ไฮยาลูรอน คืออะไร มีคุณสมบัติอะไรบ้าง ช่วยจัดการกับริ้วรอยได้จริงหรือ ? วันนี้เราจะมาหาคำตอบ พร้อมทำความรู้จักไฮยาลูรอนให้มากขึ้นกัน
ทุกวันนี้สาว ๆ อาจจะพอคุ้นหูกับคำว่า “ไฮยาลูรอน” กันมาบ้าง โดยเฉพาะในแวดวงความงาม เพราะเป็นหนึ่งในเคล็ดลับผิวสวยที่ใคร ๆ ต่างก็พูดถึง แต่อย่างนั้นหลายคนก็ยังทำคิ้วขมวด เพราะถึงจะเคยได้ยินบ่อย ๆ ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ไฮยาลูรอน คืออะไรกันแน่ ?
สำหรับ ไฮยาลูรอน นับว่าเป็นเทรนด์ที่มาแรงในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่แพ้คอลลาเจน แม้จะเป็นสารสังเคราะห์ที่ใช้กันมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องมาโดยตลอด ด้วยคุณสมบัติที่สามารถชะลอวัยได้ชะงัด ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย ทำให้ผิวดูนุ่มเด้ง เต่งตึง เนียนใสได้อย่างมหัศจรรย์ แต่เอ๊ะ... แล้วมันช่วยได้จริงหรือ ? วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบมาฝากสาว ๆ แล้วค่ะ
ไฮยาลูรอน คืออะไร
“ไฮยาลูโรนิค แอซิด” (Hyaluronic Acid : HA) หรือไฮยาลูรอน เป็นกรดที่ร่างกายของเราสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของน้ำไขข้อ หล่อเลี้ยงข้อต่อ น้ำเลี้ยงลูกตา น้ำหล่อลื่นบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งลดการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่นของอวัยวะและเซลล์อีกด้วย
นอกจากด้านความงามแล้ว กรดไฮยาลูโรนิคยังช่วยรักษาน้ำหล่อเลี้ยงตามข้อ ช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บ และช่วยสมานแผลให้หายไวขึ้นอีกด้วย
วิวัฒนาการของไฮยาลูรอน
เมื่ออายุล่วงเลยถึง 30 ปีเป็นต้นไป ร่างกายของเราจะผลิตกรดไฮยาลูโรนิคลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยทางสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเสื่อมสภาพและลดการผลิตสารนี้ลงรวดเร็วกว่าเดิม เช่น การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความร้อน แสงแดด และรังสียูวี เป็นต้น
สิ่งที่ตามมาเมื่อกรดไฮยาลูโรนิคและคอลลาเจนในชั้นผิวของเราลดลงก็คือ ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งเหี่ยว ขาดความยืดหยุ่น จึงเกิดความหย่อนคล้อย ริ้วรอย และร่องลึกตามบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า เรียกว่าความแก่ชราจะปรากฏชัดขึ้นเลยล่ะค่ะ
ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้คิดค้น “กรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์” ขึ้น เพื่อนำมาทดแทนกรดไฮยาลูโรนิคที่ร่างกายสร้าง ซึ่งเป็นสารที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเชื้อในห้องปฏิบัติการ โดยใช้โปรตีนจากนกเป็นอาหาร ทำให้ได้สารไฮยาลูโรนิคที่มีสภาพใกล้เคียงกับกรดที่อยู่ในร่างกายมนุษย์มากที่สุด มีลักษณะข้นหนืด ละลายน้ำได้ดี แต่ก็อุ้มน้ำได้ดีมากเช่นกัน
เริ่มแรกนั้นสารดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นยาประเภทฉีด เพื่อบำบัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่ หรือลดอาการปวดข้อได้ผลชะงัด ต่อมาได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียม ช่วยหล่อลื่นลูกตา และนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเวชสำอางอย่างเช่นในปัจจุบัน
ไฮยาลูรอน กับการจัดการริ้วรอย
คุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่ากรดไฮยาลูโรนิคมีบทบาทในการจัดการริ้วรอยได้จริง ปัจจุบันจึงมีการนำกรดไฮยาลูโรนิคมาใช้ในด้านความงามกันอย่างแพร่หลาย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบชัด ๆ ดังนี้
1. การนำมาเป็นส่วนผสมหลักของครีมบำรุง เซรั่ม
