x close

ขอบคุณที่ทิ้งกัน เรื่องจริงของผู้หญิงที่เปลี่ยนตัวเองอย่างเริด เพราะเธอถูกแฟนทิ้ง





          ความรักเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุข มองอะไรก็สวยงามไปหมด แต่เมื่อความรักที่เคยหวานก็เปลี่ยนกลายเป็นรักขม ก็ทิ้งให้คนที่เป็นฝ่ายถูกตีจากจมอยู่กับความรู้ผิดหวัง ไร้ค่า กลายเป็นรอยด่างในชีวิตไป แต่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง หลังผิดหวังจากความรักมาหลายต่อหลายครั้ง ความผิดหวังอย่างแรงจากรักครั้งล่าสุดได้หาให้เธอเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน ทำให้ได้พบคุณค่าของตัวเองและรู้จักความสุขที่แท้จริง มาติดตามเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงตัวเองปนดราม่าของคุณอ้ำ AummaaTlove สมาชิกเว็บไซต์พันทิป ที่ได้แชร์ประสบการณ์ตรงของรักขมเปลี่ยนเธอเป็นคนใหม่ไฉไลกว่าเดิมในกระทู้ "ขอบคุณที่ทิ้งกัน : ชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อโดนผัวทิ้ง [เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย]" กันค่ะ

          คุณอ้ำเล่าว่า ปัจจุบันเธอทำงานเป็นเจ้าของบริษัทเอเจนซี่โฆษณา แต่ก่อนหน้านั้นเคยทำงานเป็นพีอาร์ ซึ่งต้องคอยดูแล "ภาพลักษณ์" ให้กับบริษัทไปจนถึงนักธุรกิจที่เป็นลูกค้ามามากมาย แต่กลับน่าตลกที่ผู้ที่เป็นพีอาร์มือฉมังอย่างเธอ กลับไม่เคยดูแลภาพลักษณ์ของตัวเองเลย เธอคอยทำงานออกไอเดียอยู่เบื้องหลัง ส่วนงานออกสนามที่ต้องอาศัยหน้าตา คุณอ้ำให้เพื่อนรับหน้าที่แทนตลอด เพราะไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง

          จากพื้นเพที่เป็นคนต่างจังหวัด คุณพ่อเป็นทหาร เติบโตอยู่ในค่ายทหารมานับ 20 ปี ประกอบกับการสั่งสอนจากครอบครัวว่าให้เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ทะเยอทะยาน ได้หล่อหลอมคุณอ้ำให้กลายเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องความสวยความงาม อดทนอดกลั้น ทำงานเก่ง และห้าว ๆ ลุย ๆ

          ความรักครั้งแรกของคุณอ้ำเกิดขึ้นที่บ้านต่างจังหวัดแห่งนี้ สมัยที่เธอยังเรียน ปวช. ผู้ชายคนนี้เป็นคนดี (ในความคิดคุณอ้ำตอนนั้น) และคบกันมาเรื่อย ๆ ถึง 7-8 ปี เขาเป็นคนขี้หึงมาก ซึ่งคุณอ้ำหลงคิดไปว่าคงเป็นเพราะเขารักมาก ถึงขนาดเคยขังคุณอ้ำไว้ในบ้าน เตะจนล้ม แล้วยังถ่มน้ำลายใส่หน้าด้วยความโมโห เพราะเห็นเพื่อนทหารภายในค่ายเข้ามาคุยด้วย คุณอ้ำก็ไม่นึกโกรธเพราะคิดว่าเธอเป็นฝ่ายผิดเอง..

          จนกระทั่งคุณอ้ำได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่มาเที่ยวรีสอร์ตแถวบ้าน และชวนให้คุณอ้ำลองลงไปหางานทำที่กรุงเทพฯ ถ้าไปจริงเขาก็จะช่วยหางานทำให้ เพราะเห็นแววคุณอ้ำเป็นคนทำงานเก่ง คุณอ้ำจึงตัดสินใจลงหาทำงานที่กรุงเทพฯ และค่อย ๆ ห่างแฟนคนแรกไปในที่สุด


