x close

นุ๊ก สุทธิดา กอดลูกชายเล่ามรสุมชีวิต สามีคิดว่าแกล้งป่วยมะเร็ง

          นุ๊ก สุทธิดา ควงลูกชายเปิดใจในวันเผชิญมรสุมชีวิต พร้อมเผยคำสัญญาต่อหน้าสามี รับสามีไม่เชื่อป่วยมะเร็ง เพราะคิดว่าแกล้งป่วย
นุ๊ก สุทธิดา

          ได้กำลังใจดีจากทั้งครอบครัวและคนรอบข้าง รวมทั้งแฟน ๆ เลยทำให้ ดาราสาว นุ๊ก สุทธิดา กลับมายิ้มได้ แม้ก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าเธอป่วยเป็นมะเร็งไทรอยด์ และต้องเข้าพักรักษาตัวนานหลายสัปดาห์ ซึ่งหลังจากพักฟื้นจนร่างกายแข็งแรงจนตอนนี้ผลตรวจล่าสุดไม่พบเชื้อมะเร็งแล้ว เจ้าตัวได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติและมีกำลังใจที่เข้มแข็ง พร้อมต่อสู้กับโรคมะเร็ง

          ล่าสุด นุ๊ก สุทธิดา และครอบครัว มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show เปิดใจว่าไม่เคยคิดท้อเมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง แต่กลับรู้สึกโชคดีที่ได้เป็น พร้อมเผยความในใจต่อหน้าสามี

เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตขึ้นเมื่อตรวจรู้ว่าเป็นมะเร็ง มันมีความผิดปกติอะไรที่ทำให้เราต้องไปตรวจ ?

          นุ๊ก สุทธิดา : ย้อนกลับไป 2-3 ปีก่อนหน้านี้ คือนุ๊กจะขับถ่ายตรงเวลา 6 โมงเช้าเราต้องขับถ่ายเวลานี้ ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุเรา 39-40 ปีเนี่ยค่ะ ก็เริ่มช้าไป 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง เราก็เริ่มรู้สึกมันผิดปกติว่าต้องมีอะไรในระบบร่างกายเราผิดปกติ เลยไปหาคุณหมอ ไปส่องกล้องก็หาไม่เจอ เพราะเราคิดว่าเกี่ยวกับลำไส้ พอหาไม่เจอเราเลยสรุปว่าเพราะเราแก่เลยเปลี่ยนแปลงไปเอง จนมาคลำเจอก้อน เป็นเกี่ยวกับไทรอยด์พอไปตรวจ

          คุณหมอไม่ได้บอกเราด้วยนะคะว่าเราเป็นมะเร็ง เรารู้ด้วยตัวเราเองจากอาการของคุณหมอ เพราะตอนแรกที่เจอทักทายเราแบบร่าเริงมาก แต่พอตรวจ ๆ ไปก็เริ่มนิ่งลงเรื่อย ๆ เพราะเราได้ยินข่าวว่าคุณหมอเก่งมากถึงขั้นสามารถประเมินได้ตั้งแต่แรกเห็นเลยถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ว่าใช่ไม่ใช่ ทีนี้พอเราเห็นคุณหมอนิ่งเราเริ่มใจไม่ดี แต่ยังยิ้มสู้ แล้วก็พูดคุยกับคุณหมอ คุณหมอทานข้าวยังคะ ถ้าคนซีเรียสเขาจะไม่ตอบ เขาก็ไม่ตอบ ใจตอนนั้นคือค่อนข้างสั่น ใจเราก็ภาวนาว่าอย่าให้ใช่เลย เราก็เล่นใหญ่ใส่คุณหมอแบบไม่เครียด ถามคุณหมอไปตรง ๆ ว่าใช่ใช่ไหมคะคุณหมอ คุณหมอบอกว่าหมอยังสรุปให้ไม่ได้นะครับ ต้องตัดชิ้นเนื้อไปตรวจครับ ประโยคนั้นเลยค่ะ เราคิดว่าต้องใช่แน่นอน อันนั้นเราคิดเลยว่าต้องเป็นข่าวร้ายแน่นอน

ความรู้สึกของเราตอนนั้นเป็นยังไง ?

