วิธีลดสิวผด ทำอย่างไรดี สำหรับใครที่เจอปัญหาสิวผดที่หน้าผาก สิวผดที่แก้ม ไม่ต้องกลุ้มใจอีกต่อไป เพราะเรามีเคล็ดลับรักษาสิวผด วิธีลดสิวผดแบบธรรมชาติและแบบเร่งด่วนมาบอก
เคยสังเกตไหมว่าวันไหนที่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อน ๆ ปัญหาผิวที่มักจะตามมาก็คือ
สิวผดเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นถี่ยิบ แถมบางครั้งยังมีอาการคันระคายเคืองร่วมด้วย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและแก้ม ถือเป็นแหล่งรวมสิวผด สิวอุดตันตัวดี ถึงแม้จะเป็นสิวเม็ดจิ๋ว ๆ ไม่อักเสบเป็นหัวหนอง แต่มักจะขึ้นบ่อยจนน่ารำคาญ หากใครที่อยากจะหา
วิธีลดสิวผดกวนใจ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปรู้จักสาเหตุการเกิดสิวผด พร้อม
วิธีรักษาสิวผดทั้งแบบธรรมชาติและเร่งด่วนกัน
สิวผดเกิดจากอะไร
สิวผด (Acne Estivalis, Mallorca acne) หรืออาจเรียกว่า “สิวเทียม” หรือ “สิวหิน” เป็นสิวประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายตุ่มเม็ดผดผื่นเล็ก ๆ ใส ๆ มักจะเกิดขึ้นบ่อยในช่วงอากาศร้อน ตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงบ่าย โดยจะปรากฏเป็นเม็ดเล็ก ๆ บนใบหน้า เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- การอุดตันของต่อมเหงื่อที่ผิวหนัง จนกลายเป็นตุ่มขนาดเล็ก
- การสัมผัสกับความร้อนเป็นเวลานาน เช่น โดนแสงแดด อยู่ในบริเวณที่มีอากาศร้อน ใช้น้ำอุ่นล้างหน้าบ่อยครั้ง
- เกิดการระคายเคืองบนผิวหนัง เช่น การแพ้ครีมบำรุงผิว เครื่องสำอาง มลภาวะต่าง ๆ ทั้งทางน้ำและทางอากาศ
- เชื้อรา P. Ovale ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับผิวบริเวณต่อมไขมันบนผิวหน้าจนเกิดเป็นสิวผดขึ้นมา
- การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด หรือกินอาหารที่มีสารอาหารไม่ครบถ้วน ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวผดได้เช่นกัน
บริเวณที่มักเกิดสิวผด มีตรงไหนบ้าง
บริเวณที่สิวผดมักจะขึ้นคือบนใบหน้า แต่นอกจากนั้นแล้วผิวหนังบริเวณอื่นก็สามารถเป็นสิวผดได้เช่นกัน เรามาดูกันว่าสิวผดมักปรากฏในบริเวณใดได้บ้าง
- สิวผดที่หน้าผาก เป็นบริเวณที่คราบเหงื่อไหลลงมาโดนบริเวณหน้าผาก ทำให้ผดขึ้นได้ รวมถึงใครที่มีผมหน้าม้า หากไม่สระผมอย่างสม่ำเสมออาจทำให้สิวผดขึ้นได้ง่ายเช่นกัน
- สิวผดที่แก้ม เป็นบริเวณถัดมาที่พบสิวผดมาก ยิ่งในปัจจุบันที่ใส่แมสก์กันเป็นประจำ จึงอาจพบสิวที่เกิดจากแมสก์ได้
- สิวผดที่คอ ไหล่ เพราะเป็นอีกหนึ่งบริเวณที่มีเหงื่อมาก ทำให้เกิดสิวผดได้ไม่แพ้ใบหน้า
- สิวผดที่หลัง เป็นบริเวณที่อับชื้นจากเหงื่อและมีการเสียดสีจากเสื้อผ้าบ่อย ๆ
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง
การลดสิวผดเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง เช่น หลีกเลี่ยงการสัมผัส แคะ แกะ เกาใบหน้า เพราะมือของเราอาจไม่สะอาดเพียงพอ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดสิวผดหรือสิวอื่น ๆ ได้ นอกจากนั้นควรกินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 1.5-2 ลิตร เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น-ความสมดุลให้กับผิว และควรพักผ่อนให้เพียงพอด้วย
2. หลีกเลี่ยงแสงแดด
แสงแดดและความร้อนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดสิวผด ทั้งสิวผดที่หน้าผากและสิวผดที่แก้ม ดังนั้นหากอยากลดสิวผดเบื้องต้นคือพยายามไม่ไปอยู่ในที่ที่อากาศร้อนจัด หากจำเป็นต้องออกไปสัมผัสกับแสงแดดจริง ๆ ควรใช้ครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว ความมันน้อย ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน และมีค่าการปกป้องแสงแดดสูง เช่น SPF 30 PA+++ อีกทั้งถ้าเหงื่อออกมาก ให้ใช้ผ้าสะอาดซับเหงื่อเบา ๆ ไม่ควรเช็ดหน้าแรงเกินไป เพื่อลดการรบกวนผิว
3. ล้างหน้าให้ถูกวิธี
ควรล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแทนน้ำอุ่นเพียงวันละ 2 ครั้ง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสมกับผิว ไม่มีส่วนผสมที่อาจทำให้ก่อความระคายเคืองอย่างน้ำหอม แอลกอฮอล์ เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรก ความมันบนใบหน้า และแบคทีเรีย รวมถึงช่วยทำให้ผิวแข็งแรงมากขึ้นได้ สุดท้ายใช้ผ้าขนหนูสะอาดมาซับเบา ๆ จนแห้งสนิท เป็นการลดโอกาสเกิดสิวผดบริเวณหน้าผาก แก้ม คาง ที่ดีที่สุด
4. งดใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคือง
การใช้ครีมหรือยาบางชนิดอาจทำให้ผิวหน้าระคายเคืองและเกิดสิวผดได้ง่าย อย่างยาแต้มสิวกลุ่ม Retinoic acid, Benzoyl Peroxide, AHA, BHA ซึ่งมีส่วนผสมในการผลัดเซลล์ผิวและทำให้ผิวแห้ง จึงมีความรุนแรงต่อสภาพผิวของแต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าเกิดสิวผดขึ้นมาระหว่างการใช้จึงควรงดไปก่อน รวมถึงควรหาข้อมูลก่อนใช้หรือปรึกษาเภสัชกรถึงผลข้างเคียงของการใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ด้วย
5. เช็ดหน้าด้วยน้ำมะนาว
วัตถุดิบในห้องครัวอย่างมะนาว ถือเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์รักษาสิวผดได้ โดยสามารถนำมะนาวสด ๆ มาคั้นน้ำ ผสมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย เพื่อไม่ให้น้ำมะนาวเข้มข้นเกินไปจนแสบหน้า จากนั้นนำสำลีชุบน้ำมะนาวที่เตรียมไว้มาเช็ดบริเวณที่เป็นสิวผด ทิ้งไว้ 10-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละครั้ง ก็จะช่วยให้ใบหน้าห่างไกลสิวผดได้แล้ว
6. พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ
หากรู้สึกว่ามะนาวมีกรดที่รุนแรงต่อผิวมากไป ลองเปลี่ยนมาเป็นมะเขือเทศดูสิคะ เพราะมีทั้งไลโคปีน แคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน วิตามินต่าง ๆ ที่ดีต่อผิว และยังสามารถลดสิวผดได้ดีอีกด้วย เพียงนำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาพอกไว้บนใบหน้า ทิ้งไว้ 30-60 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น และสิวผดจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
7. ดีท็อกซ์ผิวด้วยไข่ขาว
ทุกบ้านต้องมีไข่ติดตู้เย็นไว้แน่นอน ซึ่งไข่ขาวนี่แหละสามารถกำจัดสิวผดได้อย่างไม่น่าเชื่อ เริ่มแรกเลยคือให้แยกไข่ขาวกับไข่แดงออกจากกัน แล้วนำไข่ขาวมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 10-20 นาที แล้วล้างออก วิธีนี้อาจทำให้สิวเห่อขึ้นมาได้ในช่วงแรก เพราะเป็นการขับสารพิษออกมา แต่ถ้าอดทนทำต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์ สิวผดก็จะลดหายไป ทำให้หน้าใสขึ้นเรื่อย ๆ จนคนทัก
1. ใช้ยาทาเฉพาะที่
การใช้ยาทาเฉพาะที่สามารถรักษาสิวแบบเร่งด่วนได้ แต่ก็เป็นวิธีลดสิวผดที่อาจจะส่งผลข้างเคียงได้เช่นกันหากใช้อย่างไม่ถูกวิธี ดังนั้นการใช้ยาเหล่านี้จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผิวหนัง โดยยาสำหรับทาสิวผด ได้แก่
- ยาที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อยีสต์ที่เป็นสาเหตุของสิวผด ดังนั้นจะเป็นตัวยาที่ค่อนข้างแรง ก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อน
- ยาที่มีส่วนผสมของ Adapalene เป็นหนึ่งในยากลุ่มเรตินอยด์ ช่วยขับสิว ทำให้สิวผดดันตัวเองออกมาและมีหัวสิวเพื่อให้กำจัดออกได้ง่ายขึ้น
- ยากลุ่มสเตียรอยด์ เป็นที่นิยมสำหรับการแก้ปัญหาผิว แต่อาจเกิดอาการแพ้รุนแรงได้ สำหรับผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
2. ทรีตเมนต์รักษาสิวผด
ถ้าวิธีลดสิวผดแบบธรรมชาติยังไม่ทันใจ การหันมาเข้าคลินิกเพื่อเลือกทำทรีตเมนต์รักษาสิวผดก็เป็นวิธียอดฮิตเช่นกัน เพราะทรีตเมนต์เหล่านี้จะผสมผสานการใช้เครื่องมือแพทย์ในการช่วยผลักวิตามินและสารบำรุงต่าง ๆ เข้าสู่ผิวหน้าอย่างอ่อนโยนจนถึงระดับเซลล์ ทำให้สิวอักเสบแห้งเร็วขึ้น สิวผดและสิวอุดตันลดลง และลดอาการแสบแดงของผื่นแพ้ได้ด้วย
3. ทำเลเซอร์
การทำเลเซอร์เป็นอีกวิธีที่แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและเห็นผลไว ตอบโจทย์ใครที่ใจร้อน โดยสามารถเลือกเลเซอร์เฉพาะจุดที่มีปัญหาหรือทั่วทั้งใบหน้าก็ได้ นอกจากจะกำจัดสิวผดได้แล้ว ยังจัดการกับสิวอุดตันอื่น ๆ ได้อีกด้วย แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวบอบบางและไวต่อแสง หลังทำจึงควรดูแลผิวให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคือง หรือเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำได้
การรับมือกับปัญหาสิวผดไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้กันดูได้ เพื่อให้ใบหน้าของเรากลับมามีสุขภาพดี ไม่ต้องทนกับสิวอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากใช้วิธีลดสิวผดข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุและรักษาให้ตรงตามสภาพผิวจะเหมาะสมกว่าค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : facelabs.co.th, gettotext.com, healthline.com