          ส่วนแฟนคนที่สองนั้นก็คือคนที่ชวนคุณอ้ำไปหางานทำที่กรุงเทพฯ นี่เอง แต่สักพักเขาก็มีปัญหากับที่ทำงานและลาออกมาอยู่บ้านเฉย ๆ คุณอ้ำอุตส่าห์กู้เงินมาเปิดมินิมาร์ทเล็ก ๆ ให้เขาดูแล แต่ทำไปได้เพียง 6-7 เดือนก็เจ๊ง เพราะเขาไม่ใส่ใจงาน กลายเป็นว่าตอนนี้คุณอ้ำเป็นฝ่ายหาเลี้ยงทั้งตัวเอง ทั้งตัวเขา และยังถูกทิ้งให้จัดการกับหนี้ก้อนนี้เพียงลำพัง คุณอ้ำหมดศรัทธากับแฟนคนนี้ คิดว่าทำไมเขาไม่ทำอะไรเพื่ออนาคตบ้างเลย แล้วสุดท้ายก็จบกันไป

          จนมาถึงแฟนคนที่สาม คนที่คุณอั้มบอกว่าเป็นคนที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป เขาเป็นคนอิตาลี เป็นแขกของเจ้านายที่สั่งให้คุณอั้มคอยไปเทคแคร์เวลาเขาเดินทางมาไทย เพราะเห็นว่าคุณอ้ำพูดอังกฤษได้ดี แฟนฝรั่งคนนี้เปิดโลกให้เธอมาก พาสมาคมกับเพื่อนฝรั่ง สอนมุมมองธุรกิจดี ๆ แฟนคนนี้ทำให้คุณอ้ำกล้าเผชิญโลก กล้าเดินออกไปไหนมาไหนโดยมีเขาเป็นความมั่นใจในส่วนที่ตัวเองไม่เคยมี ทั้งยังพากินอาหารดี ๆ เดทที่ร้านสวย ๆ ที่ยามปกติคงไม่มีปัญญาเข้าไปแน่ ๆ พอกลับต่างประเทศก็ส่งมาให้เดือนละ 50,000 เสาร์อาทิตย์คุณอ้ำก็ช้อปปิ้ง อยากได้อะไรก็กล้าซื้อเพราะมีเงิน ชีวิตตอนนั้นแสนสุขสำราญ สำลักความสุขและความรัก โลกเป็นสีชมพูมาก จนคุณอ้ำฝันว่าอยากจะมีงานแต่งงานน่ารัก ๆ

          แต่แล้วแฟนคุณอ้ำคนนี้ก็บอกว่าหนนี้ต้องกลับไปต่างประเทศนานหน่อย เพราะต้องไปดูแลแม่ที่กำลังป่วย คุณอ้ำก็เข้าใจ แต่รอแล้วรอเล่า จากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เขาก็ไม่กลับมา พอถามก็ได้รับคำตอบว่ายุ่งบ้าง ต้องไปดูแลงานอีกที่บ้านบ้าง จนกระทั่งมารู้จากเพื่อนของเขาว่า ที่จริงแล้วแฟนคุณอ้ำคนนี้แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และไม่เคยหย่าอะไรกับภรรยาเขาเลย คุณอ้ำรู้สึกตัวเองกลายเป็นคนโง่มากในช่วงที่ผ่านมา และยอมรับว่าความผิดหวังครั้งนี้ทำให้ชีวิตเป๋ไป แต่ก็พยายามทำใจและคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่เขาเคยมีให้ เช่น เรื่องมุมมองความคิดซึ่งเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่มีค่ามาก ที่ติดตัวคุณอ้ำมาจนทุกวันนี้

          จนเมื่อเรื่องจบจากแฟนคนนี้ไป ก็มาถึงแฟนฝรั่งคนที่สอง และเป็นคนสุดท้าย เป็นคนที่ให้บทเรียนกับคุณอ้ำมากที่สุด ทำให้พบกับสัจธรรมชีวิต โดยฝรั่งคนนี้เข้ามาจีบคุณอ้ำจากการที่เพื่อนในกลุ่มเพื่อนสามีแนะนำให้รู้จักกัน

          คุณอ้ำบอกว่าตอนนั้นเธอหนักประมาณ 55 กิโล ประกอบกับที่เป็นคนตาโตและผิวคล้ำ ก็เลยเป็นสเปคฝรั่งเลย ชีวิตช่วงแรกมีความสุขมาก และก็ได้ตกลงทำธุรกิจด้วยกัน คุณอ้ำคิดว่าคนนี้จะเป็นคนสุดท้ายของชีวิต เป็นคนที่จะฝากอนาคตไว้ด้วย ต่างคนต่างเข้ากันได้ดีทุกอย่าง ตั้งแต่นิสัย อาหารการกิน มุมมองต่างๆ จนไปถึงเรื่อง...ด้วย