          นุ๊ก สุทธิดา : เหมือนตอนนั้นทุกอย่างมันเงียบมากค่ะ เหมือนเราถูกทิ้งไว้กลางทะเล มันเคว้งมากเลย แล้วเรารู้สึกว่ามะเร็งเท่ากับตาย อยู่ ๆ เหมือนมีคนมาชี้หน้าเราว่าเธอกำลังจะตาย พอเราได้ยินประโยคนั้นปุ๊บ คำถามความเป็นห่วงร้อยแปดมันขึ้นมา ลูกจะอยู่ยังไง ทุกอย่างมาเร็วมาก คำถามเป็นร้อยเลย ในช่วงเวลาแค่เราดีดนิ้ว จนสุดท้ายเรามองตัวเองว่าเรากำลังตกใจ เราจะทำอะไรไม่ได้ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็บอกกับตัวเอง นุ๊ก หยุด ๆ แล้วหายใจลึก ๆ ช่วงคิดตอนนั้นคือคุณหมอก็กำลังส่องกล้องอยู่ด้วย

แล้วในระหว่างที่คุณหมอตรวจเราอยู่ตอนนั้นคิดแพลนอะไรไปถึงไหน ?

          นุ๊ก สุทธิดา : เริ่มบอกตัวเอง คุยกับตัวเองทีละคำถาม ฉันจะตอบตัวเองทีละคำถาม เราก็สูดหายใจลึก ๆ แล้วถามตัวเองอะไรที่กลัวที่สุดถ้าตาย ลูก ค่อย ๆ จัด อดัมจะอยู่ยังไง เรื่องระบบการเงิน ถ้าเราตายภาระต้องไปอยู่ที่พ่อแม่เรา พ่อแม่เราอายุเยอะแล้วต้องมานั่งดูแลเด็ก 3 คน เราเริ่มจากการจัดระบบการเงินก่อนเพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ลำบาก เรื่องลูกต้องกลับไปคุยกับสามี ลูกจะต้องอยู่เมืองไทย พี่กับน้องต้องอยู่ด้วยกัน แพลนมาจนถึงเจ็บไหม เราจะจากไปทรมานไหม เราก็ค่อย ๆ ปลอบตัวเองว่าจริง ๆ เป็นเรื่องที่ดีนะที่เราได้ตายด้วยมะเร็ง คือเราไม่ได้คิดเลยถึงเรื่องหายในตอนนั้น เพราะเราตอบในสิ่งที่มันกลัวที่สุดและอยู่ตรงหน้า พอเราได้คำตอบทุกอย่างหมดแล้วเราก็โอเค กลับไปแล้วไปทำตามแผนที่วางไว้ เรารู้สึกว่าชีวิตทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก

เมื่อเป็นแล้วเราก็ต้องบอกคนในครอบครัว ตอนนั้นมีวิธีการบอกยังไง ?

          นุ๊ก สุทธิดา : ก็ไม่ได้คิดว่าทำให้มันยากเลยค่ะ เหมือนกับรีเซตใหม่ บอกว่าเราเป็นหวัด คือบอกง่าย ๆ เลยค่ะ กลับบ้านไปเดินผ่านบอกสามีก่อนสั้น ๆ แล้วเดินไปบอกลูกก็สั้น ๆ ว่าเดือนหน้าแม่จะต้องไปตัดนะ แม่เป็นมะเร็งนะ แล้วปิ๊ปโป้เขาก็ครับ แล้วเขาก็เดินกลับมาถามเราใหม่ แม่ว่ายังไงนะ แม่เป็นมะเร็งเหรอ ส่วนปาแปงเขาตอบสั้น ๆ ครับ

          ปาแปง : เพราะก่อนที่คุณแม่จะบอกคือรู้จากคุณยายแล้วครับ คุณยายบอกผมก่อนแล้ว ไม่ตกใจครับ ธรรมชาติครับ

          นุ๊ก สุทธิดา : เราบอกกับคุณแม่ จริง ๆ บอกคร่าว ๆ กับคุณแม่ในตอนนั้น

นุ๊ก สุทธิดา ครอบครัว

แล้วบอกกับคุณสามีเขาว่ายังไง ?

