ปอนด์ รุ่งรัตน์ เปิดใจสาเหตุประกาศขายที่ดิน สมบัติชิ้นสุดท้าย เคลียร์หนี้สินที่เอาไปจำนองไว้ 5-6 ล้าน แต่มีลูกหนี้ที่ติดเงินตัวเองไว้ 30 ล้าน บางรายติดไว้เป็น 10 ปี ทำเอาหลายคนเห็นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ สำหรับดารารุ่นใหญ่ ปอนด์ รุ่งรัตน์ ที่มีข่าวประกาศขายที่ดิน เป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย เพื่อเคลียร์หนี้สิน หลังก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ปีก่อน เคยประกาศขายบ้านไป ล่าสุด (14 มกราคม 2568) ไนน์เอ็นเตอร์เทน ได้เผยคลิปสัมภาษณ์ ปอนด์ รุ่งรัตน์ แบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเจ้าตัวเผยว่า เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เคยประกาศขายบ้าน คือตั้งใจขายหลังนั้น เพื่อไปปลูกบ้านใหม่ตรงที่ดินที่เราซื้อไว้ แต่พอดีมีเหตุบางอย่าง ทำให้ต้องเอาที่ดินที่จะปลูกบ้านไปจำนองไว้ ตอนนี้ก็เลยต้องนำที่ดินผืนนั้นซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายมาประกาศขายอีกครั้ง - สาเหตุที่ตัดสินใจขายนั้น ปอนด์ รุ่งรัตน์ เผยว่า ที่ดินนั้น เป็นบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่แนะนำบอกต่อกันไป มาช่วยซัพพอร์ตตนเอง แต่พอระยะเวลาที่มันเกินกำหนด ตอนแรกบอกว่าอาจจะไม่นานมาก ไม่ถึงเดือน หรือเดือนนึง แต่มันเลยมาประมาณ 2 ปีแล้ว ก็รู้สึกว่าเกรงใจผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจำนอง เขาซัพพอร์ตมาเยอะ ก็เกรงใจ รู้สึกไม่อยากแบกอันนี้ ก็อยากให้มันจบตั้งแต่ปีที่แล้ว - พอเริ่มต้นใหม่กับปีใหม่ เลยรู้สึกว่าสละดีกว่า มันไม่ใช่ของเราแล้ว ก็คิดว่าขายแล้วเอาตรงนี้ไปเคลียร์หนี้สินต่าง ๆ ถ้ามันจะมีเหลือบ้างหรือไม่เหลือเลย อย่างน้อยก็ได้เคลียร์ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขาช่วยเหลือ ให้เขาสบายใจ ไม่ต้องมาแบกร่วมกันในภาระของตน อยากให้มันหมดไปเลย แล้วปีนี้ก็อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มจากศูนย์ก็ได้ ไม่เป็นไร - ยอมรับว่าเสียดายมาก เนื่องจากครอบครัวตนมีกันอยู่ 4 คน มีแม่ ตน และพี่ชายอีก 2 ทุกคนก็ป่วยกันหมด อายุเยอะกันแล้ว ไม่มีใครมีครอบครัว ที่ดินผืนนี้ซื้อไว้ตั้งใจจะปลูกบ้านชั้นเดียวแบบง่าย ๆ เพื่อให้สะดวกกับชีวิต แยกกันอยู่คนละมุม พื้นที่มันพอดีกับที่วางแผนไว้ อยู่ใกล้โรงพยาบาลด้วย รู้สึกรักที่ผืนนี้มากเพราะมันตอบโจทย์หมดเลย แต่ถ้าต้องเป็นอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร เสียดายมากแต่ก็ต้องเข้าใจในความเป็นจริง - หนี้สินของตนเองมีประมาณ 5-6 ล้าน แต่ตนเองมีลูกหนี้ที่ติดไว้ประมาณเกือบ 30 ล้าน คือคนที่เป็นหนี้ตน แล้วทำให้ตนต้องเอาเงินที่ขายบ้านได้ และตั้งใจจะเอาไปสร้างบ้าน คือเงินสดตรงนั้นก็ไม่มี ที่ที่จำนองไว้ก็ไม่มี รวมแล้วมันก็ไม่ถึง 10 ล้าน ที่ดินจำนองไปประมาณ 5 ล้าน ดอกเบี้ยก็น่าจะเกินกว่านั้น