพาตัวเอง เรียนรู้ได้เองให้มากยิ่งขึ้น
ให้โอกาสลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง โดยมีคุณอยู่ข้าง ๆ คอยให้คำแนะนำ ช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการ ชื่นชมและให้กำลังใจ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ลูกเกิดการค้นพบ การเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง และที่สำคัญก็เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง โดยให้ลูกลองทำในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้


ให้ลูกมีโอกาสได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่างหลากหลายจากชีวิตประจำวันบ้างในโอกาสที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกได้รู้และได้สัมผัสว่าในโลกนี้ยังมีวิถีชีวิตอื่นๆ อีก





ให้ลูกมีโอกาสสัมผัส สัมพันธ์กับผู้อื่น และให้มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ บ้าง เพื่อเรียนรู้วิธีการสื่อสาร การปรับตัวและใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ พร้อมกันนั้นก็ให้ลูกได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น โดยเริ่มต้นจากในบ้านจากการช่วยเหลือพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนและครูที่โรงเรียน หรือกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ เช่น ชวนกันไปอ่านหนังสืออัดเทปให้คนตาบอด การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นต้น
ให้ลูกเรียนรู้จากเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ขนบธรรมเนียม วิถีปฏิบัติที่พ่อแม่ปฏิบัติ เพราะจะช่วยให้คุณสอนลูกได้อย่างเป็นธรรมชาติ เรียกว่าพาทำในทุก ๆ กิจกรรมประจำวันที่เราและลูกต้องทำ ซึ่งจะเกิดการเรียนรู้และซึมซับได้ดี เพราะเป็นสิ่งที่ลูกต้องเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่น คุณจะไปซื้อของก็ชวนลูกวางแผนการซื้อ ชวนสังเกตข้าวของในตลาด ลองให้ลูกซื้อของด้วยตัวเอง การสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญ เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ การแบ่งปันมีน้ำใจกับเพื่อนบ้าน เป็นต้น
พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบ คำพูดหรือจะสำคัญเท่าการกระทำ เด็ก ๆ จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็จากการกระทำของพ่อแม่มากกว่าคำสอน พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบให้ลูกตั้งแต่คำพูด การกระทำ และวิธีคิด ซึ่งประเด็นหลังนี้ถ้าไม่เราสื่อให้ลูกรู้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะผ่านเลยไปโดยที่ลูกไม่มีโอกาสได้เรียนรู้หลักและวิธีคิดจากเราเลย ซึ่งเราสามารถทำได้ด้วยการบอกเหตุผลที่คุณทำหรือไม่ทำสิ่งนั้น เช่น เด็กคนนี้น่าสงสารจัง เดี๋ยวเราช่วยซื้อขนมเขาหน่อยดีกว่านะ หรือ เดี๋ยวก่อนเราจะไปห้างเรามาช่วยกันดูซิว่าเราต้องซื้ออะไรกันบ้าง เป็นต้น
เรื่องราวผู้หญิง ความสวยงาม แฟชั่น ความรัก มากมาย คลิกเลย
คลิกอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆ ได้ที่นี่ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