          นุ๊ก สุทธิดา : ต้องบอกว่าเรามองข้ามเขาไปเลยตอนนั้น ตอนที่รู้เรื่องเสร็จกลับบ้านใจของเราคือต้องทำอะไรเพื่อลูกบ้าง เพราะฉะนั้นเราลืมให้ความสำคัญกับเขา เปิดประตูบ้านมาเราเจอเขา เราบอกเขาว่า ยู ไอเป็นมะเร็งนะ แล้วก็เดินผ่านเขาไปเลย แล้วไปเล่นกับลูก ไปร้องไห้กับลูก สามีโกรธมาก คิดว่าโกรธ แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้พูดออกมานะคะ แล้วพอได้คุยเขาก็บอกว่าคนอะไรไปตรวจวันแรกแล้วรู้ว่าเป็น มันไม่มีการเจาะ ไปเข้าห้องแล็บเหรอ ทำไมเธอมั่นใจว่าเป็นมะเร็ง ที่เขาโกรธเราเพราะว่าน้องสาวเขาจะแต่งงาน แล้วเขาคิดว่าเราไม่อยากให้เขากลับบ้านเลยแกล้งป่วย

แล้วทุกอย่างมาเคลียร์กันตอนไหน ?

          นุ๊ก สุทธิดา : ตอนผ่าแล้วเอาออกมา เพราะตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเนื้องอกอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเราก็ทำทุกอย่างง่ายมาก เพราะตอนไปตรวจก็ไปคนเดียว ขับไปผ่าก็ขับรถมาคนเดียว ขากลับผ่าเสร็จก็ขับรถกลับคนเดียว ตอนวันผ่าจะมีคุณแม่ไปเฝ้าบ้าง ซึ่งหลังจากที่เขารู้ว่าเราเป็นมะเร็งจริง ๆ อารมณ์ที่ขุ่น ๆ ที่เขาเป็นอยู่ก็หายไปหมดเลย เขาก็พาลูกมาเยี่ยมบ้าง เราเลยได้คุยกันในตอนนั้น เราก็ถามว่าไม่เชื่อเหรอ เขาก็บอกว่ามะเร็งใครไปตรวจเจอกันง่ายขนาดนั้น

นุ๊กดูเป็นคนเข้มแข็งตลอดเวลาและต้องแข็งแกร่งที่สุด มีเวลาไหนไหมที่ร้องไห้ ?

          นุ๊ก สุทธิดา : ตอนที่ตรวจเสร็จแล้วกลับบ้านค่ะ แล้วเห็นอดัม เราเข้าไปเล่นกับเขาแล้วน้ำตามันไหลออกมาเอง อย่างปิ๊ปโป้กับปาแปง ยังไงก็รักนะคะ ลูกเรา แต่เพราะอดัม เด็กน้อยจริง ๆ เพราะขนาดกับคำว่าแม่ตาย เขาก็อาจจะยังไม่เข้าใจ ถ้าเขาตื่นมาแล้วไม่เจอเรา เขาจะเป็นยังไง

แล้ว ปิ๊ปโป้ กับ ปาแปง รู้จักและเข้าใจคำว่า มะเร็ง มากน้อยแค่ไหน ?

          ปาแปง : ผมรู้จักดีอยู่แล้วครับ เพราะผมเป็น Vagen ผมยังบอกกับหม่าม้าให้ทาน แต่เพราะแม่ไม่ยอมทาน

          ปิ๊ปโป้ : ก็อยากให้คุณแม่หาย

          นุ๊ก สุทธิดา : จริง ๆ นุ๊กว่าทั้งปิ๊ปโป้และปาแปง เขาก็มีความรู้สึกนะคะ แต่เพราะเด็กวัยนี้กำลังโต เขาจะไม่ชอบโชว์อารมณ์ เพราะความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะมากกับ 2 คนนี้ ดื้อน้อยลง บางอย่างก็ไม่อยากทำตามแม่ แต่พอแม่ไม่สบาย ทุกอย่างดูแบบทำให้แม่ได้ เลยกลายเป็นข้อดี

ทำไมรู้สึกได้เป็นมะเร็งแล้วโชคดี ?

