x close

ก้าวต่อไปบนจุดเปลี่ยนของชีวิต...แอนดี้ เขมพิมุก




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน วัยรุ่นในยุคนั้นรู้จักหนุ่มตี๋ "แอนดี้ เขมพิมุก" ในฐานะนักร้องบอยแบนด์ชื่อดังจากวงดรากอนไฟว์ แต่ปัจจุบัน เราคุ้นหน้าคุ้นตาเขาในบทบาทของพิธีกรมาดกวนมากกว่า ซึ่งคนที่ไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนี้ อาจจะคิดว่า เรื่องราวของเขาอาจไม่ได้ดูน่าสนใจมากนัก แต่ถ้าได้นั่งพูดคุยกับชายหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้อย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วล่ะก็ จะพบว่าชีวิตของผู้ชายคนนี้มีอะไรให้น่าค้นหาไม่น้อย อย่างที่นิตยสาร ค ฅน ขออาสาพาคุณผู้อ่านไปเปิดมุมมองดี ๆ ที่มีต่อผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้น

          ในวัยเด็ก ก่อนที่ แอนดี้ เขมพิมุก จะได้ก้าวเข้ามาในค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างบริษัท แกรมมี่ฯ เจ้าตัวเคยทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์อยู่ในย่าน city of forrance ตามมาด้วยหน้าที่พนักงานเช็กสต็อกสินค้าในห้างสรรพสินค้า พร้อมกับหน้าที่เด็กเสิร์ฟในร้านอาหารจีน เรียกได้ว่า หนุ่มคนนี้ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ๆ กระทั่งวันหนึ่ง แอนดี้ ตัดสินทำตามความฝันของตัวเองที่อยากเป็นนักร้อง ด้วยการเดินทางมาที่ตึกแกรมมี่ฯ เพื่อหวังจะให้พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ไอดอลที่เขาปลื้มมากที่สุด ดูว่าเขาจะสามารถเป็นนักร้องได้ไหม

          "วันนั้นคิดอย่างเดียวว่านั่งรถเมล์ไปตึกแกรมมี่ฯ ตั้งใจจะไปเจอพี่เบิร์ด แต่บังเอิญคนเขานึกว่าเรามาแคสติ้ง ก็เลยได้ไปลองเทสต์เสียง แล้วก็ไม่ได้เจอพี่เบิร์ด ผมเลยตัดสินใจกลับบ้านไปอัดเสียงส่งเทปมาให้บริษัท แต่ทำเกือบปีก็ไม่มีอะไรคืบหน้า จนมาเจอพี่เป็ด มนต์ชีพ ศิวะสินางกูร ที่แนะนำผมว่า แอนดี้ต้องสร้างโปร์ไฟล์มาก่อน มันจะง่ายขึ้น ผมถามกลับไปว่าจะสร้างยังไง พี่เป็ดเลยบอกว่า ขึ้นอยู่กับตัวน้องจะเริ่มยังไง" แอนดี้ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่การเป็นนักร้องให้ฟัง

          ไม่รอช้า แอนดี้ ตัดสินใจเข้าไปตามโมเดลลิ่งต่าง ๆ และได้เป็นนายแบบถ่ายงานโฆษณาหลายชิ้น เพราะด้วยรูปลักษณ์ตี๋อินเตอร์ บวกกับหุ่นกำยำล่ำสันกำลังเป็นที่นิยมในยุคนั้น จากนั้น งานในวงการบันเทิงเริ่มเข้าหาแอนดี้มากขึ้น และยังติด Top 12 จากประกวดวีเจเซิร์จของ Channel V

          เมื่อเขาสร้างโปรไฟล์มาระดับหนึ่งแล้ว แกรมมี่ฯ จึงเรียกเขาไปเทสต์เสียงใหม่ และในที่สุด แอนดี้ ก็ได้เป็นนักร้องสมใจในวงบอยด์แบนด์ Dragon Five ซึ่งเขาใช้เวลา 1 ปีเต็ม ๆ ในการออกตามหาฝัน และทำมันได้สำเร็จ เขาได้โกอินเตอร์ และได้พบพี่เบิร์ด ไอดอลในดวงใจ

