คริส หอวัง
คริส หอวัง รถไฟ(ฟ้า) ของผู้หญิงไม่ค่อยมีแพทเทิร์น (มติชน)
บท ของ "เหมยลี่" สาวออฟฟิสโสดสนิทวัย 30 ที่ต้องไล่ตามรถไฟขบวนสุดท้ายในหนังรักโรแมนติก "รถไฟฟ้ามาหานะเธอ" ดูจะห่างไกลกับชีวิตจริงของ คริส หอวัง เหลือเกิน เพราะเธอมีแฟนแล้ว และไม่ใช่สาวออฟฟิศแต่เป็นครูสอนเต้นบัลเล่ต์ เป็นดีเจขวัญใจเด็กแนว คลื่นแฟทเรดิโอ, นางแบบ และพรีเซ็นเตอร์สินค้า และไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ดูเธอยิ้มก็น่าจะรู้ว่าความเป็นจริงน่ะ ห่างไกลจากบรรทัดต้น ๆ ขนาดไหน
มาเล่นหนังคู่กับนักแสดงที่ผู้หญิงร้อยละ 90 ในประเทศไทยกรี๊ดอย่าง เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ คราวนี้คริสบอกว่า ความรู้สึกหลักของเธอน่ะคือ "เกร็ง"
"เพราะเขาระดับไหน แล้วเราเล่นหนังแบบเต็มตัวเรื่องแรกเอง แต่พวกเพื่อน ๆ พอรู้ พากันตบโต๊ะ ปัง! แกขอตามไปกองถ่ายด้วยนะ จะไปนั่งดูเฉย ๆ ก็ได้ เราก็เฮ้ย! เอาจริงเหรอ พี่เขาแต่งงานมีลูกแล้วนะ" เล่าพลางหัวเราะจนตาหยี
จริง ๆ ถ้าถามว่าหนักใจอะไรที่สุดในหนังเรื่องนี้ คริสบอกว่า ที่หนักใจมีเรื่องเดียวคือ เป็นหนังที่เธอแทบจะไม่ได้แต่งหน้าเลยแม้แต่นิด จะมีแค่แป้งฝุ่นกับลิปมัน ดังนั้น ไป ๆ มา ๆ พระเอกยังอาจจะแต่งหน้ามากกว่าเธอซะอีก
คริสบอกด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่เธอได้รู้จากการมาเล่นหนังเรื่องนี้ คือได้รู้ถึงตัวตนแท้ ๆ ของเคน ว่าเนื้อแท้ของคนที่เห็นหล่อ ๆ ในโทรทัศน์นั้น จริง ๆ เป็นคนตลกมากกกก....
"มีฉากหนึ่งเป็นฉากงานแต่งงาน ที่เราต้องร้องไห้ แล้วมาสคาร่าก็เยิ้มเป็นทาง พี่เคนก็เดินมาจับบ่า โอ้โห...คริส คริสสวยมากๆ เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่พี่เคยเห็นมา โอ้โห...ขอบคุณมากค่ะพี่เคน อารมณ์เสีย!" เล่าพลางทำหน้างอๆ แต่สุดท้ายก็อดหัวเราะขำไม่ได้
ถ้าถามว่า เชื่อเรื่อง "รถไฟขบวนสุดท้าย" ในชีวิตไหม คริสตอบทันทีว่าไม่ ไม่เหมือนกับเรื่องถ้าคนเราอายุ 30 แล้วยังไม่แต่งงาน โอกาสจะเป็นฝั่งเป็นฝาก็ยากมาก
คริสไม่คิดว่าชีวิตมันจะมีอะไรที่เป็นแบบแผน ว่าถึงตอนไหนต้องทำอะไร ตอนอายุ 6-7 ขอบ คริสบอกพ่อว่าจะไม่เรียนหนังสือแล้ว จะเต้นอย่างเดียว พ่อก็ตกใจ ตอนเด็ก ๆ คริสเรียนหนังสือไม่เก่ง ไม่ชอบเรียน ก็โดดเรียน บ่อย ๆ แต่ไม่เคยโดดเรียนบัลเล่ต์เลย ทั้งที่เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ที่เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ไปเที่ยว ที่สุดแม่เลยปรึกษาพ่อว่าถ้าอยากให้เรียนก็ส่งไปเรียนโรงเรียนเฉพาะ ที่สอนเต้นและยังเรียนไปด้วย