          นุ๊ก สุทธิดา : เรารู้สึกว่าต้องขอบคุณมันจริง ๆ วันที่นุ๊กทำความเข้าใจกับมัน เรารู้สึกว่าโชคดีมาก ๆ ที่ได้เป็นมะเร็ง ได้เป็นโรคร้ายที่ไม่ได้ถึงกับคร่าชีวิตเราไป ณ วันนั้น แต่ทำให้เราเรียนรู้ว่ามนุษย์เรามันต้องอยู่กับความไม่ประมาททุกลมหายใจ เราทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จะต้องมี แต่วันที่เราได้รับรู้ถึงความตายว่ามันยังอยู่ในลมหายใจเรา ให้ได้รู้ว่าเรากำลังจะตาย เราต้องขอบคุณที่มาเตือนเราตรงนี้ แต่เราก็รู้สึกผิดกับสามีที่เรามองข้ามเขาไป

          คือตอนนั้นเราเอาใจไปอยู่ที่ลูกมากกว่าว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อลูกเราบ้าง เหมือนวันที่เราเดินไปบอกเขา เราพูดแค่ว่า "เธอ ฉันเป็นมะเร็งนะ" แล้วก็เดินหันไปเลยไปอยู่กับลูกเลย ซึ่งหลังจากที่เราบอกเขา เราก็ไม่ค่อยได้พูดได้คุยกันเลย เพราะเราไม่รู้ว่าเขางอนเรา แต่เรารู้แค่ว่ามันแปลก ๆ ในคำพูดที่มันบาดใจ อย่างเช่น ยูจะร้องทำไม ยูยังไม่ตายสักหน่อย คือตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกบาดใจเรามาก แต่เรารู้สึกแปลก ๆ ว่าเป็นอะไร ในใจคิดอีกว่าถ้าคนไม่รักกันก็คงเป็นแบบนี้ เพราะเราคิดว่าเราใกล้ตายแล้วก็ไป ๆ ซะ หมดแค่นี้แล้วหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้คิดต่อ ไม่ได้หาคำตอบตรงนั้น

แล้วความตั้งใจของเขาที่เขาคิดว่าอยากจะกลับบ้าน สามีอยากกลับอยู่ไหมตอนที่เราป่วย ?

          นุ๊ก สุทธิดา : เราก็ถาม ลึก ๆ ก็เสียใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร มันเป็นความต้องการของเขา เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเหนี่ยวรั้ง ณ ตอนนั้น แล้วคือมันไม่มีเวลาให้น้อยใจ เพราะเราลูกเยอะ แล้วเราเตรียมการให้ลูกเราเยอะเลย

ตอนนั้นคือไม่ได้มีเรื่องดราม่ากับความรักหน่วยนี้เลย มีแต่ครอบครัว ?

          นุ๊ก สุทธิดา : ใช่ค่ะ เพราะนุ๊กโชคดีที่สามีนุ๊กเด็กด้วยเราเลยไม่ห่วง เพราะเราคิดว่าถ้าเราตายเขาต้องแต่งงานใหม่อยู่แล้ว เราก็ถามเขานะคะ เรื่องที่เขาจะกลับบ้านไหม แต่พอเขารู้ว่าเราป่วยจริง ๆ เขาบอกเราว่าจะกลับได้ยังไง ต้องดูแล ต้องช่วยกันดูแลลูก เขากลับไม่ได้หรอก เพราะยูไม่มีใครช่วยดู

นุ๊ก สุทธิดา ครอบครัว

เห็นว่าสามีได้กลับไปที่บ้านที่มาเลเซียน้อยมาก ?