          แต่ทว่า...เวลาผ่านไปไม่นาน ทุกอย่างก็จบสิ้นลง Dragon Five เป็นอันต้องปิดตัว แอนดี้ ถึงกับกลับไปกอดแม่ร้องไห้อยู่หลายคืน เพราะเสียดายที่จะไม่ได้ร้องเพลงที่เขารักอีกแล้ว เขาผันตัวไปเป็นดีเจ ก่อนจะได้แต่งเพลง "นานแล้วนะ" ให้น้องคนหนึ่ง ซึ่งต่อมาเพลงของเขาก็ได้เข้าชิงรางวัลสีสันอวอร์ด และยังได้ชิงรางวัลกับศิลปินในดวงใจ พี่เบิร์ด นั่นเอง

          ใครที่รู้จักแอนดี้จะรู้ว่า ทัศนคติของเขาในการทำงานคือทำแล้วต้องทำให้สุด ๆ แบบจ้าง 10 เล่น 100 และจะเลือกงานที่ชอบ ก่อนจะทำมันด้วยความซื่อสัตย์ในสิ่งที่เลือก

          "เมื่อก่อนผมมีทัศนคติอีกอย่างนะ จะทำอะไรต้องได้ดังใจ รู้ว่าจะล้มเหลวก็จะฝืนทำ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว วันนี้ผมจะมองตัวเอง หยุดไตร่ตรองว่าตัวเองมีสิ่งที่ไม่ดีอะไรบ้าง ผ่านอะไรมาบ้าง ทำให้ทุกวันนี้ผมดูเบาลง ไม่โผงผางเหมือนก่อน การจะเป็นแบบผมง่ายมาก อย่าลืมตัวว่าเงินเป็นทุกอย่าง ความรักต่างหากคือทุกอย่าง ความจริงใจคือทุกอย่าง ความซื่อสัตย์คือทุกอย่าง ทำทุกอย่างด้วยความเคารพในสิ่งที่รัก"

          นี่คือทัศนคติที่ แอนดี้ ยึดใช้ในการทำงานมาตลอดกว่าสิบปี ผู้ชายคนนี้ผ่านความเจ็บปวดและความผิดหวังมามาก และกับความเจ็บปวดครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในอุบัติเหตุรถกอล์ฟคว่ำบนถนน เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก็เป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตที่ทำให้เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

          แอนดี้ เล่าว่า ในวันนั้นเขาเพิ่งได้รับความสุขจากการถ่ายทำรายการ "ฉันรักเมืองไทย" แต่หลังจากถ่ายทำเสร็จไม่กี่ชั่วโมง อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับเขา วินาทีนั้น เขาจำได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นดิน แขนซ้ายไร้ความรู้สึกจากการถูกรถทับและไถลไปกับพื้นถนน และมีเลือดไหลเป็นกอง ตอนนั้น เขาบอกตัวเองว่า กำลังฝันอยู่ มันเป็นฝันร้าย...

          "ผมหลับตานอน ตื่นขึ้นมาอีกทียังรู้สึกว่าฝันร้ายอยู่แล้ว จนมีรถมารับส่งโรงพยาบาลก็ยังคิดว่าฝันอยู่ บอกตัวเองว่า ไม่จริงนะ เมื่อกี้เรายังมีความสุขอยู่เลย แล้วมันกลายเป็นวันที่เราเจ็บปวดที่สุด วันที่เกือบตายได้ยังไง อยากจะเตือนทุกคนไว้เลยว่า วันที่เรามีความสุขที่สุด มักจะลืมและประมาท ดังนั้น ทุกวินาทีที่ออกมากบ้าน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ฉะนั้นเราอย่าประมาท" นี่คือข้อคิดที่แอนดี้ได้จากอุบัติเหตุครั้งนั้น

          เมื่อแอนดี้รู้ตัวว่า นี่ไม่ใช่ฝัน และอุบัติเหตุครั้งนี้อาจทำให้เขาต้องเสียแขนไป ลูกผู้ชายร่างกำยำถึงกับร้องไห้ออกมา ทั้งเจ็บปวด ทั้งสับสน คิดไปว่านี่คงเป็นวันที่จบสิ้นแล้ว ตาทั้งสองข้างที่ปราศจากแว่น ทำให้เขามองเห็นภาพเบลอ ๆ และพาลคิดไปว่า ร่างที่กำลังเดินมาหาเขา 3 คน คงจะเป็นยมทูต แต่สุดท้ายหนึ่งในนั้นก็คือ อาต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์ ที่เข้ามาให้กำลังใจ