ทุกวันนี้มีการนำเข้ากรดไฮยาลูโรนิคจากหลายแหล่ง ทั้งญี่ปุ่น จีน อเมริกา และยุโรป ซึ่งจะมีวิธีการสังเคราะห์และคุณภาพแตกต่างกันไป ราคาก็ต่างกันไปด้วย ฉะนั้นก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จึงควรพิจารณาให้ดี เพื่อที่จะเลือกใช้ได้ตรงตามความต้องการ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ไฮยาลูรอนจำนวนมากให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ แบรนด์สกินแคร์ต่าง ๆ จึงทำการค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อหานวัตกรรมหรือนำเสนอไฮยาลูรอนรูปแบบใหม่ ๆ มาเป็นทางเลือกให้สาว ๆ วันนี้เราจะมาพูดถึง Jelly Lock Technology นวัตกรรมเอกสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ Eucerin ที่อยู่ใน “Eucerin Hyaluron Filler First Serum” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ไฮยาเจลลี่ (Hya Jelly)
เพราะอะไรเราจึงแนะนำ ? : เพราะยูเซอริน เป็นแบรนด์แรกๆ ที่นำไฮยาลูรอนเข้ามาสู่ตลาด จึงมั่นใจในความเชี่ยวชาญของแบรนด์ได้
ความพิเศษของตัวผลิตภัณฑ์ : เป็นพรีเซรั่มเนื้อเจลลี่ที่เมื่อทาลงบนผิวแล้วจะทำให้ตัวเซรั่มซึมซาบไวขึ้น ไม่ทำให้รู้สึกหนักผิวหรือเหนียวเหนอะหนะ เหมาะมากสำหรับการใช้เป็นขั้นตอนแรก เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น พรีเซรั่มขวดนี้ยังมาพร้อมไฮยาลูรอนที่เข้มข้นขึ้นถึง 3 เท่า ช่วยเติมเต็มผิวอย่างล้ำลึก และล็อกกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้นานถึง 24 ชั่วโมง ที่สำคัญยังช่วยชะลอริ้วรอยตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ผิวอิ่มฟูแน่นเด้ง คงความกระชับ แลดูอ่อนวัยได้อีกด้วย
2. การเติมเข้าสู่ผิวโดยตรง ด้วยการฉีดฟิลเลอร์
วิธีนี้แพทย์จะใช้กรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์ฉีดเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หรือใช้ปรับเปลี่ยนโครงหน้า เช่น เติมคาง เติมโหนกแก้มให้มีมิติ เพื่อให้ผิวอิ่มฟูขึ้น ซึ่งสารดังกล่าวสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ 1 ครั้ง สารเติมเต็มจะอยู่ใต้ชั้นผิวหนังได้นานประมาณ 6 เดือน แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อาจทำให้สารอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
ประโยชน์อื่นๆ ของไฮยาลูรอน
- ช่วยแก้ปัญหาผิวขาดความสมดุล ผิวแห้งลอก เป็นขุย ด้วยคุณสมบัติอุ้มและกักเก็บน้ำไว้ที่ผิวได้อย่างดีเยี่ยม
- บำรุงให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีความตึงกระชับ และปกป้องผิวจากการระคายเคือง
- ลดการอักเสบของผิว ซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลาย เร่งกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ที่มีผลต่อการหายของแผล รวมถึงช่วยรักษาแผลในปากได้
- เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรผิว (Filler) ได้อย่างยอดเยี่ยม
- ใช้ฉีดเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า ซึ่งสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
- ช่วยในการรักษาต้อกระจก บรรเทาอาการตาแห้ง
- บรรเทาอาการปวดข้อจากข้อเสื่อม และช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
ผลข้างเคียงและความปลอดภัยของไฮยาลูรอน
กรดไฮยาลูรอนจัดว่าค่อนข้างปลอดภัย เมื่อใช้ทาบนผิวหนังหรือฉีดเข้าร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม หากเป็นครีมบำรุงผิว ควรเลือกใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นของกรดไฮยาลูโรนิคต่ำกว่า 2% เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง
ส่วนการรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงกับบุคคลบางกลุ่ม จึงควรระมัดระวังในการใช้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะยังไม่มีการศึกษาอย่างละเอียด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย คุณแม่ควรงดใช้กรดชนิดนี้ไปก่อนจึงจะดีที่สุด
ทราบกันไปแล้วว่าไฮยาลูรอนเป็นทางลัดที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวของเราได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สาว ๆ ไม่ควรละเลยนั่นคือการดูแลตัวเอง ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ใช้ครีมกันแดด หลีกเลี่ยงความเครียด และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยลดการเสื่อมสภาพของผิวอีกทางหนึ่ง แค่นี้ก็จะช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวสาวเปล่งประกายอีกครั้งได้แล้วล่ะ