          นุ๊ก สุทธิดา : ไม่ค่อยได้กลับ เพราะพอเราแต่งงานกันแล้วเปิดยิม แล้วคือที่ยิมคือมีเขาคนเดียวที่ขายได้ มันเลยกลายเป็นภาระของเขาที่เขาจะต้องอยู่ แต่ว่าเขาไม่ได้มองถึงเรื่องตรงนี้ แต่เขามีความน้อยใจว่าเรากีดกันไม่ให้เขากลับบ้าน เราคงไม่ชอบครอบครัวเขา ครอบครัวเขาจน เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย แล้วเขาอาจจะน้อยใจแล้วฝังอยู่ตลอด 2 ปี แล้วอยู่ ๆ เราก็ไปบอกเขาว่าเราเป็นมะเร็ง แต่พอเราได้คุยกับเขา 2 คนอย่างจริง ๆ จัง ๆ นุ๊กเข้าใจเขานะคะ ณ วันนี้ สุดท้ายเราก็ต้องพลัดพรากจากกัน เพราะว่าเขาต้องกลับมาเลเซีย แล้วไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไหร่ เพราะพาสปอร์ตของเขาหมดอายุตั้งแต่โควิด

          แล้วทำอะไรไม่ได้ เขาไม่ให้เดินทางแล้วตอนนี้ รัฐบาลเพิ่งออกกฎหมายว่ามีสิทธิ์ถึงวันที่ 26 จะต้องออกไปไม่งั้นติดแบล็กลิสต์ เขาจะต้องทำ VISA ที่โน่น ซึ่งกระบวนการทำวีซ่าขนาดอยู่ในเมืองไทยจะต้อง 3 เดือนขึ้นไป แล้วไม่รู้ว่าเกิดการระบาดแล้วจะได้กลับเข้ามาอีกไหม แต่สุดท้ายเราก็ต้องพลัดพรากจากกัน แต่เขาก็ยังมีความฝังใจนะคะ คือเขารู้ก่อนอาทิตย์หนึ่งแล้วที่เขาจะต้องกลับ แต่เขาไม่กล้าบอกเรา เพราะเขากลัวว่าเราจะงอนไม่ให้เขากลับ แต่เราก็ไม่ได้แก้ตัวนะคะ เราก็แสดงให้เขาเห็นดีกว่าว่าเราไม่ได้คิดอย่างนั้นจริง ๆ

อีกหนึ่งคนที่นุ๊กพูดถึงเสมอ ๆ และเป็นกองหนุนในทุก ๆ เรื่อง นั่นก็คือ คุณแม่ อยากจะพูดอะไรถึงท่านบ้าง ?

          นุ๊ก สุทธิดา : แม่เป็นกำลังใจที่สำคัญมาก ๆ แล้วก็เป็นคนที่ดูแลนุ๊กตลอดเวลาที่ป่วย เวลาที่เราป่วย เวลาที่เราเจ็บ เราจะนึกถึงคุณแม่เสมอ วันนี้นุ๊กอยากจะขอบพระคุณทั้งคุณพ่อคุณแม่เลยค่ะ ที่เลี้ยงเรามาอย่างดี ขอบคุณที่เข้มแข็งดูแลและช่วยเหลือเราตลอดเวลา เขาไม่เคยทิ้งเราไปไหน (น้ำตาคลอ) ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ค่ะ

และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้นุ๊กเสมอคือครอบครัว คุณสามี และลูกชาย ?

          นุ๊ก สุทธิดา : ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่เคยซัพพอร์ตนุ๊กมาตลอดในทุก ๆ เรื่องในชีวิตนะคะ แล้วก็ได้โปรดกลับมานะ (เขิน)

          ฮากีม (สามีนุ๊ก) : ผมรักคุณทั้งหมดชีวิตของผมตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะเมื่ออดัม ปาแปง ปิ๊ปโป้ โตขึ้น เราก็ยังจะอยู่ด้วยกันเป็นทีมแบบนี้ตลอดไป

นุ๊ก สุทธิดา ครอบครัว

นุ๊ก สุทธิดา ครอบครัว

นุ๊ก สุทธิดา ครอบครัว

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
นุ๊ก สุทธิดา กอดลูกชายเล่ามรสุมชีวิต สามีคิดว่าแกล้งป่วยมะเร็ง อัปเดตล่าสุด 26 ตุลาคม 2563 เวลา 22:13:40 19,332 อ่าน
TOP