          "หยุดร้องไห้ได้หรือยัง อิ่มแล้วนะกับการร้องไห้ ลุกขึ้นมาสู้ แอนดี้คือม้าแข่งที่วิ่งอยู่ในลู่ แล้วม้าเหล่านี้เขาจะใส่หน้ากาก เขาจะไม่มองซ้ายขวา ไม่มองข้างหลัง เขาจะมองแต่ข้างหน้า วันนี้แอนดี้พิการไม่พิการอาไม่รู้ แต่วันนี้อารู้สึกแล้วว่าแอนดี้เจ็บปวด แต่ถ้าอาเป็นแอนดี้อาจะไม่มองมัน อาจะมองไปที่เดียวคือข้างหน้า" ด้วยคำพูดนี้ ได้ฉุดให้แอนดี้ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

          กำลังใจจากเพื่อน ๆ และแฟนเพลง แฟนรายการ "ฉันรักเมืองไทย" คือยาวิเศษที่ช่วยให้ แอนดี้ หายเร็ว และได้ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด ซึ่งเขาบอกว่าเป็นสิ่งที่ดีมากที่เขาได้ทำรายการ "ฉันรักเมืองไทย" หากไม่ได้ทำคงจะเสียใจมาก เพราะมันรู้สึกผูกพัน เป็นการทำงานที่ช่วยให้คนไทยได้รู้ว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่เมืองไทยดี ๆ มีมาก ดังนั้น คนไทยควรจะทำให้ดีกว่า เหมือนเป็นกระจกส่องให้คนไทยเห็นว่าเรามีดี และเรามีบ้านที่น่าอยู่

          "นี่คือการทำบุญอย่างที่ในหลวงท่านบอก เราต้องให้ อย่าเอาแต่ได้ สำหรับผมรายการนี้ให้มากยิ่งกว่าได้ นี่คือสิ่งที่ผมทำมาตลอด 2 ปี ทำด้วยใจจนรายการได้รางวัล "รายการโทรทัศน์ดีเด่น" และ "โทรทัศน์ทองคำ" ผมเชื่อว่าความดีที่ผมได้ทำในรายการส่งผลกลับมาแล้ว อย่างผมเกือบพิการก็ไม่พิการ หมอบอกว่าผมคงขยับนิ้วไม่ได้ แต่วันนี้ผมกระดิกนิ้วมือได้แล้ว"

          หลังจากการรักษาตัวมานาน 4 เดือน อาการของพิธีกรหนุ่มดีขึ้น และมีเวลาว่างพอที่จะทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ตัวเองได้พักบ้าง เหตุการณ์นี้ทำให้เขา "รักตัวเอง" มากขึ้น

          "ล้มได้ลุกได้ แต่ต้องลุกให้เร็ว มันเป็นสัจธรรม มันต้องโดนกับตัวถึงจะเข้าใจ" แอนดี้ บอก และพูดถึงว่า หากอนาคตข้างหน้าเจอปัญหาอีก เขาจะหยุด แล้วถอยกลับ เพื่อไปวางเกมวางหมากให้ดีเสียก่อน

          "ผมมักจะบอกน้อง ๆ ทุกคนว่า เราเกิดเราตาย เส้นทางของเรามันไม่ได้ตรงไปแบบนี้หรอก มันก็ต้องเลี้ยว มันต้องมีทางหักเหไปที่อื่น แล้วสุดท้าย เราก็ต้องกลับมาเดินในทางของเรา ชีวิตคนเราไม่มีทางเป็นเส้นตรงได้ ถ้าแบบนั้นพระทุกรูปก็เป็นพระนิพพานหมดแล้วสิ ฉะนั้น พยายามมองโลกให้กว้างและหลากหลาย..."

          ชีวิตของหนุ่มคนนี้ผ่านทางเลี้ยวมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้ง ก็เป็นทางเลี้ยวที่ทำให้เขาเข้าใจความเป็นจริงในชีวิตมากขึ้น และรู้ว่าเขาควรจะไปในทิศทางใด และเมื่อรู้แล้ว เขาก็ไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ตัวเองกำหนด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร ค ฅน ปีที่ 7 ฉบับที่ 7 (79) มิถุนายน 2555


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ก้าวต่อไปบนจุดเปลี่ยนของชีวิต...แอนดี้ เขมพิมุก อัปเดตล่าสุด 1 สิงหาคม 2555 เวลา 17:49:14
TOP