สำหรับ ไฮยาลูรอน นับว่าเป็นเทรนด์ที่มาแรงในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่แพ้คอลลาเจน แม้จะเป็นสารสังเคราะห์ที่ใช้กันมานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องมาโดยตลอด ด้วยคุณสมบัติที่สามารถชะลอวัยได้ชะงัด ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดริ้วรอย ทำให้ผิวดูนุ่มเด้ง เต่งตึง เนียนใสได้อย่างมหัศจรรย์ แต่เอ๊ะ... แล้วมันช่วยได้จริงหรือ ? วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบมาฝากสาว ๆ แล้วค่ะ
ไฮยาลูรอน คืออะไร
“ไฮยาลูโรนิค แอซิด” (Hyaluronic Acid : HA) หรือไฮยาลูรอน เป็นกรดที่ร่างกายของเราสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของน้ำไขข้อ หล่อเลี้ยงข้อต่อ น้ำเลี้ยงลูกตา น้ำหล่อลื่นบริเวณส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งลดการเสียดสีและเพิ่มความยืดหยุ่นของอวัยวะและเซลล์อีกด้วย
ต้นกำเนิดของกรดไฮยาลูโรนิคจะถูกสร้างขึ้นบริเวณผิวชั้นล่าง (Dermis) และบริเวณผิวหนังชั้นบน (Epidermis) โดยจะกระจายตัวอยู่ทั่วไป เมื่อกรดนี้ทำงานเชื่อมต่อระหว่างชั้นผิว โปรตีนคอลลาเจน และอีลาสติน ก็จะกลายเป็นพระเอกที่มาช่วยสร้างความเปล่งปลั่งสดใสให้กับผิวของเรา โดยมีบทบาทสำคัญคือ ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยไม่เพิ่มความมัน ส่งผลให้ผิวมีความอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่น ดูมีน้ำมีนวล เรียบเนียน ไม่แห้งกร้าน อีกทั้งชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรได้เป็นอย่างดี
เมื่ออายุล่วงเลยถึง 30 ปีเป็นต้นไป ร่างกายของเราจะผลิตกรดไฮยาลูโรนิคลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีปัจจัยทางสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก ที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการเสื่อมสภาพและลดการผลิตสารนี้ลงรวดเร็วกว่าเดิม เช่น การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความร้อน แสงแดด และรังสียูวี เป็นต้น
สิ่งที่ตามมาเมื่อกรดไฮยาลูโรนิคและคอลลาเจนในชั้นผิวของเราลดลงก็คือ ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งเหี่ยว ขาดความยืดหยุ่น จึงเกิดความหย่อนคล้อย ริ้วรอย และร่องลึกตามบริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า เรียกว่าความแก่ชราจะปรากฏชัดขึ้นเลยล่ะค่ะ
ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้คิดค้น “กรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์” ขึ้น เพื่อนำมาทดแทนกรดไฮยาลูโรนิคที่ร่างกายสร้าง ซึ่งเป็นสารที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเชื้อในห้องปฏิบัติการ โดยใช้โปรตีนจากนกเป็นอาหาร ทำให้ได้สารไฮยาลูโรนิคที่มีสภาพใกล้เคียงกับกรดที่อยู่ในร่างกายมนุษย์มากที่สุด มีลักษณะข้นหนืด ละลายน้ำได้ดี แต่ก็อุ้มน้ำได้ดีมากเช่นกัน
เริ่มแรกนั้นสารดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นยาประเภทฉีด เพื่อบำบัดรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ภาวะอักเสบรอบข้อไหล่ หรือลดอาการปวดข้อได้ผลชะงัด ต่อมาได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียม ช่วยหล่อลื่นลูกตา และนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเวชสำอางอย่างเช่นในปัจจุบัน
คุณสมบัติทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่ากรดไฮยาลูโรนิคมีบทบาทในการจัดการริ้วรอยได้จริง ปัจจุบันจึงมีการนำกรดไฮยาลูโรนิคมาใช้ในด้านความงามกันอย่างแพร่หลาย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบชัด ๆ ดังนี้
1. การนำมาเป็นส่วนผสมหลักของครีมบำรุง เซรั่ม
ทุกวันนี้มีการนำเข้ากรดไฮยาลูโรนิคจากหลายแหล่ง ทั้งญี่ปุ่น จีน อเมริกา และยุโรป ซึ่งจะมีวิธีการสังเคราะห์และคุณภาพแตกต่างกันไป ราคาก็ต่างกันไปด้วย ฉะนั้นก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จึงควรพิจารณาให้ดี เพื่อที่จะเลือกใช้ได้ตรงตามความต้องการ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ไฮยาลูรอนจำนวนมากให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ แบรนด์สกินแคร์ต่าง ๆ จึงทำการค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อหานวัตกรรมหรือนำเสนอไฮยาลูรอนรูปแบบใหม่ ๆ มาเป็นทางเลือกให้สาว ๆ วันนี้เราจะมาพูดถึง Jelly Lock Technology นวัตกรรมเอกสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ Eucerin ที่อยู่ใน “Eucerin Hyaluron Filler First Serum” หรือเรียกสั้นๆ ว่า ไฮยาเจลลี่ (Hya Jelly)
เพราะอะไรเราจึงแนะนำ ? : เพราะยูเซอริน เป็นแบรนด์แรกๆ ที่นำไฮยาลูรอนเข้ามาสู่ตลาด จึงมั่นใจในความเชี่ยวชาญของแบรนด์ได้
ความพิเศษของตัวผลิตภัณฑ์ : เป็นพรีเซรั่มเนื้อเจลลี่ที่เมื่อทาลงบนผิวแล้วจะทำให้ตัวเซรั่มซึมซาบไวขึ้น ไม่ทำให้รู้สึกหนักผิวหรือเหนียวเหนอะหนะ เหมาะมากสำหรับการใช้เป็นขั้นตอนแรก เพื่อเตรียมผิวให้พร้อมรับการบำรุงอย่างเต็มที่ นอกจากนั้น พรีเซรั่มขวดนี้ยังมาพร้อมไฮยาลูรอนที่เข้มข้นขึ้นถึง 3 เท่า ช่วยเติมเต็มผิวอย่างล้ำลึก และล็อกกักเก็บความชุ่มชื้นในชั้นผิวได้นานถึง 24 ชั่วโมง ที่สำคัญยังช่วยชะลอริ้วรอยตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ผิวอิ่มฟูแน่นเด้ง คงความกระชับ แลดูอ่อนวัยได้อีกด้วย
2. การเติมเข้าสู่ผิวโดยตรง ด้วยการฉีดฟิลเลอร์
วิธีนี้แพทย์จะใช้กรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์ฉีดเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม หรือใช้ปรับเปลี่ยนโครงหน้า เช่น เติมคาง เติมโหนกแก้มให้มีมิติ เพื่อให้ผิวอิ่มฟูขึ้น ซึ่งสารดังกล่าวสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ 1 ครั้ง สารเติมเต็มจะอยู่ใต้ชั้นผิวหนังได้นานประมาณ 6 เดือน แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อาจทำให้สารอยู่ได้นานถึง 12 เดือน
- ช่วยแก้ปัญหาผิวขาดความสมดุล ผิวแห้งลอก เป็นขุย ด้วยคุณสมบัติอุ้มและกักเก็บน้ำไว้ที่ผิวได้อย่างดีเยี่ยม
- บำรุงให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง มีความตึงกระชับ และปกป้องผิวจากการระคายเคือง
- ลดการอักเสบของผิว ซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลาย เร่งกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ที่มีผลต่อการหายของแผล รวมถึงช่วยรักษาแผลในปากได้
- เป็นสารเติมเต็มผิวที่มีความบริสุทธิ์สูง สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรผิว (Filler) ได้อย่างยอดเยี่ยม
- ใช้ฉีดเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า ซึ่งสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ
- ช่วยในการรักษาต้อกระจก บรรเทาอาการตาแห้ง
- บรรเทาอาการปวดข้อจากข้อเสื่อม และช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
กรดไฮยาลูรอนจัดว่าค่อนข้างปลอดภัย เมื่อใช้ทาบนผิวหนังหรือฉีดเข้าร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม หากเป็นครีมบำรุงผิว ควรเลือกใช้ชนิดที่มีความเข้มข้นของกรดไฮยาลูโรนิคต่ำกว่า 2% เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบาง
ส่วนการรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของกรดไฮยาลูรอน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงกับบุคคลบางกลุ่ม จึงควรระมัดระวังในการใช้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร เพราะยังไม่มีการศึกษาอย่างละเอียด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย คุณแม่ควรงดใช้กรดชนิดนี้ไปก่อนจึงจะดีที่สุด
ทราบกันไปแล้วว่าไฮยาลูรอนเป็นทางลัดที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิวของเราได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สาว ๆ ไม่ควรละเลยนั่นคือการดูแลตัวเอง ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ใช้ครีมกันแดด หลีกเลี่ยงความเครียด และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อช่วยลดการเสื่อมสภาพของผิวอีกทางหนึ่ง แค่นี้ก็จะช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้ผิวสาวเปล่งประกายอีกครั้งได้แล้วล่ะ