          ชีวิตช่วงนั้นของคุณอ้ำมีความสุขมาก สุขจนรู้สึกว่าไม่ต้องห่วงสวยหรือมองใครเผื่อเลือกอีกแล้ว เพราะคนนี้คือคนสุดท้ายแล้วจริง ๆ และเขารักเราด้วยใจจริง ตอนนั้นคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตในแต่ละวันที่มีด้วยกันเต็มไปด้วยความสุข ซึ่งนอกจากการเรื่องงานที่ทำร่วมกันและรายได้ก็โอเคแล้ว สิ่งที่น่าจะมาเติมเต็มให้เขาได้คือ "ชีวิตในบ้าน"

          คุณอ้ำทำหน้าที่แม่บ้านไม่ขาดตกบกพร่อง ตั้งแต่ปัดกวาดเช็ดถูไปจนถึงเรื่องอาหารการกิน และเมื่อทำอาหารกิน ก็พลอยทำให้เธอเป็นคนกินเยอะไปโดยปริยาย ยิ่งประกอบกับความไม่ห่วงสวยห่วงงามอีกด้วยแล้ว ก็เลยปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปไกลมาก ซึ่งไม่ใช่แค่คุณอ้ำที่อ้วนขึ้นแฟนของเธอก็อ้วนขึ้นด้วย และสิ่งที่สังเกตได้เลยคือ ชีวิตคู่ในเรื่องนั้นก็ค่อย ๆ จางลงไป

          ตอนแรกคุณอ้ำไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าคนเราคบกันมาถึงจุดหนึ่งเรื่องแบบนี้มันก็ลดความหวือหวาไปได้เป็นธรรมดา แต่ถัดมาสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเหมือนเบื่อ ๆ แล้ว ไม่มีโมเม้นท์ความหวานเหมือนช่วงแรก ๆ ไม่กอด ไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้ ทำอะไรก็ไม่ค่อยถูกใจมากขึ้น บรรยากาศแบบนี้เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และช่วงหลังก็เริ่มทะเลาะกันบ่อย ๆ

          จนในที่สุดเขาบอกให้ลองแยกกันอยู่ บอกว่าการเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและแฟนกันทำให้แยกบทบาทกันไม่ถูก และเดี๋ยวจะกระทบเรื่องงานด้วย ตอนนั้นคุณอ้ำไม่เข้าใจ เสียใจ พยายามรั้งเขาไว้ทุกทาง จนวันหนึ่งเขาก็ออกจากบ้านไปทั้งโดยทิ้งข้าวของไว้ ช่วงนั้นเองก็ได้รู้จากเพื่อนเขาว่า แฟนคุย ๆ กับผู้หญิงคนอื่นอยู่ด้วย คุณอ้ำก็ยังคิดแง่ดีว่า ฝรั่งก็คงเป็นแบบนี้ เรื่องรักกับเรื่องเซ็กส์แยกจากกัน และคิดถึงตัวเองว่าขาดตกบกพร่องอะไรไป ดูแลเค้าไม่ดีหรือเปล่า คุณอ้ำยอมรับว่าคงเป็นความโง่หรือหลงสามีฝรั่งก็ว่าได้ เพราะตอนนั้นเธอก็คิดแบบนั้นจริง ๆ เธอพยายามดึงเขากลับมา ซื้อของเอาใจ หวานใส่ ชวนมากินข้าวที่บ้าน อ้อนวอนทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่สุดท้ายเขาก็พูดใส่ว่า...

          "ไอไม่ได้รักยูแล้ว อย่าพยายามเลย มันไม่ช่วยอะไร"

          "ทำไมยูไม่กลับไปส่องกระจกดูสารรูปของตัวเองบ้าง ว่ายูเปลี่ยนไปแค่ไหน"

          "จะให้ไออยู่ด้วยได้ยังไง ไอไม่มีอารมณ์ด้วยหรอก"
 
          มันเป็นคำพูดตอกหน้าที่ทิ่มแทงจิตใจสุด ๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินจากปากคนที่รักกัน ตอนนั้นเสียใจ ทำใจไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยดูสารรูปตัวเองจริง ๆ อย่างที่เขาว่า เพราะคิดว่าคนที่รักกันจริง ๆ ถึงขั้นจะสร้างครอบครัวด้วยกันแล้ว มันน่าจะก้าวข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้แล้ว คุณอ้ำว่าช่วงนั้นก็เมาฟูมฟายไปวัน ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เลิกทำไปแล้วคือการไปตามต่อฝรั่งคนนั้น เพราะรู้สึกว่าถูกเขาทำร้ายจิตใจมากและคงไม่มีประโยชน์อะไรอีก

          คุณอ้ำยังหลงกับความคิดที่ว่า "รูปร่างหน้าตาเป็นแค่เปลือก คนเรารักกันที่ใจ" และคิดว่ายังไงต้องมีคนที่รักเธออย่างที่เธอเป็นจริง ๆ ได้ ในช่วงนั้นเองที่คุณอ้ำได้รู้กับคุณหมอเจ้าของคลินิกศัลยกรรมท่านหนึ่งที่เพื่อนซี้ไปหา เวลาเพื่อนไปคุณอ้ำก็ไปด้วย แล้วก็ไปนั่งคุยกันบ่อย ๆ แต่เวลาพูดถึงความสวยความงามทีไร คุณหมอคงสัมผัสได้ถึงทัศนคติแอนตี้ศัลยกรรมของเธอ คุณหมอเลยมาคุยด้วย แล้วเปิดรูปตัวเองสมัยก่อนที่ไม่ใช่คนสวยให้ดู แล้วหมอก็เล่าชีวิตของหมอให้ฟังว่า หมอเองเป็นคนที่เคยถูกมองจากคนอื่น ๆ ว่าไม่สวย จนวันหนึ่งก็ลุกขึ้นมาปรับปรุงตัวเองให้ดูดีขึ้น จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยนไป ได้รับสิ่งดี ๆ โอกาสดี ๆ เข้ามามากมาย สิ่งหนึ่งที่เขาบอกคุณอ้ำและจำได้ขึ้นใจเลยก็คือ

          "แม้ว่าเราจะเชื่อว่าความสวยงามของตัวเรานั้นอยู่ข้างใน แต่คนในสังคมจำนวนมาก ก็มักติดสินเราที่รูปลักษณ์ภายนอกเสมอ ๆ และเมื่อเรารู้ว่าสังคมก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเราไม่คิดจะดูแลตัวเราเองซะเลย มันก็เท่ากับเรากำลังปิดโอกาสตัวเราเองรึเปล่า ? หมอไม่ได้หมายถึงต้องทำศัลยกรรมนะ บางคนก็สวยขึ้นได้โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แค่ปรับเปลี่ยนตัวเองในเรื่องการแต่งกาย แต่งหน้า หรือแม้แต่บุคลิกภาพ ก็สวยได้ ความงามไม่ใช่เรื่องของการเอาแต่รักสวยรักงาม แต่หมายถึงการดูแลรูปลักษณ์ หมอว่ามันเป็นการให้เกียรติกับตัวเราเองนะ"

          หลังจากกลับบ้านไปวันนั้น คุณอ้ำนั่งส่องกระจก นึกถึงคำพูดของหมดและสิ่งที่แฟนฝรั่งไล่ให้ไปดูสารรูปตัวเอง สิ่งเห็นทำให้เธอถึงกับร้องได้ออกมา เพราะภาพสะท้อนที่เห็นคือผู้หญิงที่ไม่มีความสวยเอาเสียเลย ทั้งรูปร่างอ้วนท้วน ทั้งแต่งตัวขี้ริ้วขี้เหร่ หน้าตากระเซอะกระเซิง ผิวหยาบกร้าน จนต้องในใจขึ้นมาว่าที่ผ่านมาการที่ได้ปล่อยปละละเลยตัวเองไปแบบนี้ ชีวิตต้องเสียโอกาสไปมากมาย ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่แม้แต่เรื่องงาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะเป็นเจ้าของบริษัท เป็นหุ้นส่วนหลัก แต่ก็ทำได้แค่เบื้องหลังเพราะรูปลักษณ์ตัวเองไม่ดี จะติดต่องานคุยงาน ก็ต้องให้อีกคนทำ เพราะไม่มั่นใจ กลัวคนไม่เชื่อถือ เข้าสังคมกลุ่มเพื่อนด้วยความที่เราไม่มั่นใจ ต้องใช้ความเป็นคนตลกเป็นตัวนำ เป็นตัวโจ๊กให้คนอื่นขำและยอมรับตัวตนเรา คุณอ้ำรู้สึกว่าที่ผ่านมาได้ทำร้ายและโกงตัวเองมาก ๆ

          นับแต่นั้นมาคุณอั้มก็หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ทัศนะเรื่องความงามก็เปลี่ยนไป เริ่มเรียนรู้การแต่งหน้า บำรุงผิว ทุกอย่างใหม่หมด เพราะจากการโตมาในค่ายทหาร เรื่องพวกนี้แทบไม่เคยเรียนรู้เลย ส่วนเรื่องศัลยกรรมก็ยังกลัว ๆ บ้าง แต่ก็มีเสริมจมูกและฉีดโบท็อกซ์ และคิดว่าคงจะไม่ทำอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ซึ่งก็ทำให้ดูดีและคุณอ้ำมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และรูปนี้คือดผลของการหันกลับมาปรับปรุงตัวเองของเธอ



          ถึงจะไม่ได้สวยมากมาย แต่สิ่งที่คุณอ้ำได้เลยอย่างหนึ่งก็คือความมั่นใจ และปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไปจากคนรอบข้าง ลูกค้าที่เคยต้องรอคุยงานกับเพื่อน ก็คุยกับคุณอ้ำโดยตรงเลย แถมยังหลุดพูดว่า "ไม่ต้องรอคุยกับ...ก็ได้ เพราะตอนนี้คุณอ้ำสวยแล้ว" ทำเอาแทงใจดำเธอไปเหมือนกัน ทุกวันนี้คุณอ้ำทำงานเองได้หมด มั่นใจ และรู้สึกว่าก่อนที่จะรักใครมากๆนั้น เราก็ควรรักตัวเองให้มาก ๆ เสียก่อน

          ส่วนเรื่องความรัก หลังจากสวยขึ้นอย่างนี้แล้ว ตาแฟนคนเก่าที่ทิ้งไปก็หวนกลับมาตื๊อขอคืนดีกับคุณอ้ำ ยอมจะเลิกคนกับผู้หญิงที่คบอยู่เพื่อให้ยกโทษให้ แต่คุณอ้ำคิดได้แล้วว่า

          "เราไม่ได้ปรับปรุงตัวเองครั้งนี้เพื่อเขา เราทำเพื่อตัวเรา และเราก็พบว่าเรามีความสุขกับการที่ได้รักตัวเราเอง เขาเป็นคนที่อ้ำเคยรัก แต่วันนึงเขาก็เลือกที่จะไป พร้อมกับคำพูด และการกระทำหลาย ๆ อย่างที่ทำให้รู้ว่าเขาหมดรักกับเราไปแล้ว ฉะนั้นเมื่อหมดแล้วก็หมดกัน โอกาสไม่ได้มาหลาย ๆ ครั้งในชีวิตของคนคนหนึ่ง ดูเหมือนร้ายนะ แต่ไม่ใช่การเอาคืน คือหมดแล้วเลยจริง ๆ"

          คุณอ้ำว่าสุดท้ายเธอก็แค่อยากจะบอกว่า ชีวิตและร่างกายคือเพื่อนแท้ของเรา เพราะต้องอยู่คู่กับเราไปตลอด แม้ละครจะมีคำคมบอกว่า "ให้วัดกันที่ใจ อย่าดูที่รูปลักษณ์ภายนอก" แต่ความเป็นจริงของโลก หลาย ๆ คนก็ดูกันที่ภายนอกจริง ๆ การดูแลรูปร่างให้สวยงาม ไม่ใช่แค่เรื่องความรัก แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ ไม่ว่าจะในเรื่องงาน หรือการเข้าสังคมต่าง ๆ

          "เชื่อสิคะของแบบนี้มันมีผลจริงๆ อ้ำอยากเป็นกำลังใจหลายคนที่คิดว่าตัวไม่สวย ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์ หน้าตา หรือ ผิวพรรณ อ้ำเชื่อว่าเราปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ ลองดูอย่างอ้ำก็ได้ อ้ำใช้เวลาเปลี่ยนแปลงประมาณปีกว่า ๆ จากคนขี้ริ้วขี้เหร่ ตอนนี้แม้จะไม่ได้สวยอะไรมาก แต่ก็มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ อ้ำเชื่อว่าทุกคนทำได้ อยู่ที่ว่าจะเริ่มได้หรือยัง..."


ภาพประกอบจาก คุณ AummaaTlove สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม






















เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ขอบคุณที่ทิ้งกัน เรื่องจริงของผู้หญิงที่เปลี่ยนตัวเองอย่างเริด เพราะเธอถูกแฟนทิ้ง อัปเดตล่าสุด 1 มีนาคม 2558 เวลา 15:39:17 4,915 อ่าน
TOP