แต่มันมีส่วนที่คนอื่น ๆ เป็นหนี้ตนเอง 5 ล้านบ้าง 10 ล้านบ้าง 1 ล้าน 5 แสนบ้าง รวมแล้วน่าจะเกือบ ๆ 30 ล้าน แต่ไม่ได้ทวง คือยังไม่ได้เงินกลับมา - ลูกหนี้ของเราก็มีที่ติดไว้นานแล้ว บางรายก็เป็น 10 ปี บางรายก็ไม่นาน 3-4 ปี ก็ไม่เคยทวงเลย บางรายเราก็เหมือนผูกพันกันมา 30 กว่าปี แล้วก็เราก็เห็นวิถีชีวิตเขา ก็ไม่ได้สบายเขาก็เหมือนกับเขาก็กำลังสู้อยู่ เราก็ให้กำลังใจเขา แต่พอระยะเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้ เราติดต่อเขาไม่ได้ คือหายไป บางรายติดต่อได้แต่เขายังลำบากอยู่ เราก็อวยพอให้เขาเจริญ เชื่อว่าถ้าเขามีเดี๋ยวเขาคงให้ เลยไม่ได้ทวง แค่มีการพูดคุยกัน - แต่มีลูกหนี้บางรายที่ตนพยายามคุย แล้วเขาเหมือนปิดทุกอย่างหายไป ก็รู้สึกไม่ค่อยดี จริง ๆ แล้วไม่ต้องหายไป เราอาจจะร่วมมือกันทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้นมาได้ แล้วต่างคนก็ได้มาใช้หนี้กัน จะได้หมดกันไปในชาตินี้ แต่เขาก็หลบไป ตนก็ไม่อยากตาม ที่ผ่านมาเป็นอย่างนั้นมาทั้งชีวิต ก็ไม่เข็ด เพื่อน ๆ ที่รักกันก็เตือน - สุดท้ายคนเข้ามาหาเรา เขาพูดอีกอย่างนึง พอได้ไปก็จะพูดอีกอย่าง บอกไม่เคยเป็นหนี้เรา แต่ไม่เป็นไร ตนก็เชื่อเรื่องเวรกรรม แม้วันนี้ตนลำบากแต่ก็ยังมีที่นอน มีกิน ยังมีชีวิตที่ดี แต่ถ้าหันกลับไปมองพวกเขาอาจจะลำบากกว่าตนก็ได้ - เรื่องเศร้าที่สุดก็คือเราเอาชะตากรรมของครอบครัวเราที่เราสร้างความมั่นคงให้เขาไปแล้ว เอามาร่วมด้วยกับความเอื้อเฟื้อของเรา เรื่องดำเนินคดีกับลูกหนี้ เคยให้คนไปติดตาม แต่าสุดท้ายเราก็ใจอ่อนเอง การไปติดตามรู้สึกแปลกมาก เราคุยกันดี ๆ ก็ได้ แต่ทุกครั้งเวลาไปทวงหรืออะไร ลูกหนี้มักมีอารมณ์ เป็นข้ออ้างที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เลยเกิดการปะทะ ตนเลยไม่ชอบวิธีนี้ ขอเบรก ปล่อยให้เป็นไปตามเวลา ถ้าเวลาไหนสามารถมีจังหวะที่ดีได้ เขาอาจจะกลับมาคุยกับเราดี ๆ ก็ค่อยว่ากัน - เรื่องหลักฐานสัญญาการกู้ยืม คือไม่มี มีแบบซื้อสินทรัพย์ของตนไปก็มี ยืมไปเรื่องธุรกิจก็มี จึงไม่ได้เป็นการกู้ยืม ตนไม่ได้ปล่อยกู้ เหมือนลำบากแล้วยืมกันไปประมาณนั้นมากกว่า คือวันที่ตนลำบากตนก็ไม่ได้ทวง แต่วันนี้ตนลำบาก ตนก็สู้ไป แต่อย่าเอานิสัยที่โพสต์ตามโซเชียลว่าลูกหนี้เจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ไหม เรามีความผูกพันที่ดีต่อกัน แค่มาคุยกัน ตนไม่คิดจะเอาเรื่องเอาราวอะไร แค่มาคุยกันดี ๆ หาทางออกกันดี ๆ อาจจะมีคอนเน็กชั่นอะไร ที่สนับสนุนกันให้ไปต่อได้ - หลังจากประกาศขายที่ดินไปก็มีหลายคนติดต่อมาเยอะ รู้สึกอบอุ่นที่น้อง ๆ พี่ ๆ สื่อเข้ามาแชร์ ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนการพูดคุย มีขอไปดูที่ดิน แต่ยังไม่ได้มีการวางมัดจำอะไร หลังจากขายได้ก็คิดว่าจะกลับไปใช้ชีวิตต่างจังหวัดกับครอบครัว แต่ตนยังคงต้องทำงานในกรุงเทพฯ อยู่ ก็อาจจะต้องคิดอีกทีว่าจะจัดการตัวเองยังไง
แสดงความคิดเห็น