สุดท้ายทางบ้านจึงส่งไปเรียนลักษณะนั้นที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเธอก็ชอบใจ แม้จะต้องเรียนหนักกว่าเรียนโรงเรียนธรรมดาก็ตาม
ตอนที่เรียนอยู่นั้น ความสามารถด้านการเต้นของเธอเป็นที่ยอมรับถึงขนาดได้รับรางวัลทั้งในชั้นเรียนและจากการแข่งขันหลายครั้ง ทั้งยังได้ไปร่วมเต้นกับคณะบอสตันบัลเล่ต์ ฟังอย่างนี้ใคร ๆ คงคาดการณ์ว่าจบมาแล้วเธอจะต้องเป็นนักบัลเล่ต์ที่มีชื่อเสียง แต่ชีวิตก็ไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนอีก
พอไปเห็นชีวิตนักบัลเล่ต์ดัง ๆ แล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ มันสนุกแค่ได้เต้น ที่เหลืออยู่แต่ในโรงละคร ซ้อมๆ ๆ แล้วเวลาเต้น มันเหมือนกับคนจะมองว่าเบา ๆ แต่ที่จริงแล้วเหนื่อยมาก หนักมาก เวลาเทคตัวขึ้นปลายเท้าหรือกระโดดแล้วลงมา ใช้แรงเยอะ การเต้นจนเท้าเลือดออกเป็นเรื่องปกติ เลือดออกแล้วก็ต้องพันผ้า แล้วมาซ้อมต่อ ซึ่งเราไม่ได้อยากจะเป็นอย่างนั้น ยังอยากออกมาเจอคนอื่น ๆ ไปเห็นที่อื่น ๆ เลยคิดว่าที่สุดแล้ว ไม่ไปทางนั้นดีกว่า
ตอนนี้เธอเลยเปลี่ยนแนวมาเป็นครู ถ่ายทอดความสนุกจากการเต้นให้เด็ก ๆ มากกว่า
เคยมีเพื่อนที่จบบัญชีแต่ไปเป็นเออี ซึ่งคนละสายเลย ถามเขาว่างานเป็นไง เขาบอกว่าก็ดี แต่ไม่รู้ว่าที่ทำไปน่ะชอบไหม เราเองอยากมีงานที่ทำให้รู้สึกอยากไปทำทุกวัน งานที่ให้แรงบันดาลใจ เหมือนอย่างที่มาเล่นหนังก็ไม่ได้อยากจะมีเชื่อเสียงมาก ๆ ที่เล่นเพราะรู้สึกว่าเป็นงานที่น่าจะสนุก แค่นั้นเอง
แต่เห็นอย่างนี้ผู้หญิง "ไม่มีแพทเทิร์น" อย่างเธอก็ยังแอบเชื่อในพรหมลิขิตกับเขาเหมือนกัน โดยเชื่อว่าการที่คนเราได้รู้จักกัน ไม่ว่าจะในฐานะไหนก็น่าจะเป็นเพราะมีความเชื่อมโยงอะไรสักอย่าง และนั่นละที่เรียกว่าพรหมลิขิต
สำหรับ อุ๋ย นที เอกวิจิตร์ สมาชิกวงบุดด้าเบลส "ตัวจริง" ในชีวิตนั้น คริสเลือกใช้คำว่า "เป็นคนดีมาก" มาอธิบาย
เขาซื่อสัตย์ คือไม่ใช่เขาบอกอย่างนั้น แล้วเราเชื่อนะ แต่เขาทำให้เห็น แล้วเขาดีมาก ๆ คริสเคยทำงานต่างจังหวัดเลยนัดเขาที่พารากอน ให้ขับรถมาเจอกัน แต่ที่จริงไม่ใช่หรอกพอจะกลับเขาขับรถคริสไปส่งที่บ้าน แล้วตัวเองก็นั่งแท็กซี่กลับบ้านไม่ได้เอารถมา เพราะเขาอยากมาขับรถให้กลัวเราจะเหนื่อย ก็ดีอย่างนี้จะไม่รักได้ไง จริงไหม
รถไฟขบวนสุดท้ายของใครอาจจะผ่านไปแล้ว บางคนอาจจะมาไม่ถึง แต่ไม่แน่ว่ารถไฟ ของ คริส หอวัง อาจจะมาถึงแล้วก็ได้ เรื่องแบบนี้อย่าอิจฉา
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก